บทที่ 363 ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 363 ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

กู้เจียวเคยได้ยินฉินกงกงบอกว่าแรกเริ่มเดิมทีฝ่าบาทกับท่านย่าสนิทสนมกันมากทีเดียว แต่ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้ค่อยๆ ห่างเหินไป

เริ่มต้นจากเรื่องใดนั้นฉินกงกงเองก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าทั้งคู่หมางเมินกันมาขึ้นเรื่อยๆ องค์หญิงหนิงอันที่เป็นคนกลางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นฝ่าบาทก็ขึ้นครองราชย์ ไทเฮานั่งว่าราชการหลังม่าน เนรเทศจิ้งไท่เฟยไปยังสำนักชี ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็แตกหักกันโดยสมบูรณ์

หนานเซียงเห็นกู้เจียวท่าทางครุ่นคิด ก็รู้แจ้งในใจว่ากู้เจียวนึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว

แต่นางไม่ได้สืบถามมากมาย

นางชอบกู้เสี่ยวซุ่น ยินดีจะเป็นครอบครัวกับกู้เสี่ยวซุ่น และย่อมมองกู้เจียวต่างออกไปจากเดิม แต่นางไม่มีทางใช้ฐานะผู้อาวุโสมาแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของกู้เจียว

กู้เจียวยินดีจะบอก นางก็จะฟัง หากไม่สะดวกเผยออกมา นางก็จะไม่ถาม

กู้เจียวเอ่ยต่อ “อาจารย์หนาน เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าสมุนไพรชนิดนี้คือส่วนผสมที่ใช้เร่งฤทธิ์ยา ก็หมายความว่ามันต้องผสมกับยาตัวอื่นจึงจะออกฤทธิ์ใช่หรือไม่”

“ถูกต้อง ยาชนิดนี้หายากมากในบรรดาทั้งหกแคว้น เดิมมันเป็น…” หนานเซียงหยุดเว้นไป ก่อนจะแย้มยิ้มเอ่ยว่า “เป็นยาแฝดของนิกายถัง จำแนกเป็นยาขาวกับยาดำ แรกเริ่มนำมาใช้ควบคุมพวกคนที่ไม่เชื่อฟัง ต่อมาถูกเจ้าสำนักนิกายถังห้ามใช้เนื่องจากเป็นวิธีการที่ต่ำช้า ในบรรดาหกแคว้นมีคนไม่น้อยอยากได้วิธีนี้จึงได้ขโมยไปจากนิกายถัง”

นิกายถัง

กู้เจียวได้ยินชื่อใหม่อีกแล้ว

หนานเซียงเล่าต่อ “แต่ว่าต่อให้มีวิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะปรุงยาออกมาได้ง่ายๆ จากที่ข้ารู้มานั้น ในบรรดาแคว้นระดับล่างไม่มีหมอคนไหนหรือหมอยาคนใดสามารถผสมยานี้ออกมาได้ในตอนนี้”

กู้เจียวถาม “อาจารย์หนานเคยเห็นสูตรยานี้มาก่อนหรือไม่”

หนาเซียงถอนใจพลางส่ายหน้า “น่าเสียดายนัก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

กู้เจียวพยักหน้าแล้วถาม “แล้ว…ยาขาวทำให้คนเกิดความรู้สึกดี ยาดำทำให้คนเกิดความรังเกียจใช่หรือไม่”

หนานเซียงเอ่ย “ถูกต้อง”

นางใช้ชีวิตมาสองชาติแล้วนึกไม่ถึงว่าจะไม่รู้ว่ามียาพรรค์นี้อยู่บนโลกนี้ด้วย นางช่างประสบการณ์น้อยนัก

กู้เจียวชักสนใจขึ้นมาเรื่อยๆ นางถามต่อ “แล้วมันทำอย่างไรหรือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะออกฤทธิ์กับเป้าหมายถูกคน”

หนานเซียงยิ้มเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ขอแค่ป้อนด้วยตัวเอง โดยปกติแล้วไม่มีทางพลาดแน่นอน”

