ตอนที่ 492 โจมตีดาวโจรสลัด

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 492 โจมตีดาวโจรสลัด

ตอนที่ 492 โจมตีดาวโจรสลัด

เหมยหลี่หนีไปพร้อมกับยานอวกาศลำเล็ก และดูเหมือนว่าเสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโอจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พวกมันเปิดใช้งานเกราะป้องกันและสกัดกั้นยานอวกาศลำเล็กไม่ให้หนีรอดไปได้…

สวี่หลิงอวิ๋นจับเวลา และหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เธอก็พยักหน้าและหันไปพูดกับเหล่านักเรียนทหารที่อยู่ข้างหลัง “เอาล่ะ ลุยกันเลย!”

สวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา เพราะว่าพวกเขามีต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ในหัว รวมถึงเสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโอก็ยังอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ประสบกับปัญหาใหญ่หลวง

ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อกันแล้ว!

ไม่อย่างนั้น การเรียนรู้ทักษะการต่อสู้จะมีประโยชน์อะไร?!

เหล่านักเรียนทหารรอคอยเวลานี้เพื่อแสดงฝีมือ!

ลุคกับฉินหยวนรีบวิ่งเข้าใส่เหล่าทหารเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงวิ่งไปที่ดาวโจรสลัด

นักเรียนทหารคนอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนักต่างวิ่งไปหากองทัพทหารทีละคน

สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มขณะมองไปที่โอคาซีและเลิกคิ้ว “สุดหล่อ อยากไปชอปปิงที่สวนหลังบ้านด้วยกันไหมจ๊ะ?”

“อืม!” โอคาซีบีบจมูกของเธอ “ดื้อนักนะ!”

เสี่ยวอ้ายกับบอนาร์ยืดตัวขึ้น บอนาร์ประจบประแจงเสี่ยวอ้ายด้วยการเข้าไปคลอเคลีย “โฮก! เสี่ยวอ้าย เจ้าอยากจะลงไปข้างล่างนั่นไหม?”

“แต่ถ้าเจ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องลงไปหรอก ไม่ว่ายังไงข้าก็เห็นด้วย!”

“โฮ่ง! เราจะลงไป นายท่านอยู่ข้างล่างนั่น เราอยากไปปกป้องเธอให้ปลอดภัย!” เสี่ยวอ้ายพูด

บอนาร์พยักหน้า “โฮก!! ถ้าอย่างนั้น พวกเรามาลงมือด้วยกันไหม?”

“ทำไมถึงอยากลงมือด้วยกัน? โฮ่ง! เจ้าก็ไปตามทางของเจ้า เราก็จะไปตามทางของเรา เราจะไปปกป้องนายท่าน ส่วนเจ้าก็ไปฆ่าศัตรูซะ!”

“โฮก! ก็ได้!” บอนาร์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย มันก้มหน้าลง หางลู่กับพื้น ดูหมดอาลัยตายอยาก และหดหู่

“โฮ่ง! เอาไว้เจ้าฆ่าเสร็จแล้ว ทำไมไม่ไปค้นหาสมบัติกับเราล่ะ? นายท่านชอบสมบัติมาก!” เสี่ยวอ้ายพูด

“โฮก! เยี่ยมมาก ถ้าอย่างงั้นเราไปกันเถอะ ข้าต่อสู้เก่งที่สุดแล้ว!” บอนาร์รู้สึกกระตือรือร้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น และพูดเร่งเสี่ยวอ้ายให้รีบออกไป หวาดกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้อีกสักวินาทีเดียว เหล่าศัตรูจะถูกคนอื่นฆ่าตายเสียก่อน จนไม่มีที่ให้มันได้แสดงฝีมือ

เสี่ยวอ้ายส่ายหัว เจ้าตัวนี้ไม่เคยพัฒนาขึ้นเลยหลังจากผ่านมาหลายปี ยังคงหยาบกระด้างอยู่เสมอ!

