ตอนที่ 259 ถอนตัวแล้ว
ตอนที่ 259 ถอนตัวแล้ว
“เป็นอย่างไรรึ? ข้าไม่รู้หรอก” หนานหนานตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา
ฮ่องเต้กลับรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว เจ้าเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พระองค์ไม่เข้าใจเลย ตอนที่ซิวเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่น เหตุใดถึงปล่อยให้เจ้าสามรังแกโดยไม่คิดจะส่งเสียงห้ามแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เจ้าเด็กนี่เป็นลูกชายของตนเอง
การแข่งขันด้านบู๊และบุ๋นแตกต่างกันมาแต่ไหนแต่ไร การแข่งขันด้านบุ๋นเป็นการขยับปากขยับร่างกายประเภทเล่นพิณ เล่นหมากรุก วาดภาพ คัดพู่กัน เขียนโคลงกลอน แค่สมองไวและมีของดีอยู่ในตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะถูกจัดอยู่อันดับต้น ๆ อย่างน้อย ๆ ร่างกายก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แต่การแข่งขันด้านบู๊กลับมิได้เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า การยิงธนู หรือการวิ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีบาดแผลอยู่บนร่างกายแล้ว แม้จะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เด็กผู้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจะทนไหว
ในการแข่งขันบู๊ สิ่งที่สืบทอดมายาวนานมากที่สุดคือการต่อสู้โดยไร้มนุษยธรรม อย่างอื่นเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ยังหยุดได้ แต่การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ในตอนท้ายว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร และจะหยุดก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้ยอมแพ้เท่านั้น
ทว่าการแข่งขันประเภทนี้ถือเป็นเกียรติสำหรับอาณาจักร จะมีใครยอมแพ้ง่าย ๆ? ดังนั้นพวกเขาจึงถูกทุบตีจนตายถึงจะจบการแข่งขันได้
ด้วยเหตุนี้การแข่งขันด้านการต่อสู้ในทุก ๆ ปี จึงไม่ส่งลูกหลานเหล่าเชื้อพระวงศ์ออกไปร่วมการแข่งขัน อย่างมากที่สุดก็จะเลือกคนทั่วไปที่มีทักษะการต่อสู้ไปเข้าร่วม คนที่ไม่กลัวตายจะเข้าไปลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันนี้ โดยจะเลือกกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุมากที่สุด
ปีนี้หนานหนานเพิ่งจะอายุห้าขวบ เด็กตัวเล็ก ๆ มีร่างกายนุ่มนิ่ม ทั้งยังเป็นหลานชายที่พระองค์รักมากที่สุด พระองค์จะปล่อยให้เขาไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไรกัน?
ฮ่องเต้คลึงหว่างคิ้ว ก่อนจะดึงร่างเล็ก ๆ แสนนุ่มนิ่มของหนานหนานกลับกอดมาอีกครั้ง “หนานหนาน เรื่องนี้อันตรายถึงชีวิต เจ้าไม่กลัวตายจริง ๆ รึ?”
“กลัวสิ ข้ากลัวตาย” หนานหนานตอบอย่างจริงใจ “แต่ข้ามีทักษะในการป้องกันตัวเอง ใครก็ฆ่าข้าไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เสด็จปู่อย่าได้กังวลใจเลย”
“…” ฮ่องเต้ถึงกับมุมปากกระตุกวูบ เขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน? อาณาจักรทั้งสี่ต่างก็ส่งคนมีความสามารถออกมา ให้เด็กสิบขวบสู้กับเด็กห้าขวบ แบบนี้ก็คงเอาชนะได้อย่างง่ายดายมิใช่รึ?