หากเป็นอย่างที่ว่ากู้เจียวก็เข้าใจแล้ว หากการคาดเดานี้เป็นจริงละก็ เช่นนั้นตอนนั้นจิ้งไท่เฮาก็คงป้อนยาขาวให้ฮ่องเต้ด้วยตัวเอง แล้วท่านย่าก็เป็นคนป้อนยาดำให้ฮ่องเต้เอง

และแน่นอนว่าท่านย่าย่อมไม่มีทางเล่นงานตัวเองเช่นนี้หรอก ตอนนั้นท่านย่ายังไม่ระแวงจิ้งไท่เฟยเลย คงจะโดนจิ้งไท่เฟยเล่นงานเอาแน่

กู้เจียวเอ่ยต่อ “ส่วนผสมเพิ่มประสิทธิภาพคืออะไรหรือ ส่วนผสมที่เพิ่มประสิทธิภาพของยาดำกับยาขาวเหมือนกันหรือไม่”

หนานเซียงยิ้มพลางพยักหน้า “ส่วนผสมเหมือนกันเลย บางคนนิสัยหนักแน่น ถูกยาเล่นงานได้ยาก ยามนี้จึงต้องใช้ส่วนผสมเพิ่มเพื่อเร่งฤทธิ์ยา แน่นอนว่ายังมีอีกกรณีหนึ่ง นั่นคือพอเวลาเนิ่นนานไปฤทธิ์ยาจะไม่เสถียรพอ จึงต้องใช้ส่วนผสมเร่งฤทธิ์ยา ส่วนผสมนี้ไม่ต้องดื่มกิน ให้คนๆ นั้นดมเป็นระยะๆ ก็พอแล้ว”

บทสนทนามาถึงตรงนี้ ไม่ต้องคิดก็เดาได้แล้วว่าถุงเงินใบนี้ใครเป็นคนให้เว่ยกงกงมา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกู้เจียวหยิบถุงเงินมาดมแล้วได้กลิ่นไม้จันทน์หอมอันเข้มข้นแผ่กำจายออกมา มันมาจากสำนักชีโดยไม่ต้องสงสัยเลย

กู้เจียวกะน้ำหนักกระเป๋าเงินที่อยู่ในมือพลางเอ่ย “อาจารย์หนานจมูกไวเสียจริง กลิ่นไม้จันทน์หอมเข้มข้นเพียงนี้ก็ยังได้กลิ่นส่วนผสมยาด้านในได้”

หนานเซียงแย้มยิ้ม “นี่ก็หลักการเดียวกันกับพวกหมออย่างพวกเจ้าแยกสมุนไพรนั่นแหละ”

มนุษย์นั้นมักจะไวต่อสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคยเป็นพิเศษ หากใส่หัวนกเอาไว้ด้านใน เชื่อได้เลยว่าเด็กสาวนางนี้ก็จะได้กลิ่นทะลุกลิ่นไม้จันทน์หอมออกมาแน่นอน

กู้เจียวมองไปยังหนานเซียงพลางเอ่ย “สามารถได้กลิ่นสมุนไพรชนิดนี้ได้ ดูท่าแล้วอาจารย์หนานก็ไม่ใช่คนธรรมดาๆ เช่นกันนะนี่”

หนานเซียงยิ้มเอ่ย “เช่นกันนั่นแหละ”

เด็กสาวคนนี้ก็ไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่โดนรังแกได้ง่ายๆ เช่นกัน นางซุกซ่อนความสามารถเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้

ทั้งสองล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียวและรู้จักวางตัวทั้งคู่ เรื่องส่วนตัวจึงหยุดไว้เพียงเท่านี้ เพราะทั้งเคารพและไว้เนื้อเชื่อใจ เคารพตัวตนและความลับซึ่งกันและกัน ในขณะเดียวกันการไว้วางใจความลับเหล่านี้ก็ไม่มีทางทำร้ายตัวเองและคนในครอบครัวของกันและกัน

จากที่หนานเซียงเล่ามา กู้เจียวได้รู้จักสิ่งใหม่ๆ ของมิตินี้เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ที่แท้นอกจากทั้งหกแคว้นแล้วไม่ได้มีแค่ทูเจวี๋ยอย่างเดียว ยังมีนิกายถังด้วย

นิกายถังตั้งอยู่หลีกเร้นชาวโลก ไม่ไปมาหาสู่กับทั้งหกแคว้น คนในนิกายถังไม่อาจจากนิกายถังไปได้ตลอดชีวิต และห้ามไปเหยียบแคว้นทั้งหกแม้เพียงครึ่งก้าว

แน่นอนว่ายาชนิดนี้เป็นยาที่หนานเซียงกับกู้เจียวได้รู้จักมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นยาดำหรือว่ายาขาว ล้วนไม่มียาแก้โดยเฉพาะ ทำได้แค่ปล่อยให้ฤทธิ์ยาหมดไปตามกาลเวลา หรืออาจจะไม่หมดไปตลอดกาลเลยก็ได้

กู้เจียวเอ่ยเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่ว่า “ตอนที่ฤทธิ์ยาหมดไปจะเกิดอาการอะไรหรือไม่”

หนานเซียงส่ายหน้า “รายละเอียดข้าไม่เคยเห็นชัดๆ ได้ยินมาแค่ว่าอาจจะเกิดความฟั่นเฟือนได้ อย่างเช่น…การฝันร้าย”

สิ่งที่หนานเซียงไม่ได้บอกก็คืออาจจะมีวิกลจริตได้ด้วย แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ คนอื่นอาจจะพูดเพ้อเจ้อก็ได้

กู้เจียวตั้งใจครุ่นคิดอย่างจริงจัง เว่ยกงกงเคยบอกไว้จริงๆ ว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้นอนไม่หลับ หรือว่าจะเกี่ยวกับยานี้

นางมองดอกไม้แห้งบนโต๊ะพลางเอ่ย “แล้วตัวเร่งฤทธิ์ยานี้ทำให้ยาสิ้นฤทธิ์ได้หรือไม่”

“ตามหลักการแล้วทำได้ แต่ว่า…” หนานเซียงลูบดอกไม้แห้งบนโต๊ะ “ปกติใช้ส่วนผสมแค่แผ่นสองแผ่นก็พอแล้ว ใช้เยอะแยะเพียงนี้หมายความได้อย่างเดียวว่าคนที่ถูกใช้ยานี้มีอาการไม่เสถียรอย่างมาก ประสิทธิภาพของส่วนผสมไม่มีผลใดแล้ว เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นเตรียมจะวางยาเป้าหมายอีกครั้ง”

“วางยาอีกรอบยังจะได้ผลอีกหรือ” กู้เจียวถาม

หนานเซียงครุ่นคิดจริงจัง “น่าจะได้ผลอยู่ แต่ยังมีผลเท่านั้นคงยากจะบอกได้”

ดังนั้นแล้ว เมื่อวานนี้จิ้งไท่เฟยไปซื้อยาจริงๆ นางตั้งใจจะวางยาฮ่องเต้อีกครั้ง เพราะไม่ว่าฤทธิ์ยาจะเป็นอย่างไรก็ไม่แย่เท่าตอนนี้แล้ว

เมื่อคืนนี้จิ้งไท่เฟยล่อฮ่องเต้ให้ไปเสวยมื้อค่ำที่สำนักชีก็คงกะจะวางยาพระองค์ แต่บังเอิญว่ากู้เจียวก็อยู่ที่นั่นด้วยทำให้จิ้งไท่เฟยลงมือไม่ได้

ทว่าจิ้งไท่เฟยไม่มีทางลดละเพียงเท่านี้แน่ กู้เจียวรู้สึกว่านางยังคงจะหาโอกาสเข้าใกล้ฮ่องเต้อีกแน่นอน

“ข้ายังมีธุระอยู่อีกนิดหน่อย ขอตัวก่อนล่ะ วันหน้าค่อยมาเยี่ยมเยือนใหม่” หนานเซียงนั่งต่ออีกพักหนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวลา

กู้เจียวมาส่งกู้เสี่ยวซุ่นกับอาจารย์หลู่ที่หน้าประตู

หลังจากที่อาจารย์หลู่ขึ้นรถม้าก็สะทกสะท้อนใจ “พูดคุยกับเด็กคนนั้นตั้งนาน ไม่กลัวจะเผลอหลุดตัวตนที่แท้จริงออกไปรึ”

หนานเซียงเอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “กลัวอะไรล่ะ ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เพียงไม่นานนางก็จะมาเป็นพี่สาวของลูกชายพวกเราแล้ว นางพบเจอเรื่องใดพวกเราก็ไม่อาจเอาแต่นิ่งดูดายได้หรอก”

อาจารย์หลู่กุมมือนางไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงใจ “ไม่ใช่ว่าข้าเห็นแก่ตัว เจ้าเอาตัวเองเข้าไปแล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่องพรรค์นั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง การแย่งชิงของราชวงศ์มีคนของราชวงศ์ไปจัดการแก้ไข เจ้าอย่าไปทำชั่วตามคนอื่น”

ใบหน้าหลังผ้าผืนบางที่ถูกทำให้เสียโฉมของหนานเซียงเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยตอบ “ทราบแล้ว”

ราตรีมาเยือน คนทั้งครอบครัวต่างกลับบ้านกันมาหมดแล้ว ยกเว้นเสี่ยวจิ้งคงที่ถูกจับตัวไปวังหลวง ได้ยินเรื่องที่กู้เสี่ยวซุ่นมีอาจารย์หลู่กับหนานเซียงเป็นบิดามารดาบุญธรรม

จี้จิ่วอาวุโสเข้าครัวทำอาหารมื้อใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อฉลองให้กับกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เสี่ยวซุ่นละอายใจไม่น้อย ยามนี้เขายังมึนงงอยู่เลย เขากลายเป็นลูกชายของอาจารย์และอาจารย์แม่ไปได้อย่างไรกันนะ

กู้เหยี่ยนมองอาหารในจานกองพะเนินจนจะล้มของเขาพลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ดูสิ ข้าไม่ได้พูดผิดกระมัง อาจารย์แม่ถูกใจเจ้าเข้าแล้ว”

กู้เสี่ยวซุ่น “…”

ถูกใจของเจ้ามันหมายความแบบนี้หรือ

เมื่อทานอาหารเรียบร้อย อวี้หยาร์ก็เก็บตะเกียบกับถ้วยชามไปไว้ที่เรือนท้าย ส่วนทุกคนเริ่มแยกย้ายไปจัดการธุระตัวเอง

กู้เหยี่ยนไปช่วยเสี่ยวจิ้งคงพาไก่ไปเดินเล่น เดิมทีควรจะพาไปเดินเล่นก่อนมื้อเย็น แต่ใครให้เขาผลัดเวลาออกไปกันล่ะ นี่ฟ้ามืดแล้วเพิ่งจะออกจากบ้าน

กู้เสี่ยวซุ่นไปตกแต่งไม้ของตัวเอง เซียวลิ่วหลังกลับไปที่ห้องหนังสือ ส่วนกู้เจียวไปรดน้ำสวนผักที่เรือนหน้า

แม่นางเหยาเดินผ่านมา “เจียวเจียว”

“หือ” กู้เจียวรดน้ำพลางหันมามองทางแม่นางเหยา

แม่นางเหยาหอบกล่องใบหนึ่งไว้ในมือ สีหน้าค่อนข้างตระหนกและกระวนกระวาย “เจียวเจียว เจ้ามานี่หน่อยสิ”

“เจ้าค่ะ” กู้เจียววางบัวรดน้ำลง แล้วเดินไปข้างโต๊ะหิน แม่นางเหยานั่งลงบนม้านั่งหินตัวหนึ่ง กู้เจียวจึงนั่งลงข้างนาง

