บทที่ 449 วิ่งตามบุรุษ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 449 วิ่งตามบุรุษ

บทที่ 449 วิ่งตามบุรุษ

“ขอบคุณเจ้ามาก!” ฉินเย่จือยิ้มน้อย ๆ ราวกับว่าเขากำลังขอบคุณกู้ซินเถาจริง ๆ แต่ถ้าอาโม่มาเห็น เขาจะรู้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณว่านายน้อยกำลังจะระเบิด

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก!” ใบหน้าของกู้ซินเถาเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนนางจะพูดอย่างเขินอาย “พี่ฉินดีมาก เขาย่อมสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้!”

มือซ้ายของฉินเย่จือกำหมัด หางตาของเขามองเห็นมุมของเสื้อคลุมสีเทา

เขาทำได้เพียงระงับความโกรธและความขยะแขยงในใจลง

ไม่รู้ว่าคำพูดของกู้ซินเถาประทับใจฉินเย่จือหรือไม่ เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือไม่ได้ตอบคำพูดของนางเป็นเวลานาน กู้ซินเถาจึงเงยหน้ามองฉินเย่จืออีกครั้ง ก่อนเห็นฉินเย่จือยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยพูดบางอย่างที่ทำให้กู้ซินเถาต้องตะลึง “แม่นางกู้วิ่งตามบุรุษเช่นนี้ ข้าสงสัยนักว่าบิดามารดาของเจ้าเคยสอนเจ้าไหมว่า คำว่ายางอายหมายถึงสิ่งใด?”

เดิมทีกู้ซินเถารอให้ฉินเย่จือพูด แต่หลังจากรอเป็นเวลานาน กลับได้ยินอีกฝ่ายพูดประโยคนั้น กู้ซินเถาจึงตะลึงไป

แต่นางก็กลับมารู้สึกตัวทันที นี่ นี่ นี่…

ฉินเย่จือกำลังด่านาง ด่านางว่าไม่รู้จักยางอาย!

กู้ซินเถารู้สึกว่าความใจดีของนางถูกเหยียบย่ำและใบหน้าของนางก็แดงก่ำด้วยความโกรธทันที “พี่ฉิน ข้าทำเพื่อประโยชน์ของท่านเอง เหตุใดท่านถึงด่าข้า! ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเสียใจแค่ไหนที่ท่านด่าข้าเช่นนี้!”

หลังจากที่พูดจบ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา ดูเหมือนว่านางอยากจะร้องไห้ เดิมทีกู้ซินเถาต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้า แต่นางเพิ่งนึกได้ว่าผ้าเช็ดหน้ายังคงอยู่ที่นั่น และนางไม่ได้เก็บมันมา จึงได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดอย่างจนใจ

กู้ซินเถาเศร้ามาก นางรู้สึกว่าความตั้งใจดีของนางถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี และคนที่เหยียบย่ำยังเป็นฉินเย่จือผู้อยู่ในใจของนาง

ฉินเย่จือกล่าวเบา ๆ แล้วเดินจากไป

ถ้าผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดาได้ยินคนพูดเรื่องนั้น นางคงละอายใจแทบตาย ฉินเย่จือคิดว่ากู้ซินเถาคงจะไม่ตามมาอีก แต่เขาประเมินความไร้ยางอายของกู้ซินเถาต่ำไป

“พี่ฉินอย่าไป อย่าไป!” กู้ซินเถาเดินตามฉินเย่จือไป ขณะร้องไห้ราวกับว่านางจะไม่ปล่อยมือจนกว่านางจะบรรลุเป้าหมาย

“…”

“พี่ฉิน ข้ารู้ว่าในใจท่านรู้สึกไม่พอใจ ข้าให้ท่านอยู่ที่นี่ทำให้ท่านรู้สึกไม่พอใจ ข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้ พาท่านไปที่เมืองหลิวเจีย!”

“…”

“หากท่านไม่กล้าพูดกับเสี่ยวหวาน ข้าจะพูดเอง!”

“…”

เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือยังคงเฉยเมย คำพูดของกู้ซินเถาก็รุนแรงขึ้น

“ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานมีดีตรงไหน เหตุใดท่านถึงไม่อยากจากไป!”

“…”

“ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานไม่ได้ดีเท่าข้า และนางก็ไม่ได้งดงามเท่าข้า เหตุใดท่านไม่เลือกข้า แต่กลับไปเลือกนาง!”

“…”

แม้แต่เฉาซื่อยังรู้สึกทนฟังคำพูดของกู้ซินเถาไม่ได้อีกต่อไป กู้ซินเถาไม่ต้องการยางอายอีกต่อไปแล้วจริง ๆ หรือ?

วิ่งตามบุรุษเช่นนี้ เจ้ายังมียางอายหรือไม่?

จิ๊…

ถ้าคำพูดพวกนี้แพร่ออกไปแล้ว…

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเฉาซื่อ กู้ซินเถาพูดอีกสิ เจ้าพูดสิ พูดอีกสักสองสามคำ!

“พี่ฉิน ครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าน ข้าก็ชื่นชมท่าน ข้าหวังให้ท่านมาอยู่ที่บ้านของข้าจริง ๆ ข้าจะไม่กดขี่ท่านเหมือนกู้เสี่ยวหวาน ท่านสามารถทำอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการ! ตราบใดที่ท่านอยู่เคียงข้างข้า!”

