ตอนที่ 329 สมาชิกใหม่แห่งยอดเขาหยกน้อย (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 329 สมาชิกใหม่แห่งยอดเขาหยกน้อย (1)

“ท่านปรมาจารย์ลุงใหญ่? ท่านเจ้าสำนักเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

ที่ด้านหน้าโถงตู้เซียนแห่งสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่ว เจียงหลินเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าที่เพิ่งกลับมาที่สำนักตู้เซียนได้ครึ่งชั่วยาม เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเห็นปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ก็รีบออกมาจากด้านในห้องโถง แล้วต้อนรับพวกเขาอย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่วถามอย่างเป็นห่วงปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งอดจะฝืนยิ้มขื่นออกมาไม่ได้

ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนักเข้าปิดด่านเพื่อฟื้นตัว ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ปราณวิญญาณของเขาเท่านั้น เขาจะฟื้นตัวได้หลังจากพักเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”

พวกเขาทั้งหลายต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

หยุดไม่ได้ หยุดไม่ได้จริงๆ!

เมื่อเกิดเหตุขึ้นระหว่างทางกลับจากชั้นบรรยากาศนอกโลก…

หลี่ฉางโซ่วได้ยินเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วกล่าวว่า พลังเวทคือการฝึก ‘พลังโดยกำเนิดในช่องปาก’ เขาจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงส่งข้อความไปบอกปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งทันทีว่า ท่านเจ้าสำนักเคยได้รับบาดเจ็บจากพลังเวทนั้นมาก่อน

เพื่อความปลอดภัย จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะขอให้ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งช่วยเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสำนักเลิกใช้พลังเวทที่ไม่น่าวางใจได้เช่นนั้น… ทว่าเมื่อหลี่ฉางโซ่วกล่าวกับปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งแล้ว เจ้าสำนักก็กล่าวว่า ‘ข้าจะแสดงบางกระบวนท่าให้พวกเจ้าเห็นก่อน! ’

จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเสี้ยวควันสีขาวก็รวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าจมูกของเขาและใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงสดใสในทันที!

‘หึ!’

เกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน!

ทว่า…

‘พรึ่ด!’

ทันใดนั้น เจ้าสำนักก็มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปากทันที พวกเขาทั้งสี่คนล้วนตื่นตกใจยิ่งจนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วรีบลุกขึ้นและพุ่งไปหาทันที

เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้น

แม้เจ้าสำนักจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” “ปัญหาเล็กน้อย แค่ปัญหาเล็กน้อย” แต่เลือดก็ได้ย้อมเสื้อสีฟ้าจนกลายเป็นสีแดงไปหมดแล้ว และผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ไม่กี่คนเหล่านั้นต่างก็พากันตกใจและห่วงกังวล

หลังจากนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งได้ขับเคลื่อนเมฆไปในขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์ก็ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าสำนักให้ทรงตัวเอาไว้ได้ก่อน

โชคยังดีที่ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วอยู่ข้างกายเจ้าสำนัก และยังมีพลังเซียนหลงเหลืออยู่บ้างในร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ผู้นี้

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วช่วยเหลือท่านเจ้าสำนัก เขาก็ฉวยโอกาสในช่วงที่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและเจียงหลินเอ๋อร์ไม่ได้สังเกตเขา แล้วถ่ายเทพลังเซียนของเขาเองให้เจ้าสำนักเพื่อช่วยรักษาลมปราณและปราณวิญญาณของเจ้าสำนักให้คงที่เอาไว้ …

หลังจากกลับมาที่สำนักตู้เซียนแล้ว ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็ได้แจ้งเหตุแก่เหล่าผู้อาวุโสอีกครั้ง และใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามเพื่อให้มั่นใจได้ว่าท่านเจ้าสำนักไม่เป็นไรแล้ว…

หนึ่งในเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดกระซิบว่า “จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่บอกให้คนภายนอกได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของท่านเจ้าสำนักเพื่อไม่ให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่จำเป็น ”

พวกเขาก็เห็นด้วยและรับปากปฏิบัติตามคำสั่ง

เนื่องจากเจ้าสำนักได้เข้าปิดด่านเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จึงไม่สะดวกจะให้เข้าเยี่ยม พวกเขาจึงกลับไปที่ยอดเขาของตนเอง

วิญญาณต้นไม้น้อยเกือบจะหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว แต่เนื่องจากเกิดความเสียหายต่อวิญญาณแท้ จึงยังคงหลับอยู่ในฝ่ามือของเจียงหลินเอ๋อร์ คาดว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นตัว