ขณะนี้ทั่วทั้งดาวโจรสลัดไร้ซึ่งผู้คนอาศัย มีเพียงเถาวัลย์ที่ลอยละล่องกับดอกไม้ที่ผลิบานอยู่บนซากศพ ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

แน่นอนว่ายังมีโจรสลัดกระจัดกระจายซ่อนตัวอยู่ในบ้าน เพราะหวาดกลัวที่จะออกมา

คนพวกนี้แทบจะช่วยชีวิตตัวเองไม่ได้เลย อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ไม่ถูกพืชพวกนี้รุกราน

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่โชคร้ายถูกเกือกเหล็กของเหล่าอสุรกายเหยียบย่ำจนกลายเป็นเนื้อแผ่น รูปลักษณ์น่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิม และไม่หลงเหลือรูปลักษณ์ของมนุษย์แม้แต่น้อย!

สำหรับพวกโจรสลัดที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน พวกเขาโดนเหล่านักเรียนทหารวิ่งเข้าใส่และโจมตี

พวกโจรสลัดตะคอกใส่นักเรียนทหารอย่างโกรธจัด “มีความสามารถเข้ามาในบ้านไหมล่ะ? มัวแต่ซ่อนอยู่ข้างนอกอยู่ได้!”

พวกเขาไม่สามารถแสดงความสามารถในบ้านได้มากนัก แม้ว่าความแข็งแกร่งของนักเรียนทหารพวกนี้จะค่อนข้างต่ำต้อย แต่กลับยืนอยู่ข้างนอกโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกพืชเหล่านี้รุกราน

นอกจากนี้ยังมีอสุรกายที่เบิกตากว้างเป็นครั้งคราว ทั้งยังก้มหน้าลงและมองตรงมาที่นี่

ไม่รู้ว่าอสุรกายพวกนี้ตั้งค่าสายตาไว้ยังไง ทำไมต้องมองเห็นแต่เหล่านักเรียนทหาร? สามารถบอกความแตกต่างระหว่างโจรสลัดกับนักเรียนทหารได้อย่างไร น่าเหลือเชื่อมาก!

เหล่านักเรียนทหารเริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ตรงดิ่งออกไปต่อสู้กับพวกโจรสลัด! มีนักเรียนทหารจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ และในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้นไม้แห่งชีวิตจะวางแนวกั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยให้แก่พวกเขา

พวกโจรสลัดหวาดกลัวสงครามกันมากขึ้น ในขณะที่นักเรียนทหารพวกนี้เหมือนถูกเทพแห่งสงครามเข้าสิงร่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่อีกฝ่ายทำร้ายพวกเขา เกราะป้องกันจะปรากฏขึ้นอีกด้านหนึ่ง คอยปกป้องพวกเขาอย่างแน่นหนา

ฮึ! โกรธจนแทบบ้า!

พวกโจรสลัดรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม อยากจะแหงนมองท้องฟ้าและร้องตะโกนว่า ให้จิวยี่มาเกิดแล้ว ไฉนขงเบ้งต้องมาเกิดด้วย!*[1] แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจคำศัพท์ ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่อารมณ์ของพวกเขาก็คงจะประมาณนี้!

ความแข็งแกร่งของสวี่หลิงอวิ๋นกับโอคาซีอยู่ในระดับสิบห้าดาว ทำให้พวกโจรสลัดที่แยกตัวอยู่ประปรายต่อหน้าพวกเธอถูกฟาดฟันราวกับต้นหอม

คนหนึ่งไม่ใช่พระแม่มารี ส่วนอีกคนไม่ใช่พระเยซู พวกเขาไม่รู้สึกสงสารใด ๆ ในชีวิตของพวกโจรสลัด และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโหดเหี้ยมแม้แต่น้อย

ชาวเน็ตต่างจับตาดูอย่างกระตือรือร้น อยากจะเข้ามาร่วมข้างในนี้

[เผ่ามนุษย์เจ๋งมาก ผมล่ะอยากจะเป็นมนุษย์จัง!]

