คำว่า ‘ไร้สาระ’ ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ไม่ได้ทำให้เจียงจั้นตกใจแม้แต่น้อย
ล้อเล่นหรือไร เทียบกับที่เขาเติบโตมาอย่างแข็งแกร่งภายใต้หมัดและเท้าของท่านพ่อ การตะคอกเพียงแค่หนึ่งคำเปรียบดั่งละอองฝนเท่านั้นเอง
การแสดงออกของเจียงจั้นดูแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ เขายกมือขึ้นคารวะ “ขอฝ่าบาทประทานตามที่กระหม่อมขอด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรจากเบื้องบนลงไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะตรัสว่า “เจียงเอ้อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีดดาบไม่มีตา”
เจียงจั้นนั่งคุกเข่าตัวตรงแล้วพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น “แน่นอนว่ากระหม่อมรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ และด้วยเหตุนี้เองทำให้กระหม่อมในฐานะบุรุษ จึงต้องการสละตนเองเพื่อปกป้องราชวงศ์ต้าโจวของเรา”
ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นประกายแวววาว พระหัตถ์ตบลงไปที่มือจับของบัลลังก์มังกร “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก สละตนเพื่อราชวงศ์! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นแม่ทัพเซวียนอู่ ปีหน้าในฤดูใบไม้ผลิจงมุ่งหน้าไปทางใต้ ฝึกฝนสร้างผลงานกับแม่ทัพเฝิง”
เจียงจั้นยินดียิ่งนัก “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางทั้งหลายมองดูเจียงจั้นด้วยแววตาซับซ้อนอยู่ชั่วขณะ
พวกเขารู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ช่างงี่เง่ายิ่งนัก ชีวิตอันแสนสุขสบายในเมืองหลวงไม่ชอบ ดิ้นรนจะไปตายอยู่ในสนามรบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ได้แสดงตนออกมาต่อหน้าองค์จักรพรรดิอย่างโดดเด่น อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง หากว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่หนานเจียงและกลับมาโดยปลอดภัยได้ แน่นอนว่าเขาจะมีอนาคตอันสดใส
หึๆ จากองครักษ์จินอู๋ธรรมดาก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นแม่ทัพเซวียนอู่ที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นโท ครานี้คุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋วก่อนนับว่าได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ความรู้สึกยินดีปรีดาของเจียงจั้นทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขาไปพร้อมกัน ดวงตาของเขาดูผ่อนคลายลงมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเจียงจั้นว่า “แม่ทัพเจียงมีภรรยาแล้วหรือไม่”
เจียงจั้นกำลังรู้สึกเบิกบานใจ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ้มออกมาเช่นคนบ้า จนกระทั่งจิ่งหมิงเอ่ยถามประโยคนั้นออก เขาจึงตระหนักได้ว่าแม่ทัพเจียงที่ฝ่าบาทตรัสออกมานั้นกำลังเรียกเขาอยู่จริงๆ
แม่ทัพเจียง…
เจียงจั้นมีความรู้สึกเวียนหัวหน้ามืด
เขาถูกผู้อื่นเรียกว่าแม่ทัพ อีกทั้งบุคคลผู้นั้นคือฮ่องเต้
ท่าทางอันดูโง่เขลาของเจียงจั้นทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกขำจนกระแอมออกมา “แม่ทัพเจียง?”
เจียงจั้นได้สติกลับคืนมา ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้แต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” เมื่อมองดูชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลูบคางของตนแล้วครุ่นคิด
เจียงจั้นรีบกล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมกำลังจะเดินทางไปทางใต้แล้ว บัดนี้ยังไม่ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับการแต่งภรรยา เพราะหากให้แม่นางผู้นั้นรอคอยเป็นเวลาเนิ่นนานก็คงไม่ดี”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย “อืม ก็มีเหตุมีผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้รอให้เจ้ากลับมาจากทางใต้แล้วค่อยกล่าวถึงเรื่องแต่งงานก็ไม่สาย”
เมื่อมองดูสีหน้าอันมีความสุขของฝ่าบาท และมองไปยังชายหนุ่มผู้ร่าเริง ขุนนางทั้งหลายก็เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรอง ฝ่าบาทหมายความว่าเช่นไร ทรงกังวลใจมากไปหรือไม่…
เมื่อได้รับรางวัลเรียบร้อยแล้ว เจียงจั้นก็ก้าวถอยออกไปอยู่ด้านข้าง จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวกับขุนนางทั้งหลายด้วยใบหน้าอันเฉยเมยว่า “อ้ายชิงทุกท่าน มีสิ่งใดจะเสนออีกหรือไม่”
ขุนนางทั้งหลายนิ่งเงียบไปชั่วครู่
ฝ่าบาทใช้โอกาสนี้มอบรางวัลให้แก่คุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว ผู้ใดเล่าจะกล้ายื่นศีรษะออกมาให้ถูกทุบตาย
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกพอใจกับการรู้ตนของขุนนางทั้งหลายนัก จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จงแยกย้ายกันเถิด”
“ปิดการประชุม!!!”