ระหว่างทางกลับไปยังดินแดนเทวะทั้งห้า โหย่วฉินเสวียนหย่าได้ฟังคำบรรยายของหลี่ฉางโซ่ว ทำให้ได้ประโยชน์และได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมาย ในเวลานี้ นางยังกล่าวคำอำลากับหลี่ฉางโซ่วชั่วคราว แล้วกลับไปที่ถ้ำที่พำนักของนางเองและอาจารย์ของนางเองเพื่อนั่งสมาธิและบำเพ็ญเพียร

เรียกได้ว่า นางมีแรงใจฝึกบำเพ็ญอย่างหนักมาก และตามกฎเก่า หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆไปในระดับความสูงที่ไม่สูงหรือต่ำเพื่อรีบกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย

เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่เจ้าสำนักฝึกพลังเวท หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เวทพลังปราณคู่ในช่องปากของตู้เอ๋อร์เจินเหรินนั้น ฝึกฝนยากหรือไม่? จากการสังเกตของหลี่ฉางโซ่ว ดูเหมือนว่า เขาจะปรับแต่งพลังโดยกำเนิดแล้ว จึงปล่อยมันออกมาในลักษณะที่คล้ายกับ ‘คลื่น’…

เมื่อพลังปราณโดยกำเนิดพุ่งออกมา ย่อมก่อให้เกิดเสียง ‘ฮึม’ หรือ ‘ฮา’ ซึ่งเป็นเพียงเสียงที่มาตามธรรมชาติ หากพลังเวทนี้ได้รับการปรับแต่ง ความจริงแล้ว เสียงนี้ก็อาจกลายเป็นเสียง ‘อา’ หรือ ‘ว้าว’ แทนได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนการต่อสู้ มันจะแปลกเกินไปจริงๆ ที่มีเสียงกรีดร้องหรืออุทานเช่นนั้น

อาจจะดีกว่า หากทำเสียง ‘ฮึ่ม ฮ่า ฮึ่ม ฮ่า’ แล้วทุกคนก็รวมตัวกัน เต้นระบำรอบกองไฟและร้องเพลง “ใครเล่า ~ ผู้ใดส่งเจ้ามาเข้าปากข้า”

ล้อเล่น ล้อเล่นน่า

เมื่อหลี่ฉางโซ่วกลับมาที่ยอดเขาหยกน้อยตามปกติ เขาก็ใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อดูว่าศิษย์น้องหญิงน้อยของเขากำลังทำอะไร และเลือกชุดของ ‘รางวัล’ อิงตามพฤติกรรมของนาง

คราวนี้ หลิงเอ๋อรฺไม่ทำให้หลี่ฉางโซ่วผิดหวัง นางอยู่ข้างสระน้ำในภูเขาด้านหลัง กำลังหัวเราะและโบยบินไปดุจผีเสื้ออยู่กับอาจารย์อาน้อยและสงหลิงลี่

ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าหอโอสถ และมองดูผ่านสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา

หลิงเอ๋อร์หัวเราะจนผมทรงเมฆของนางปลิวกระจาย และเสื้อผ้าของอาจารย์อาน้อยก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย สงหลิงลี่ก็ดูเหมือนเด็กที่มีน้ำหนักหลายร้อยจินส์ ได้เหวี่ยงตาข่ายขนาดใหญ่ราวสิบฉื่อ และไล่ตามสองคนที่อยู่ข้างหน้าจากทางด้านหลังอย่างมีความสุข

“ช่างเถิด คราวนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า”

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะ แล้วร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็กลับไปที่หอโอสถ จากนั้น เขาก็ครุ่นคิดเงียบๆ ถึงวิธีการที่จะจัดการกับทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน

หลังจากได้เฝ้าดูทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้แล้ว ทัศนคติในการฝึกบำเพ็ญของหลิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปและให้เวลากับการฝึกบำเพ็ญเพิ่มขึ้นมาก ทุกครั้งที่นางเล่นกับจิ่วจิ่วและสงหลิงลี่ นางก็จะควบคุมเวลาเอาไว้อยู่ภายในสองชั่วยามเช่นกัน

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกพอใจกับการปรับปรุงตัวของหลิงเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง

อย่างน้อยที่สุด ชุดข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่เขาเตรียมไว้ให้นางมาเป็นเวลานาน ก็จะไม่ไร้ประโยชน์แล้ว…

“ยามนี้ ก็จัดการเรื่องของอาจารย์ป้าได้แล้ว”