[คุณคิดดี ๆ นะ คุณอยากเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ต้องการคุณสักหน่อย! ลองย้อนเวลากลับไปสักสิบปีสิ ตอนนั้นคุณจะยังอยากเป็นมนุษย์อยู่ไหม?]

[คุณพูดเหลวไหลอะไร ผมไม่อยากเป็นนักหรอก ผมก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น!]

[ฮ่า ๆ!]

[พระเจ้าช่วย นี่คือเผ่ามนุษย์ในความทรงจำจริง ๆ ใช่ไหม? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนละเชื้อชาติกัน?]

[คุณไม่ได้คิดไปคนเดียวหรอก!]

[บางทีพวกเขาอาจจะแสร้งทำมาหลายปี และรอคอยเวลานี้ให้มาถึง ถ้าเป็นแบบนี้นะ ผมบอกได้คำเดียวว่าเผ่ามนุษย์มีความอดทนสูงมาก!]

[พวกคุณไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอ? เผ่ามนุษย์แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือเผ่ามนุษย์ที่อยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือเผ่ามนุษย์ที่อยู่ในจักรวรรดิดวงดาว พวกมนุษย์ที่โหดเหี้ยมพวกนี้น่าจะมาจากต้นไม้แห่งชีวิตใช่ไหม?]

[งั้นพวกเราแหย่รังแตนมาตั้งหลายปีเลยเหรอเนี่ย? พวกนั้นมีเจ้าพ่อมาด้วย และเหมือนจะไม่ได้ออกมาจากภูเขาหลายปีแล้ว!]

ไม่ว่าจะยังไง ปัจจุบันดาวโจรสลัดได้กลายเป็นซากปรักหักพังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และห้องถ่ายทอดสดของสวี่หลิงอวิ๋นได้รวบรวมเชื้อชาติทั่วทั้งเขตดาวต่างแดนเอาไว้ด้วยกัน

แม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าพละกำลังของมนุษย์กลุ่มนี้แข็งแกร่งมาก แต่ไม่คาดคิดว่าดาวโจรสลัดจะถูกทำลายล้างลงภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

พวกเขามีบรรทัดฐานอยู่ในใจ คิดว่าเผ่ามนุษย์เป็นกองกำลังที่ไม่สามารถรุกรานได้…

ท้ายที่สุดแล้ว จักรวรรดิอื่นดูมีจิตใจเมตตาและมีศีลธรรมอย่างมาก ในขณะที่เผ่ามนุษย์ไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา สวี่หลิงอวิ๋นขอให้เสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโอตรวจสอบว่ายังมีทางเชื่อมที่ใช้งานได้อยู่บนดาวโจรสลัดอีกหรือไม่

“มี!” เสี่ยวอวิ๋นเสี่ยวโอพูดขึ้นหลังจากสัมผัสถึงบางอย่าง “เหมือนจะมีทางเดินอยู่ใต้ซากปรักหักพัง มีห้องใต้ดินอยู่ใต้ทางเดินพวกนั้น พวกเราจะลงไปดูก็ได้นะ ฉันรู้สึกถึงพลังงานแข็งแกร่งที่อยู่ใต้ล่างนั่น”

“โอ้ ลูกพี่น่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น รีบไปดูกันเถอะ ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าลูกพี่ที่พวกโจรสลัดพูดถึงจะหน้าตาเป็นยังไง!” สวี่หลิงอวิ๋นโบกมือและเตรียมพร้อมจะเดินลงไป แต่เธอกลับหันไปถามเสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโอหลังจากคิดอะไรบางอย่างออก “เดี๋ยวนะ ที่ว่าแข็งแกร่งคือพวกนั้นหรือว่าพวกเรา? แกคิดว่าฉันพอจะรับมือพวกมันได้ไหม?”

“ได้สิ! แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีของบางอย่างอยู่ในมือ ฉันคิดว่าท่านควรจะระวังตัวก็ดี!”

[1] คำกล่าวสุดท้ายของจิวยี่ในวรรณกรรมสามก๊ก