จากนั้นเสียงแหลมของขันทีก็ดังขึ้น ขุนนางทั้งหลายต่างพากันแยกย้าย
เจินซื่อเฉิงผู้ซึ่งถูกกล่าวโทษแต่ไม่ได้รับโทษใด เดินมาหยุดอยู่ข้างกายของเจียงจั้น จากนั้นตบลงไปที่บ่าของเขา
“ท่านลุงเจิน” เจียงจั้นหันศีรษะไปมองดูเจินซื่อเฉิงแล้วยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่น
เจินซื่อเฉิงลูบเคราของเขาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องที่หลานจะเดินทางไปหนานเจียงได้ปรึกษาหรือกล่าวกับบิดาเอาไว้แล้วหรือไม่”
รอยยิ้มของเจียงจั้นชะงักแข็งทื่อทันที
เจินซื่อเฉิงใช้แรงบีบไปที่ไหล่ของเขาอีกครั้งก่อนจะกล่าวออกมาอย่างมีความหมายลึกล้ำว่า “หลานชาย ดูแลตนเองให้ดี”
เพราะหากเป็นบุตรชายของเขา คงจะถูกเขาเฆี่ยนตายถึงแปดร้อยหน
จู่ๆ อารมณ์อันปลื้มปีติของเจียงจั้นก็หนักอึ้งและหดหู่ เขาเดินหดหางของตนกลับไปยังห้องทันทีเมื่อถึงจวนปั๋ว
เจียงอันเฉิงเดินถือไม้กระบองตรงไปที่เรือนไผ่
“เจียงจั้น เจ้าไสหัวออกมาบัดเดี๋ยวนี้!”
แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด
เจียงอันเฉิงก้าวเท้าไปตรงประตู ขณะที่กำลังยกเท้าข้ามธรณีประตู ก็พบว่าประตูห้องถูกเปิดออกพอดี
“ท่านพ่อ…” เจียงจั้นยิ้มรับ จากนั้นชำเลืองมองไปยังไม้กระบองในมือซึ่งมีขนาดหนาเท่าถ้วยน้ำชาได้
เจียงอันเฉิงใช้ไม้นั้นเคาะลงไปที่พื้น “บอกข้ามาว่าในวันนี้เจ้าทำอะไรลงไป!”
“ลูก…” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาอาฆาตของเจียงอันเฉิง เจียงจั้นก็รู้ดีว่าต่อให้เขาหลบเลี่ยงได้ในวันนี้ ก็คงรู้เข้าในสักวัน ดังนั้นจึงได้ตอบไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “ลูกทูลขอให้ฝ่าบาทส่งลูกไปที่สนามรบหนานเจียง…”
“เจ้าลูกบ้า เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ปรึกษาข้าก่อน!”
เจียงจั้นถอยหลังไปเล็กน้อยยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “ลูกเองก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะเรียกลูกเข้าเฝ้าในวันนี้”
เจียงอันเฉิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผล เขาจึงสงบลงเล็กน้อย แต่เมื่อจิตใจสงบลงก็นึกขึ้นได้ว่า “การที่ฝ่าบาทเรียกตัวเจ้าให้เข้าเฝ้าในพระราชวังก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่เจ้าทูลขอไปเช่นนั้นเห็นได้ว่าเจ้าเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว”
เจียงจั้นหัวเราะ แหะๆ ออกมา เป็นความหมายว่าเขายอมรับมัน
เจียงอันเฉิงหยิบไม้ฟาดไปที่ขาของเขา “เหตุใดเจ้าจึงไม่กล่าวกับคนในครอบครัวก่อน เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือไร”
เขามีเพียงบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวสองคน เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตอันสูงส่ง เพียงแค่มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงปลอดภัยไปตลอดชีวิตก็พอ
เจียงจั้นหลบการโจมตีจากไม้นั้นแล้วตะโกนออกมาด้วยความว่องไวว่า “ลูกปรึกษากับน้องสี่แล้วขอรับ!”