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก เขานึกถึงสิ่งที่เห็นและได้ยินในแดนยมโลก ก่อนจะหยิบผ้าสองสามผืนออกมา แล้วจดรายละเอียดที่เขาคิดว่าจะได้รับบุญลงไป

เผ่าเวทนั้นซื่อตรงและไร้เดียงสามาตั้งแต่สมัยโบราณ

แน่นอนว่า ย่อมมีผู้รอบรู้มากปัญญาในเผ่าเวท แต่โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก

ในจุดนี้ จากความจริงที่ว่า กงกงและจู้หรง สองบรรพชนแห่งเผ่าเวท อาจถูกยั่วยุอย่างลับๆ ให้เข้าสู่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ก็ยังอาจได้รับการยืนยัน…

การให้เผ่าเวทดูแลแดนยมโลกและสังสารวัฏในเฟิงตู แม้การจัดการจะวุ่นวายไปสักหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผลแล้ว

หลี่ฉางโซ่วรู้ดีว่า ตอนนี้เขายังรู้เรื่องของแดนยมโลกไม่มากนัก และความเข้าใจในแดนยมโลกของเขาก็มีจำกัด

ครั้งหนึ่ง เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ไม่สำรวจตรวจสอบ ไม่มีสิทธิ์พูด[1]

หลี่ฉางโซ่วจึงไม่กล้าสรุปเรื่องของแดนยมโลกในตอนนี้ เขายังต้องรอจนกว่าจะวางแผนบุญในอนาคตแล้ว เขายังต้องไปสำรวจแดนยมโลกให้แน่ชัดเพื่อเตรียมการต่างๆ ทั้งหมดก่อน แล้วจะได้รับบุญมากมาย!

ไม่มีทางอื่น ร่างทองแห่งบุญเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันที่มีประสิทธิผลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมปราชญ์เทพ

ความเป็นความตาย หาใช่เรื่องเล็กไม่ เพราะมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น

การได้รับบุญตามแผนของหลี่ฉางโซ่ว จะเป็น “กิจการ” ที่เขาจะมุ่งมั่นเพื่ออนาคตต่อไปสักระยะเวลาหนึ่ง!

บุญนี้เท่ากับการได้รับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์ หากไม่คิดจะกระโดดออกจากโลกนี้แล้ว ยิ่งมีบุญมากเท่าใด ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เขาจะทำเรื่องเล็กน้อยก่อน แล้วจึงค่อยๆ สร้างร่างทองแห่งบุญสูงสิบฉื่อแล้วได้รับสมบัติแสวงบุญโฮ่วเทียน!

เอ่อ…

จู่ๆ หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งกำลังคิดถึงเรื่องของแดนยมโลกอยู่ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน

ในชีวิตชาติก่อนของเขา เมื่อเขาเป็นมนุษย์ เขาก็แสวงหาผลกำไร เพื่อทำให้ชีวิตของเขาสบายและผ่อนคลายมากขึ้น และเขาก็ทุ่มเททำงานหนักเหนื่อยเช่นกัน

ชีวิตแห่งการฝึกบำเพ็ญนี้ แม้จะมีการพักผ่อนบนภูเขามากกว่า ยิ่งวิถีเซียนงดงามมากขึ้น พลังเวท และคาถาเวทก็ยิ่งมากขึ้น และมีมิตรสหายเซียนมากขึ้น แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง.

บางที นั่นอาจเป็นธรรมชาติของชีวิต

และตัวเขาเอง ก็เป็นคนธรรมดามาโดยตลอด “ผู้อื่นหัวเราะเยาะข้าที่ยากจน ส่วนข้าก็หัวเราะเยาะซากกระดูกที่เยียบเย็นของผู้อื่น”

เอ๋? นี่ก็นับว่า ประโยคน่าทึ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญได้?

เขาเกิดประสบความสำเร็จในการพัฒนาครั้งสำคัญขึ้นมากับการเป็นกวีอย่างไม่คาดฝัน!

สามวันหลังจากกลับมาถึงสำนัก เจียงหลินเอ๋อร์ที่ย้ายไปอยู่ยังที่พำนักหว่างฉิงได้มาที่ยอดเขาหยกน้อย “อย่างเงียบ ๆ” แล้วเปิดฉากจู่โจมจิ่วจิ่วที่กำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ

………………………………………………………………..

[1] คือให้ศึกษาเรียนรู้ให้ถ่องแท้ จึงจะออกความเห็นได้ ความหมายคล้ายกับหากไม่รู้ข้อมูลจริง ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป