บทที่ 365 เปิดโปงไท่เฟย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 365 เปิดโปงไท่เฟย

ริมฝีปากที่กำลังอ้าอยู่ค่อยๆ หุบลงมาอย่างไม่พอใจ เขาไม่อยากเห็นหน้าของนางมารร้ายผู้นี้เลยแม้แต่นิด แล้วนี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ ขนาดเสด็จแม่กำลังจะป้อนยาให้เขานางยังมีหน้ามาห้ามขนาดนี้ นี่กะจะไม่ไว้หน้ากันเลยหรือไร

จวงไทเฮายืดอกขึ้นด้วยท่าทีจองหอง ก่อนจะเอ่ยกับจิ้งไท่เฟย “เอายามาให้ข้า เดี๋ยวข้าป้อนเอง”

สิ้นประโยคเมื่อครู่ คนทั้งตำหนักต่างพากันสะอึก

ไทเฮาสติฟั่นเฟือนไปแล้วรึ ไฉนถึงต้องมาป้อนยาให้กับฝ่าบาท

ถ้าให้ตัวเร่งฤทธิ์ยายังว่าไปอย่าง!

แต่ว่าดูเหมือนช่วงนี้ความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และไทเฮาเริ่มดีขึ้นแล้วนี่นา ก็เห็นดูรักใคร่กันดี ไม่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นแล้ว เหล่าบ่าวของทั้งสองพระองค์เลยไม่ต้องมาช่วยสงบศึกเหมือนแต่ก่อน ว่างงานกันเสียจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว!

ด้วยความที่ทั้งสองทะเลาะกันมาเนิ่นนาน จู่ๆ เกิดมาคืนดีกันแบบนี้ ทำให้คนในวังปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว

“หม่อมฉันมิลำบากไทเฮาหรอกเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองดีกว่า” จิ้งไท่เฟยเอ่ยตอบอย่างอ่อนน้อม

ฮ่องเต้คิดในใจ ใช่แล้ว! ใครจะไปอยากกินยาจากคนแบบนั้นกันล่ะ

จวงไทเฮาใช้สายตามองจากบนลงล่างพลางเอ่ย “ชุดของเจ้าเปียกชื้นเสียขนาดนั้น ไม่กลัวเป็นหวัดหรืออย่างไร ไหนว่าร่างกายไม่ค่อยสู้ดีนักมิใช่รึ”

ฮ่องเต้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเอามือปัดถ้วยยาจนเผลอทำร้ายเสด็จแม่ เป็นเพราะฮ่องเต้ตกใจกับฝันร้ายของตัวเอง เรื่องสำคัญเช่นนี้จู่ๆ ก็ดันลืมเสียสนิทจนได้

ฮ่องเต้จึงรีบเอ่ยเรียกเว่ยกงกงให้มาช่วย พลางมองจิ้งไท่เฟยด้วยสายตารู้สึกผิด“เว่ยกงกง! พาจิ้งไท่เฟยไปเปลี่ยนฉลองพระองค์”

“กระหม่อมอยู่ขอรับ” เว่ยกงกงรีบเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะถวายบังคม “ฝ่าบาท”

“เจ้าพานางกลับไปที่ตำหนัก แล้วอย่าลืมเชิญหมอหลวงให้มาตรวจอาการให้ด้วย”

เว่ยกงกงน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ!” ก่อนจะหันไปทางจิ้งไท่เฟย “เชิญขอรับจิ้งไท่เฟย”

ในเมื่อขนาดนี้แล้ว จิ้งไท่เฟยจะไม่ไปก็คงไม่ได้เสียแล้ว

แม่นมไช่มองนายหญิงของตัวเองด้วยสายตาร้อนรน

จิ้งไท่เฟยลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนจะยื่นถ้วยโอสถให้จวงไทเฮา

จวงไทเฮานั่งนิ่ง ส่วนคนที่รับโอสถมาคือฉินกงกง

หากจะกล่าวว่าเซวียนผิงโหวคือเจ้าแห่งการกลั่นแกล้งคนฉันใด จวงไทเฮาก็คงจะเป็นยอดแห่งการข่มเหงคนฉันนั้น กับแค่พระสนมยื่นของให้ไม่มีทางที่คนอย่างจวงไทเฮาจะยื่นมือรับมาโดยตรงอย่างแน่นอน

จิ้งไท่เฟยกำถ้วยโอสถแน่นจนผิวเล็บเปลี่ยนเป็นสีขาว

ฮ่องเต้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่คับแค้นใจ ไทเฮาอสรพิษผู้นี้มาเพื่อก่อกวนกันชัดๆ !

“อ๊ะ”

ทันใดนั้นเอง จิ้งไท่เฟยเกิดเผลอทำถ้วยโอสถตกลงกระจายทั่วพื้น

แม้ถ้วยโอสถจะไม่แตก แต่กระนั้นโอสถเหลวก็ไหลเจิ่งนองเต็มพื้นที่ทำจากไม้ ซ้ำยังไหลไปถูกชายกระโปรงของจวงไทเฮาอีกด้วย

“ไทเฮาขอรับ!” ฉินกงกงผู้น่าสงสาร เท้าของเขาโดนยาหกใส่เต็มๆ แต่ก็ต้องรีบดูก่อนว่านายของตัวเองสภาพเป็นอย่างไร พลางคุกเข่ารีบช่วยเช็ดอย่างร้อนรน

“ไม่ต้องแล้ว ลุกขึ้น” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงนิ่ง

“เสด็จแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม!” ฮ่องเต้เอ่ยถามจิ้งไท่เฟยด้วยความกังวล

ฉินกงกงลอบทำบางขมุบขมิบ พลางคิดในใจ ฝ่าบาทไม่เห็นหรืออย่างไรว่าไทเฮาโดนหนักกว่าจิ้งไท่เฟยเสียอีก! ไม่เป็นห่วงไทเฮาแต่กลับเป็นห่วงจิ้งไท่เฟย! เห็นๆ กันอยู่ยาถ้วยนี้หลุดจากมือของจิ้งไท่เฟย!

จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่เป็นอะไร ข้าไม่ได้เรื่องเอง ถ้วยยาแค่นี้ยังถือให้มั่นไม่ได้”

ฮ่องเต้เอ่ยตอบ “อาการบาดเจ็บของเสด็จแม่…”

ฮ่องเต้ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกจวงไทเฮาตัดบทเสียก่อน “รู้ตัวนี่ว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง แล้วใยยังมาลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงนี้อีก รีบกลับไปสิ!”

จิ้งไท่เฟยถึงกับสะดุ้งจนหน้าซีด

ฮ่องเต้และแม่นมไช่เองก็เช่นกัน

จวงไทเฮาและจิ้งไท่เฟยไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จวงไทเฮาแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

ขนาดเหตุการณ์ครั้งก่อนที่สวนหลวง จวงไทเฮาอย่างมากก็แค่หลีกเลี่ยงการปะทะกัน

สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มไม่สู้ดี

ส่วนจิ้งไท่เฟยได้แต่ก้มหน้าลงและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไทเฮาพูดถูกเพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

แม้น้ำเสียงของนางจะดูนิ่มนวลตามเคย แต่ใครฟังก็รู้ว่านางต้องรู้สึกแย่มากแค่ไหน

คราวนี้สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มแย่ลงกว่าเดิม

จิ้งไท่เฟยเดินออกไปจากตำหนักพร้อมกับเว่ยกงกง

ฉินกงกงนำโอสถถ้วยใหม่มา

จวงไทเฮายื่นรับมาแบบไม่เต็มใจนัก

ฮ่องเต้มองดูท่าทีของไทเฮา พลางนึกในใจ เหอะ! ข้าเองก็รังเกียจเหมือนกันนั่นแหละ

แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ทั้งสองต้องเล่นละครตบตาคน ฮ่องเต้จึงสั่งให้ทุกคนออกไปนอกตำหนัก “พวกเจ้าออกไปก่อน”

