ตอนที่ 431 รีบถอย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 431 รีบถอย

แม้แต่ตอนที่พาร่างของเสิ่นชิงจู๋วิ่งเข้าไปในกองไฟเพื่อปลิดชีพ นางก็เคยไม่ร้องไห้!

ทว่า เมื่อเห็นหน้าพี่หญิงใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความอ่อนแอจึงถาโถมเข้ามาในใจเช่นนี้

สตรีในชุดเกราะสีเงินบนหลังม้า ง้างสายธนูเต็มเหนี่ยว เล็งไปทางจ้าวเซิ่งด้วยสีหน้ามั่นคง

ทันทีที่สองสายตาประสานกัน จ้าวเซิ่งเบิกตาโพลง พริบตานั้นเอง ปฏิกิริยาของร่างกายสั่งให้เขาถอยหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นกลิ้งไปด้านข้าง ทว่า ลูกธนูก็ยังเสียบลงบนเกราะหนาซึ่งเฉียดลำคอของเขาไปเพียงนิดเดียว แรงกระแทกทำให้เขาถึงกับมึนงง หากเมื่อครู่เขาช้าไปอีกนิดเดียว เขาคงถูกลูกธนูแทงทะลุลำคอไปแล้ว

องครักษ์ที่ติดตามไป๋ชิงเหยียนมารีบลงจากม้าไปช่วยเหลือคน

ยิงไม่โดนจ้าวเซิ่ง ทว่า ทำให้กองทัพของเขาถอยหนี ไป๋ชิงเหยียนกระชากบังเหียนอย่างแรงจนม้าร้องลั่น จากนั้นฉุดแขนเรียวยาวของไป๋จิ่นจื้อให้ขึ้นมาบนหลังม้า

ไป๋จิ่นจื้อนอนพาดอยู่บนหลังม้า หันไปเรียกพี่หญิงใหญ่เสียงสะอื้น “พี่หญิงใหญ่” จากนั้นหมดสติลงทันที

หลูผิงลงมาจากหลังม้า เตรียมประคองเสิ่นชิงจู๋ซึ่งเสียเลือดมากขึ้นไปบนหลังม้าก็เห็นทหารต้าเหลียงคนหนึ่งถือดาบพุ่งมาทางเขา

ไป๋ชิงเหยียนหยิบลูกธนูออกมาจากกระบอก เล็งยิงออกไปยังร่างๆ นั้นอย่างรวดเร็ว ธนูเสียบทะลุลำคอของทหารผู้นั้นอย่างแม่นยำ หญิงสาวตวาดลั่น “ถอย!”

ไป๋ชิงเหยียนและองครักษ์ของตระกูลไป๋โผล่มาอย่างกะทันหัน กองทัพต้าเหลียงไม่ทันตั้งตัว ต่างพากันตกใจ ได้แต่เบิกตาโพลงมององครักษ์ของตระกูลไป๋ซึ่งถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกระชากทหารต้าจิ้นขึ้นไปบนหลังม้า จากนั้นทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเหยียนออกคำสั่งว่าภารกิจสำคัญในครั้งนี้คือการช่วยชีวิตคน เมื่อช่วยได้แล้วให้รีบจากไปทันที อย่าได้กระหายสงครามเด็ดขาด

เมื่อเห็นกองทัพไป๋ซึ่งมาช่วยคนขี่ม้าถอยทัพหนีไปอย่างเชี่ยวชาญ ไป๋ชิงเหยียนจึงลดธนูลง พาทุกคนมุ่งหน้ากลับไปยังค่ายทหารของตัวเอง

จ้าวเซิ่งหักปลายธนูทิ้ง กดเลือดบริเวณบาดแผลของตัวเองเอาไว้ ขบกรามตะโกนลั่น “พลธนู ยิงไปที่พวกนั้นเดี๋ยวนี้!”