เย่หลานเฉิงเห็นทั้งคู่หาทางออกให้กันไม่ได้ แม้ว่าเขาจะรู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมาจากการต่อสู้ แต่เขาก็ทราบดีว่าหนานหนานมีความหัวรั้นยิ่งกว่าอะไรดี เรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ดูเหมือนว่าคงมีแค่ท่านน้าชิงที่จะโน้มน้าวใจเขาได้
แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว เขาก็ไม่อยากให้เสด็จปู่ลงโทษหนานหนานอยู่ดี จึงเสนอความคิดไปว่า “เสด็จปู่…หนานหนาน ให้ท่านอาห้าตัดสินใจเรื่องนี้ดีหรือไม่”
เขาคิดว่า ท่านอาห้าน่าจะไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้หนานหนานไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ถึงเวลานั้นหากไปคุยกับท่านน้าชิง หนานหนานก็คงทำได้แค่ล้มเลิกความคิดนี้
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ จึงหันมองเย่หลานเฉิงด้วยความชื่นชม ถูกต้อง เรื่องปวดหัวเช่นนี้ปล่อยให้ซิวเอ๋อร์จัดการจะดีกว่า เพื่อป้องกันมิให้พระองค์ต้องดูเหมือนกับเป็นคนนอกที่เขามายุ่งเรื่องนี้
หนานหนานกลับขมวดคิ้ว เหตุใดเรื่องนี้ต้องให้ท่านพ่อมาตัดสินใจด้วย?
“หนานหนาน เจ้าไม่มีความมั่นใจว่าจะพูดโน้มน้าวใจท่านอาห้าได้งั้นรึ?”
หนานหนานทำแก้มป่องทันใด “เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าจะบอกอะไรให้ ข้าต้องเข้าร่วมการต่อสู้นี้ให้ได้ และข้าต้องได้ที่หนึ่งกลับมาด้วย ข้าจะทำให้ท่านพ่อเห็นด้วย ข้าต้องเข้าร่วม ต้องทำให้ได้…”
เขาถึงขั้นให้คำมั่นสัญญา ทว่าเย่หลานเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก
ท่านอาห้ารักหนานหนานมาก เขาไม่มีทางปล่อยหนานหนานให้ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตราย
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม หันกลับมาสั่งเหมียวเชียนชิว “เจ้านำราชโองการไปที่ตำหนักอ๋องซิว บอกให้ซิวเอ๋อร์เข้าวังโดยด่วน”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหมียวเชียนชิวขานตอบ หมุนกายเดินออกจากตำหนักไป
ครั้นเขาเดินออกไป เงาหนึ่งที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดก็รีบขดตัว ซ่อนอยู่ด้านหลังประตูวัง จนกระทั่งเหมียวเชียนชิวหายไปอย่างสมบูรณ์ นางจึงรีบหมุนตัวและเดินเข้าไปในวังจากทางด้านหลัง
“ไทเฮาเพคะ” ลวี่ฝูปิดประตูอย่างเงียบ ๆ ก้าวเท้ามาด้านหน้าสองสามก้าว ครั้นเห็นไทเฮากำลังหลับอยู่เตียง จึงกระซิบเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ไทเฮาได้ยินเสียง จึงค่อย ๆ ลืมตาพลางเอ่ยถาม “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักของเฉิงซื่อจื่อเพคะ แต่เหมียวกงกงเพิ่งออกไปเมื่อครู่”
“ช่วงนี้ฮ่องเต้เสด็จไปที่ตำหนักของหลานเฉิงอยู่บ่อย ๆ ขยันไม่เบา” ไทเฮาร่างกายแข็งทื่อไปเล็กน้อย ลวี่ฝูเห็นเช่นนี้จึงรีบเข้ามาช่วยประคองให้พระนางนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ
“หม่อมฉันได้ยินมาว่า ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเสด็จกลับจากตำหนักของเฉิงซื่อจื่อ จะอารมณ์ดีอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในตำหนักเฉิงซื่อจื่อด้วยเพคะ” ลวี่ฝูกลับมายืนด้านล่างอีกครั้ง พลางเล่าด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
ไทเฮาแย้มยิ้ม “อารมณ์ดี? ในตำหนักหลานเฉิงสิ่งที่ทำให้คนอารมณ์ดีได้ คงมีแค่เด็กหนานหนานคนนั้น”
“เพคะ…” ครั้นนึกถึงหนานหนาน จิตใจของลวี่ฝูก็ผ่อนคลายและอารมณ์ดีโดยไม่รู้ตัว เด็กคนนั้นแตกต่างจากองค์ชายคนอื่น ๆ จริง ๆ
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่ไทเฮาก็รู้สึกมีความสุขที่ได้เจอหนานหนานเช่นกัน
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทุกครั้งที่เฉิงซื่อจื่อพาหนานหนานเข้ามาคารวะไทเฮา ไทเฮาก็จะเกิดความกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ โดยเฉพาะผงไข่มุกที่หนานหนานมอบให้ ทำให้ไทเฮามีความสุขมาก
“ลวี่ฝู” ไทเฮาขานเรียกเบา ๆ หลังจากเงียบขรึมไป จู่ ๆ ก็กล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่าเดิม “สถานะของเด็กคนนั้น ยังสืบไม่เจออีกรึ?”