“ขอรับ เจ้าค่ะ” เหล่าขันทีนางในต่างพากันถอยออก เหลือเพียงฮ่องเต้และไทเฮา รวมถึงฉินกงกงด้วย

ฉินกงกงเป็นคนรู้งาน ฮ่องเต้จึงไม่ถือสาอะไรเขามาก

เอาละ ในเมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ฮ่องเต้จึงเตรียมจะเล่นงานจวงไทเฮากลับ แต่ไม่ทันไร จู่ๆ จวงไทเฮาก็เดินเข้ามาแล้วยัดถ้วยโอสถใส่มือของเขา

“ดื่มเองสิ!”

เอ่ยจบก็เดินออกไปอย่างไม่แยแส

ฮ่องเต้ “…”

จวงไทเฮากลับมาที่ตำหนักเหรินโซ่ว วันนี้จิ้งคงไม่มีเรียน จึงไปหาฉินฉู่อวี้แทน ดังนั้นที่ตำหนักจึงเงียบสงบดีไม่น้อย จะไม่ดีก็ตรงที่ต้นไม้ใบหญ้าดอกไม้ของนางโดนเจ้าตัวเล็กทำพังอีกแล้ว

น่าปวดหัวจริงๆ

กู้เจียวเดินออกมาต้อนรับนางพร้อมกับบัวรดน้ำต้นไม้ที่กู้เจียวประดิษฐ์ขึ้นมาเอง “ท่านย่า”

“เหอะ” จวงไทเฮาทำเสียงฟึดฟัด “ผลไม้เชื่อมของข้าล่ะ!”

กู้เจียววางบัวรดน้ำลง ก่อนเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล่องใส่ผลไม้เชื่อมออกมา หยิบขึ้นมาห้าลูกยื่นให้หญิงชรา

“ไหนบอกว่าจะแถมให้อีกลูกมิใช่รึ” จวงไทเฮาทำหน้าบึ้งพลางเอ่ยทวง

ไปเล่นละครตบตาขนาดนั้นย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยสิ

“ก็ได้” กู้เจียวเขย่ากล่อง ก่อนจะหยิบผลไม้เชื่อมลูกที่เล็กที่สุดออกมา

เอ๊ะ

ท่าทางแบบนี้ รู้สึกคุ้นเคยนัก

ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

แต่กู้เจียวยังนึกไม่ออกในตอนนั้น

จวงไทเฮาจ้องกล่องผลไม้เชื่อมจนตาแทบหลุดออกจากเบ้า!

พลางนึกในใจ เจียวเจียว เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว! เจ้าเป็นคนขี้งกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

จวงไทเฮารู้สึกปวดใจจนหายใจไม่คล่อง ก่อนจะรับผลไม้เชื่อมมาแล้วเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้าไปในห้องหนังสือ

นางปิดประตูลง แล้วปรี่เข้าไปที่ๆ นางเก็บโหลผลไม้เชื่อมเอาไว้ ยังดีที่มีเหลือไว้อยู่

“แม่นางกู้ขอรับ” เสียงของฉินกงกงเอ่ยถามกู้เจียวเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักฮว๋าชิง “เหตุใดแม่นางถึงให้ไทเฮาไปทำเรื่องแบบนั้นเล่าขอรับ แค่นี้ทุกคนก็เชื่อกันหมดแล้วขอรับ”

ที่จริงกู้เจียวเข้ามาในวังตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ยังไม่ทันจะได้อธิบายเรื่องยาก็ดันได้ยินสายสืบมาบอกว่าฝ่าบาทเป็นลม และจิ้งไท่เฟยก็รีบเข้าเฝ้าตั้งแต่ช่วงดึก

และมันคือช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ กู้เจียวเดาได้ว่าไม่มีทางที่จิ้งไท่เฟยจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้ จึงต้องส่งไทเฮาไปเล่นงานเสียหน่อย

“เรื่องป้อนยาไม่ใช่ประเด็นหรอกท่าน” ในมุมมองของกู้เจียว การที่ส่งไทเฮาไปนั้นก็เพื่อยับยั้งไม่ให้จิ้งไท่เฟยวางตัวเร่งฤทธิ์ยาใส่ฝ่าบาท