พลธนูง้างสายธนูเต็มแรง เล็งไปยังทิศทางที่กลุ่มของไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าจากไป ทว่า กลุ่มของไป๋ชิงเหยียนหนีไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งอยู่ในป่าลึกมืดทึบ พลธนูทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ จ้าวเซิ่งจึงพาพลธนูมาเพียงแค่นิดเดียว ยิงไม่โดนกองทัพไป๋ที่มีประสบการณ์ในการรบช่ำชองเลยสักดอก

“ตามไป!” จ้าวเซิ่งใช้ดาบค้ำยันร่างของตัวเอง กล่าวเสียงรอดไรฟัน

“รายงาน!” ทหารต้าเหลียงซึ่งอยู่ด้านล่างภูเขาขึ้นมาบนภูเขาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นแล้วรายงาน “รายงานแม่ทัพจ้าว! ทหารต้าจิ้นบุกโจมตีกองทัพของเราที่ล้อมอยู่ด้านล่างภูเขา กองทัพไม่มีแม่ทัพคอยสั่งการ แม่ทัพได้โปรดลงไปสั่งการด้วยเถิดขอรับ…”

ทหารต้าจิ้นกล้าย้อนกลับมาโจมตีกองทัพต้าเหลียงอีกอย่างนั้นหรือ

จ้าวเซิ่งมองไปยังทิศทางที่กลุ่มของไป๋ชิงเหยียนหายลับไป เขาขบกรามแน่น หากพลาดวันนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสสังหารไป๋ชิงเหยียนอีกเมื่อใด

“ลงภูเขา!” จ้าวเซิ่งรีบนำทัพลงไปด้านล่างภูเขา

หวังสี่ผิงที่สู้รบอยู่ด้านล่างภูเขาเห็นดวงไฟหลายดวงพุ่งลงมาจากด้านบนภูเขา เขาจึงคิดว่าไป๋ชิงเหยียนช่วยคนออกมาได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ไป๋ชิงเหยียนจะยังช่วยคนออกไม่ได้ ทว่า เขาสามารถถอยทัพล่อให้ทหารต้าเหลียงไล่ตามพวกเขาไปเพื่อถ่วงเวลาให้ไป๋ชิงเหยียนได้

หวังสี่ผิงตะโกนเสียงดังขึ้นทันที “ถอย! รีบถอย!”

หวังสี่ผิงหันม้ากลับ พาบรรดาทหารถอยทัพหนีอย่างรวดเร็ว

ณ เมืองหลงหยาง หลิวหงนั่งไม่ติดที่ เขายืนรอฟังข่าวอย่างสงบอยู่บนกำแพงเมือง

ลมในช่วงค่ำคืนพัดอย่างรุนแรง มองไม่เห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไอชื้นพัดมาพร้อมกับลมหนาว สื่อให้เห็นว่าพายุฝนใกล้ก่อตัวขึ้นแล้ว

หลิวหงมองดูเนินเขาสูงชันที่อยู่นอกเมือง ตรงนั้นมืดทึบไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย มีเพียงท้องฟ้าบริเวณภูเขาหั่วเสินเท่านั้นที่กลายเป็นสีแดงเพลิง

กองทัพต้าจิ้นไม่ได้อยู่เฉย หลิวหงทำตามแผนการของไป๋ชิงเหยียน สั่งให้คนอพยพชาวบ้านไปยังภูเขาสูงซึ่งอยู่ระหว่างเมืองหลงหยางและเมืองโยวฮว่า

แบ่งกองทัพหนึ่งหมื่นนายออกเป็นห้ากลุ่มเพื่อไปทำลายเส้นทางขนส่งเสบียงทุกเส้นทางของต้าเหลียง

จากนั้นสั่งให้หลินคังเล่อพาคนไปเก็บเกี่ยวข้าวสาลี กำชับให้เก็บให้เสร็จภายในคืนนี้

ทหารต้าจิ้นและต้าเหลียงลงมือปฏิบัติภารกิจของตนเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามท่ามกลางความมืดอย่างเงียบเชียบ

ตอนนี้หลิวหงรู้สึกนับถือในการมองการณ์ไกลของไป๋ชิงเหยียนมาก หญิงสาวคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าสวินเทียนจางจะใช้วิธีนี้มาต่อกรกับกองทัพต้าจิ้น

ความจริงหลิวหงเคยคิดว่าหากไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เอาชนะซีเหลียงได้ด้วยกำลังทหารที่น้อยกว่า ด้วยอายุของหญิงสาว ต่อให้นางจะเกิดในตระกูลไป๋ เขาก็คงไม่มีทางเชื่อใจนางอย่างแน่นอน

แต่เพราะเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไป๋ชิงเหยียนเป็นคนนำทัพจนเอาชนะซีเหลียงได้ หลิวหงจึงเชื่อใจไป๋ชิงเหยียนมากถึงเพียงนี้ เขาถึงคิดว่าต้าจิ้นจะเสียแม่ทัพผู้เก่งกล้าอย่างไป๋ชิงเหยียนไปในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