“…”

เมื่อเห็นว่านางเข้าใกล้บ้านของกู้เสี่ยวหวานมากขึ้น หัวใจของกู้ซินเถาก็เป็นกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเย่จือไม่ได้พูดอะไรเลย และนางไม่รู้ว่าฉินเย่จือกำลังคิดสิ่งใดอยู่

ถ้าเขาไม่ตกลง เหตุใดถึงตอบกลับคำพูดของตน? ทั้งยังขอบคุณนางด้วย!

แต่เมื่อเขาขอบคุณนางแล้ว เหตุใดจึงต้องจากไป

แล้วเหตุใดเขาถึงยังไม่พูดอีก!

กู้ซินเถาเร่งฝีเท้า และในที่สุดนางก็ขวางทางฉินเย่จือไว้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ขณะพูดด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุดว่า “พี่ฉินมากับข้าเถอะ! ถ้าท่านอยู่ที่นี่ ท่านจะทำลายชีวิตของตัวเองนะ!”

“…”

มือของฉินเย่จือที่ถือไม้หาบไว้กำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ มืดลง

“พี่ใหญ่ฉินไม่จำเป็นต้องสละชีวิตตนเองเพื่อข้าวหนึ่งชาม! ท่านไม่ต้องการตอบแทนหรือ? ข้าจะให้เงินท่านตอนนี้ ให้เงินท่าน…” กู้ซินเถารีบหยิบแท่งเงินจากแขนเสื้อของนางออกมา นางยื่นแท่งเงินให้ฉินเย่จือและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เอ้า นี่คือเงินสิบตำลึง ท่านเอามันไปให้กู้เสี่ยวหวาน และบอกให้นางปล่อยท่านไป!”

มือของกู้ซินเถาสั่นด้วยความตื่นเต้น

เฉาซื่อมองดูกู้ซินเถาหยิบเงินสิบตำลึงออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

นางลอบสาปแช่งอยู่ภายในใจ กีบเท้าน้อยตัวนี้บอกว่าไม่มีเงินติดตัวมา แต่ตอนนี้กลับควักเงินสิบตำลึงออกมา

เจ้าคิดโกหกผู้ใด!

กู้ซินเถายื่นเงินไปตรงหน้าฉินเย่จือพลางมองดูเด็กหนุ่มอย่างโง่เขลา นางกำลังรอให้ฉินเย่จือพยักหน้าและเหยียดมือออกมารับเงินนั้นไป

ในอดีต กู้เสี่ยวหวานซื้อเขาด้วยข้าวมื้อหนึ่ง

ยามนี้ กู้ซินเถาใช้เงินถึงสิบตำลึง นางไม่เชื่อว่าฉินเย่จือจะเป็นคนโง่ที่แยกไม่ออกระหว่างข้าวมื้อหนึ่งกับเงินสิบตำลึง สิ่งใดสำคัญและมีค่ามากกว่ากัน

ใบหน้าของกู้ซินเถาเต็มไปด้วยความคาดหวัง และแน่นอนว่า นางก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจในตนเองเช่นกัน

บุรุษตรงหน้าของนางหล่อเหลายิ่งจนดูไม่เหมือนมนุษย์ หน้าตาเช่นนี้เกรงว่าคงหาไม่พบอีกในชีวิตนี้ ถ้าเขากลายมาเป็นคนของนางกู้ซินเถาจริง ๆ การได้ใช้ชีวิตกับคนงดงามเช่นนี้ ในชีวิตชาติภพนี้นางคงมีความสุขยิ่งนัก

ใบหน้าของฉินเย่จือยังคงไร้ความรู้สึก ซึ่งแตกต่างจากที่กู้ซินเถาคาดไว้

ฉินเย่จือไม่แม้แต่จะมองดูเงินสิบตำลึง แต่เพียงแค่เหลือบมองกู้ซินเถาอย่างเย็นชา มุมปากของยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังยิ้ม กู้ซินเถารู้สึกดีใจมาก คิดว่าฉินเย่จือเห็นด้วย จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง

สายตาเย็นชา…

“ไสหัวไป!” ฉินเย่จือพ่นคำพูดออกมาเบา ๆ มุมปากของเขายังคงมีเสน่ห์ แต่ถ้อยคำที่เขาพูดกลับไร้ซึ่งความแยแส

ดั่งหุบเหวที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งได้แช่แข็งนางไว้ในก้นบึ้ง ไม่สามารถขึ้นหรือลงได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงมองดูฉินเย่จือเดินผ่านหน้านางไปอย่างเงียบ ๆ

โดยไม่ทิ้งร่องรอย

กู้ซินเถากลายเป็นหินไปทันที ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่งเหม่อลอย จิตใจยุ่งเหยิง ขณะเดียวกันก็คิดสิ่งใดไม่ออก

ในเวลานี้ทุกสิ่งเงียบสงัด มีเพียงกู้ซินเถาที่ถูกทิ้งไว้ในก้นบึ้งของหุบเหวน้ำแข็ง นางจ้องมองทุกสิ่งรอบตัวนางด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกับว่าทุกสิ่งในโลกเงียบงันลง