แม่นางเหยาวางกล่องในอ้อมแขนลงบนโต๊ะ ก่อนจะดันมันไปตรงหน้ากู้เจียว

“นี่คืออะไรหรือ” กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ

แม่นางเหยาแววตาเฝ้าคอย “เจ้าเปิดดูสิ”

กู้เจียวยกมือขึ้นเปิดกล่อง พบว่าด้านในเต็มไปด้วยเครื่องประดับเพชรนิลจินดาอันงดงามและละเอียดอ่อน คุณภาพยอดเยี่ยม

“นี่คือ…” กู้เจียวไม่เข้าใจเจตนาของแม่นางเหยา

แม่นางเหยาตั้งสติ เรียกกำลังใจให้เต็มเปี่ยมดึงมือกู้เจียวมาพลางเอ่ย “ก็ให้เจ้าน่ะสิ”

“ให้ทำไมรึ” กู้เจียวถาม

วันนี้ไม่ใช่วันสำคัญอะไรสักหน่อย เพราะเหตุใดจึงมอบเครื่องประดับให้นางกันเล่า

แม่นางเหยาก้มหน้าบีบผ้าเช็ดหน้าพลางเอ่ย “อยากจะให้เจ้าตั้งนานแล้ว แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่รับมาตลอด”

พวกนี้ไม่ใช่เครื่องประดับราคาแพงอะไรมากมาย แม้ว่าจะประณีตละเอียดดี แต่ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านย่ามอบให้นางก่อนจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ลวดลายตกยุคไปหมดแล้ว

นางก็ไม่ได้อัตคัดขัดสนจริงๆ เสียหน่อย เพียงแค่เครื่องประดับที่ซื้อมาไม่มีความหมายเท่าที่ท่านย่ามอบให้แก่นางก็เท่านั้น

ทว่าสิ่งที่นางรู้สึกว่ามีความหมายก็ไม่รู้ว่าลูกสาวจะชอบหรือไม่

อีกอย่าง นอกจากนางเย็บเสื้อใหม่ให้ลูกสาวทุกๆ เดือนแล้ว เงินทองอะไรพวกนั้นลูกสาวก็ไม่เอาเลย

กู้เจียวไม่ได้เอ่ยคำใด

แม่นางเหยาคิดว่านางจะปฏิเสธจึงรีบเอ่ย “มะ…ไม่ได้มีค่าราคาอะไรมากมายหรอก! เป็นพวกเครื่องประดับเก่าๆ ทั้งนั้น!”

นี่ยังไม่มีค่าราคาใดอีกหรือ แล้วแบบไหนจึงจะมีค่ามีราคาเล่า

กู้เจียวไม่ค่อยเข้าใจกับลวดลายสมัยโบราณเท่าใดนัก แต่นางรู้จักทองคำนะ หากขายเครื่องประดับทองคำทั้งกล่องไปก็จะสามารถซื้อคฤหาสน์หลังเล็กๆ ในเมืองหลวงได้แล้ว

กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา “เก่ามากเลย…”

แม่นางเหยา “กะ…ก็ไม่ได้เก่ามากมายหรอก!”

ไอ้หยา นางกำลังพูดอะไรน่ะ

มีค่ามีราคาเกินไปก็กลัวว่านางจะไม่รับ ไม่มีค่าราคาเกินไปก็จะดูเหมือนของขวัญไม่มีคุณค่า

แม่นางเหยาไม่เคยรู้สึกยุ่งเหยิงและทุกข์ใจขนาดนี้มาก่อน

กู้เจียวมุมปากหยักยกขึ้นยิ้ม “งดงามนัก ข้าชอบมากเลย”

นี่คือ…ยอมรับไว้แล้วใช่หรือไม่

ดวงตาแม่นางเหยาพลันเป็นประกาย ในที่สุดความกระวนกระวายใจทั้งคืนก็วางใจได้ลง

นางอดพรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียดออกมาไม่ได้

อันที่จริงหากบอกว่านางกังวลว่าลูกสาวจะปฏิเสธของขวัญที่นางมอบให้ ไม่สู้บอกว่านางสนใจที่ลูกสาวจะปฏิเสธความหวังดีที่มีต่อลูกสาวดีกว่า