“คำนวณดูจากเวลาน่าจะกลับมาได้แล้วนี่นา!” หลิวหงเป็นกังวลอย่างมาก

“ท่านแม่ทัพใหญ่อย่ากังวลเกินไปนักเลยขอรับ” ฝูรั่วซีซึ่งเพิ่งทำแผลเสร็จกล่าวโน้มน้าว

“ฝีมือการยิงธนูของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไร้เทียมทาน มีองครักษ์ตระกูลไป๋และแม่ทัพหวังสี่ผิงคอยปกป้อง จวิ้นจู่ไม่มีทางเป็นอันตรายหรอกขอรับ”

หลิวหงพยักหน้า

ทหารคุ้มกันเมืองหลงหยางวิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “แม่ทัพใหญ่! ทางประตูทิศใต้รายงานว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าเป็นองครักษ์ของตระกูลไป๋พาสตรีนางหนึ่งมาส่ง บอกว่าขอเข้าพบเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขอรับ ข้าจึงมาถามแม่ทัพใหญ่ว่าควรจัดการเช่นไรดีขอรับ!”

หลิวหงหันไปมองทหารคุ้มกันเมือง “องครักษ์ตระกูลไป๋ต้องการพบเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่อย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ!” ทหารคุ้มกันเมืองพยักหน้า

บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนไม่อยู่ เขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นองครักษ์ตระกูลไป๋จริงหรือไม่ หากเป็นทหารที่ต้าเหลียงส่งมาเล่าจะทำเช่นไร

“ให้พวกเขารออยู่ที่นอกเมืองก่อน รอจวิ้นจู่กลับมาค่อยสอบถามและตัดสินใจ” หลิวหงกล่าว

“ขอรับ!” ทหารคุ้มกันเมืองรับคำแล้วจากไปทันที

เมื่อทหารซึ่งถูกไฟเผาในภูเขาหั่วเสินทำแผลเสร็จจึงเดินออกมาจากกระโจมอย่างเป็นกังวล

“ไม่รู้ว่าแม่ทัพหวังสี่ผิงจะช่วยนายร้อยออกมาได้หรือไม่” ทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

นายร้อยที่ทหารกล่าวถึงก็คือตู้ซานเป่า

สงครามที่หนานเจียง ตู้ซานเป่ารังแกจี้หลางหวาจึงถูกถอดยศจากนายร้อยเหลือเพียงนายสิบ

ทว่า ในสายตาของเหล่าทหาร ตู้ซานเป่าเป็นคนกล้าหาญและรักพวกพ้อง เป็นนายร้อยในใจของพวกเขาเสมอมา

“ต้องได้อยู่แล้ว! เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปช่วยด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าตอนที่แม่ทัพใหญ่ห้ามไม่ให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปช่วยเกาอี้เซี่ยนจู่ จวิ้นจู่กล่าวว่าคุณธรรมของกองทัพไป๋คือการไม่ทอดทิ้งทหารที่เคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแม้แต่คนเดียว จวิ้นจู่ต้องช่วยนายร้อยของพวกเรากลับมาได้อย่างแน่นอน!”

“ตอนที่อยู่ในสงครามหนานเจียง ข้าได้ยินคนเล่าว่าเวลาออกรบจวิ้นจู่ชอบบุกอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพเหมือนกับนายร้อยของเราไม่มีผิดเพี้ยน! ส่วนเกาอี้เซี่ยนจู่ก็ยอมเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อทหารต้าเหลียงเข้าไปในป่าลึกให้พวกเราได้มีโอกาสหนีรอดออกมาอย่างปลอดภัย ได้ติดตามแม่ทัพที่กล้าหาญ พร้อมสู้ตายไปกับพวกเรา อีกทั้งไม่ทอดทิ้งพวกเรายามมีอันตรายช่างรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก มิน่ากองทัพไป๋ถึงได้สามัคคีปรองดองกันถึงเพียงนี้!”

“นั่นนะสิ แล้วดูบรรดาแม่ทัพผู้สูงส่งของเราสิ เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังสุดตลอดเวลา คงคิดว่าหากพวกเรารบแพ้ พวกเขาจะได้หนีเอาตัวรอดได้อย่างรวดเร็วกระมัง!”