ไม้กระบองหยุดอยู่ท่ามกลางอากาศ
“ปรึกษากับน้องสี่แล้วหรือ”
เจียงจั้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ขอรับท่านพ่อ ก่อนหน้านี้จู่ๆ ลูกก็ถูกองค์รัชทายาทที่เพิ่งถูกปลดหาเรื่องไม่ใช่หรือ อีกทั้งเรื่องนี้ยังทำให้เยี่ยนอ๋องต้องเข้าไปอยู่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน ลูกรู้สึกทุกข์ใจอัดอั้นจึงต้องการไประบายความอัดอั้นนี้ด้วยการฆ่าศัตรูในสนามรบเสีย”
เจียงอันเฉิงตบไปที่เขา “การที่เจ้าถูกแทง ก็คงระบายอารมณ์ได้ไม่น้อย”
หลังจากที่ดุด่าออกไป เขาก็มีความลังเลอยู่เล็กน้อย
“แล้วน้องสี่ของเจ้าว่าอย่างไร”
เจียงจั้นเผยถึงรอยยิ้มอันสดใสออกมา “แน่นอนว่าต้องเห็นด้วยขอรับ หากน้องสี่ไม่เห็นด้วยลูกคงไม่กล้าทูลขอต่อหน้าฝ่าบาท”
บัดนี้เจียงอันเฉิงแทบจะสำลักตาย
เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ไม่บอกแก้เขาผู้เป็นพ่อให้รับรู้ แต่กลับไปบอกน้องสาวก่อน นอกจากบุตรชายของเขาแล้วจะมีผู้ใดอีกเล่าที่ทำเช่นนี้
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ซื่อเอ๋อร์ไว้วางใจได้เสมอ ในเมื่อซื่อเอ๋อร์เห็นว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นเขาก็วางใจ
“แค่กๆ ในเมื่อเจ้าปรึกษาหารือกับน้องสี่ของเจ้าแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ครั้งต่อไปข้าจะไม่อนุโลมให้อีก”
เจียงจั้นแทบจะร้องไห้
เขารู้ดีว่าการปรึกษากับน้องสี่ก่อนจะปลอดภัยเพียงใด
เจียงอันเฉิงจ้องไปยังใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของบุตรชายตน ก่อนที่จะอดไม่ได้ถามออกไปว่า “เจ้าลูกไม่รักดี เจ้าไม่กลัวได้รับบาดเจ็บและต้องเลือดออกจริงหรือ”
เจียงจั้นสบตากับเจียงอันเฉิง สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม “ท่านพ่อขอรับ เพื่อเป็นการบรรลุเป้าหมายในการปกป้องบางสิ่งบางอย่าง คนเราล้วนจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อ บรรดาชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอยู่ในสนามรบ ล้วนก็มีพ่อมีแม่ พี่น้องเหล่านั้น…ในเมื่อพวกเขาทำได้ แล้วเหตุใดลูกจะทำไม่ได้เล่า”
เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตไว้อย่างจริงจัง
การที่ถูกองค์รัชทายาทซึ่งถูกปลดเหยียดหยามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เดิมทีโดยนิสัยของเขาลึกๆ แล้วก็ไม่เต็มใจนักที่จะใช้ชีวิตราบรื่นเช่นนี้ตลอดไป
ชายหนุ่มก็ควรจะหยิบมีดดาบออกไปไล่ล่ายึดครองอาณาเขต
นี่คือสิ่งที่ชีวิตของเขาต้องการ
เจียงอันเฉิงมองไปยังใบหน้าของบุตรชายที่ดูหนักแน่น ก่อนจะตบลงไปที่บ่าของ เดินถือไม้กระบองจากไปอย่างเงียบๆ
อวี้จิ่นรีบเข้าไปในอวี้เหอย่วน เขานำพาความเยือกเย็นมาด้วย
เมื่อถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้แก่บ่าวรับใช้แล้ว ก็ปัดดินโคลนที่เท้าออกเดินเข้าไปภายในห้อง
“อาซื่อ ในวันนี้เสด็จพ่อตกรางวัลให้แก่พี่ชายเจ้าด้วย เพียงแต่พี่ชายของเจ้านั้นทูลขอรางวัลซึ่งไม่มีใครคาดถึง…”
“พี่รองจะไปที่หนานเจียงหรือ”
อวี้จิ่นตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า “อืม พี่รองเคยปรึกษากับข้าก่อนหน้านี้”
อวี้จิ่นเม้มริมฝีปากของเขา…ควรจะต้องหาภรรยาให้แก่เจียงจั้นสักคนแล้ว!