กู้เจียวกลับมาที่ห้องตะวันออก ก่อนจะหยิบเครื่องประดับในกล่องออกมาชื่นชมทีละชิ้น

ในฐานะแขกที่มาจากต่างดาว นางชอบเครื่องประดับพวกนี้จริงๆ นะ ล้วนเป็นของเก่าแก่โบร่ำโบราณ

นางกำลังชื่นชมอยู่ เซียวลิ่วหลังก็มาหยุดอยู่หน้าประตู

กู้เจียวสัมผัสลมหายใจนอกประตูได้อย่างว่องไว นางจึงหันไปมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “สามี”

เสียงเรียกอันคุ้นเคยที่ไร้ความคิดใดๆ เอ่ยเรียกเซียวลิ่วหลังจนเซียวลิ่วหลังเกือบลมหายใจสะดุด

เซียวลิ่วหลังกุมหน้าอกไว้ สายตากวาดมองเครื่องประดับบนโต๊ะ ใช้แขนเสื้อกว้างบังแขนขวาตัวเองไว้

“เจ้าถืออะไรอยู่น่ะ” กู้เจียวกลับยังอุตส่าห์ตาไวเห็นเข้า

“ไม่มีอะไรหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ข้ายังมีตำราที่ยังอ่านไม่จบ”

เขาเอ่ยพลางหันหลังจะเดินกลับ

กู้เจียววางปิ่นมุกในมือลง แล้วสาวเท้าไปหาสองสาวก้าว ก่อนดึงแขนเสื้อเซียวลิ่วหลังไว้ “เจ้าถืออะไรอยู่น่ะ ขอข้าดูหน่อย”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “ก็บอกว่าไม่มีอะไร”

กู้เจียวไม่เชื่อ นางยื่นมือไปคว้ามือขวาที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเขา

แม้ว่าเขาอยากจะหลบ แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของกู้เจียวได้อย่างไร

เพียงไม่นานกู้เจียวก็ดึงด้ายแดงเส้นนั้นมาจากมือเขาได้

นี่เป็นด้ายแดงที่ถักด้วยมือ ร้อยด้วยหยกเล็กๆ อันประณีตหลายเม็ด คุณภาพของหยกไม่ได้ดีเลิศอะไรนัก แต่ฝีมือการถักด้ายแดงประณีตวิจิตรยิ่งนัก

“เอามาให้ข้าหรือ” กู้เจียวถาม

ไหนๆ นางก็เอาไปแล้ว หากยังปฏิเสธอีกก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

เซียวลิ่วหลังส่งเสียงอืมออกมาอย่างคลุมเครือ

สิ่งนี้ถักขึ้นโดยหญิงชราที่เขาเห็นระหว่างทางกลับบ้านจากสำนักฮั่นหลิน ชั่วขณะที่สีแดงสดใสกระทบสู่ม่านตาเขา เขาก็แทบนึกถึงนางขึ้นมาทันที

ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่านางใส่แล้วสวยเหมาะกับนาง

ทว่าซื้อกลับมาบ้านแล้วจึงพบว่าที่แท้นางก็มีเครื่องประดับสูงค่ามากมายเพียงนี้ เช่นนั้นเชือกผูกข้อมือซอมซ่อเส้นนี้ของตน…

กู้เจียวยื่นเชือกแดงไปพร้อมกับมือซ้ายของตัวเอง “ช่วยข้าใส่หน่อยสิ”

เซียวลิ่วหลังกะพริบตาปริบๆ รับเชือกมา ปลายนิ้วไม่ทันระวังแตะโดนนางเข้า ความรู้สึกชาแล่นวาบจากปลายนิ้วเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ

เขาสวมเชือกแดงให้บนข้อมือเล็กบางของนาง

ข้อมือขาวนุ่มดุจหยกถูกสีแดงสดใสขับให้ดูขาวผ่องมากกว่าเดิม ซ้ำยังน่าดึงดูดยิ่งกว่า