ลวี่ฝูถึงกับตกใจ รีบก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว “หม่อมฉันไร้ประโยชน์เพคะ”
“เอาเถอะ ในเมื่อฮ่องเต้อยากปิดบังเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องไปสืบค้น” ไทเฮาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก “เจ้าไปบอกคนที่กำลังสืบหาข้อมูลเหล่านั้นให้แยกย้ายเถอะ เราเองก็ไม่ได้อยากรู้สถานะของเด็กคนนั้นแล้ว”
ลวี่ฝูจะไม่ล่วงรู้ความคิดของไทเฮาได้อย่างไร? ตอนนี้ไทเฮาโปรดปรานหนานหนานมาก เป็นเพราะหนานหนานทำให้พระนางมีความสุข ทว่าเรื่องในราชวงศ์เป็นอะไรที่ซับซ้อน หากกล่าวถึงสถานะย่อมมีสิ่งที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ดี
ไทเฮาอยู่วังหลังมานานหลายปี นับเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอคนที่ทำให้พระนางรู้สึกรักโดยไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง เหตุใดต้องยืนกรานสั่งให้ลวี่ฝูไปสืบสถานะของหนานหนานด้วย?
ลวี่ฝูเม้มปาก ทว่าภายในใจกลับรู้สึกผ่อนคลาย อันที่จริงนางก็ไม่อยากให้ความโปรดปรานนี้มีสิ่งอื่นเข้ามาแอบแฝง
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” ลวี่ฝูพยักหน้า หมุนกายเดินออกจากห้องบรรทมของไทเฮา
ครั้นกลับออกมา ก็สั่งให้คนที่ติดตามเหมียวเชียนชิวแยกย้ายกันกลับไป
คนที่ตามสืบแยกย้ายไปแล้ว เหมียวเชียนชิวที่นั่งอยู่ในรถม้ายังคงลืมตา ทว่าความกังวลก็ถูกปล่อยวางลง คนที่ติดตามเขาออกมาจากในวัง ดูเหมือนว่าสถานะคงไม่ธรรมดา
ตอนนี้เขากำลังจะไปที่ตำหนักอ๋องซิว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นความลับอะไร แต่เขาก็เป็นกังวลใจว่าคนเหล่านั้นจะนำเรื่องของตำหนักอ๋องซิวมาปะติดปะต่อกับเรื่องของหนานหนาน ถึงอย่างไรตอนนี้ฝ่าบาทก็ยังอยู่ในตำหนักของเฉิงซื่อจื่อ
“เสี่ยวฮวานจื่อ เร่งหน่อย” เหมียวเชียนชิวแหวกม่านรถ ก่อนจะกำชับขันทีที่กำลังควบคุมทิศทางม้า
เสี่ยวฮวานจื่อขานตอบ จากนั้นจึงกระตุกบังเหียนม้า เปลี่ยนทิศทางโดยใช้เส้นทางที่ไปถึงตำหนักอ๋องซิวโดยเร็วที่สุด
ผู้อารักขาของตำหนักอ๋องซิวเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ครั้นเหมียวกงกงลงจากรถม้า จึงถูกผู้อารักขาขวางทางไว้ในทันที
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ท่านพ่อมาเอาตัวลูกชายออกไปทีค่ะ การประลองนี้มันเสี่ยงถึงแก่ชีวิตนะคะ
ไหหม่า(海馬)