“จิ้งไท่เฟยได้เผลอทำถ้วยยาของตัวเองหกบ้างไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม

ฉินกงกงทำหน้าตะลึงพลางตอบ “ใช่แล้วขอรับ! แม่นางกู้รู้ได้อย่างไรหรือขอรับ หรือว่ามีสายสืบมาบอกท่านขอรับ”

“เปล่าหรอก” กู้เจียวส่ายหน้า

ฉินกงกงเริ่มเหงื่อตก

เขาคือคนที่เชื่อถือได้ ไม่มีอะไรที่มาเล่าให้เขาฟังไม่ได้ กู้เจียวจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้เรื่องตัวเร่งฤทธิ์ยาจากเว่ยกงกงให้ฟัง

ฉินกงกงตกใจจนทำตัวไม่ถูก ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ พลางเอ่ย “เช่นนั้น ที่แม่นางหมายถึงก็คือ…ที่ฝ่าบาทกับจวงไทเฮาไม่ลงรอยกันมาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะถูกจิ้งไท่เฟยวางยาหรือขอรับ แล้วที่พระองค์เชื่อฟังจิ้งไท่เฟยนั่นก็เพราะถูกวางยาหรือขอรับ…นะ นี่ นี่มัน …”

น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

บนโลกนี้มียาที่ออกฤทธิ์น่ากลัวเช่นนี้ด้วยรึ ไม่สิ ต้องบอกว่า จิ้งไท่เฟยทรงกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับฝ่าบาทได้ลงคอได้อย่างไรกัน

ฝ่าบาทคือคนที่นางเลี้ยงดูมากับมือ ถ้าไม่นับว่าไม่ได้คลานออกมาจากท้องของนาง แต่ก็ถือว่าเป็นแม่เป็นลูกกันจริงๆ อยู่ดี

อีกทั้งฝ่าบาททั้งรักและเคารพนางขนาดนั้น

ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยสักนิด…

จุดนี้เองก็เป็นสิ่งที่กู้เจียวสงสัยอยู่เหมือนกัน

เหตุใดจิ้งไท่เฟยต้องวางยาฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้จงเกลียดจงชังไทเฮา เพื่อให้ทั้งสองแตกคอกัน อันนี้ก็อาจเป็นไปได้

แต่ก็อาจไม่ใช่เหตุผลเสียทีเดียว

ด้วยความที่ไทเฮาว่าราชการหลังม่าน ต่อให้จิ้งไท่เฟยไม่วางยาฮ่องเต้ อย่างไรทั้งสองก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่ลงรอยกันอยู่ดี

ส่วนยาที่ทำให้เชื่อฟังและลุ่มหลงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เพราะฮ่องเต้เป็นคนจริงใจและห่วงใยคน ขนาดกับเว่ยกงกงฮ่องเต้ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา มีหรือที่จะไม่เชื่อฟังคำของเสด็จแม่ของเขา

แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องเข้าข้างจิ้งไท่เฟยอยู่แล้ว

กู้เจียวบ่นต่อ “มีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาหรือไม่”

“พวกเขา แม่นางกู้หมายถึงฝ่าบาทกับไทเฮาหรือขอรับ” ฉินกงกงเอ่ยถาม

“รวมถึงจิ้งไท่เฟยด้วย ข้าแค่รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น ในเมื่อท่านย่าว่าราชการหลังม่าน แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาย่อมไม่มีทางราบรื่นอยู่แล้ว การวางยาก็อาจจะไม่จำเป็น นอกเสียจากว่า…”

“นอกเสียจากว่าอะไรหรือแม่นาง” ฉินกงกงรีบเอ่ยถาม

“นอกเสียจากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ทำให้จิ้งไท่เฟยต้องเข้าไปยับยั้งความสัมพันธ์ของทั้งสอง”

บนโลกนี้มีความสัมพันธ์แบบไหนที่แน่นแฟ้นจนไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้นะ