ตอนที่ 496 คนรู้จักพบหน้าก็คุยกันง่าย

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 496 คนรู้จักพบหน้าก็คุยกันง่าย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไปด้วยกัน มีธุระจะให้เจ้าจัดการ”

ก่วนฟางอี๋ฉงนเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ค่อยยินยอมนัก บอกปัดไปว่า “เจ้าลองดูลุงเฉินไม่ก็สวี่เหล่าลิ่วดูสิว่าใครเหมาะกว่า เดี๋ยวข้าให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนเจ้า ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้พวกเขาไปจัดการ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในบางสถานการณ์สตรีเหมาะสมกว่าบุรุษ วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? เอาละ อย่าโยกโย้เลย เจ้านั่นแหละ”

“….” ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธได้ก็ทำได้เพียงฝืนทำตามอย่างไม่เต็มใจ

ก่อนจะผ่านประตูออกไป หนิวโหย่วเต้ามองโจวเถี่ยจื่อเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งสายตาให้หยวนกัง

หยวนกังพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการให้เขาลองหยั่งเชิงโจวเถี่ยจื่อคนนี้…

เมื่อมาถึงนอกเรือนรับรองของวังเหินเวหา ศิษย์ที่มาด้วยกันเข้าไปแจ้งกับยามเฝ้าหน้าประตู

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสอดไปประโยคหนึ่ง “รบกวนฝากบอกด้วยว่าหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีก็มาด้วย”

ศิษย์ที่เฝ้าประตูย่อมไม่ว่าอะไร ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าไปแจ้งอยู่แล้ว แค่เพิ่มมาอีกชื่อเท่านั้น

ก่วนฟางอี๋กลับผงะไป มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความตะลึง นางยังคิดอยู่เลยว่าอย่างมากก็แค่รออยู่ด้านนอกเท่านั้น แต่เขาต้องการพาตนเข้าไปด้วยอย่างนั้นหรือ!

ในจังหวะที่ศิษย์คนหนึ่งเข้าไปด้านในเหลือคนเฝ้าประตูอยู่คนเดียว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีแขกมารบกวนทางวังเหินเวหาเป็นจำนวนมากหรือ?”

เขาอยากรู้ว่าที่ตนถูกถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ มีสาเหตุมาจากทางวังเหินเวหาหรือว่ามีสาเหตุจากทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ จึงจงใจถามหยั่งเชิงเล็กน้อย

ศิษย์คนนั้นที่มาด้วยกันพลันส่ายหน้าให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเล็กน้อย เนื่องจากเขาทราบชัดเจนดีว่าเป็นเพราะโฉวซานขัดขวางเอาไว้

ศิษย์ที่เฝ้าประตูคนนั้นย่อมเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไม่ทราบ”

ยามที่หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม ดูคล้ายว่าไม่ได้เหลือบมองด้านข้างเลย แต่ความจริงเขาคอยสังเกตศิษย์ที่รับผิดชอบมาแจ้งเรื่องที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ด้วยหางตาอยู่ จดจำพฤติกรรมผิดแปลกเอาไว้ในใจ รู้ว่าถามไปคงไม่ได้อะไร จึงร้อง “โอ้” คำหนึ่งแล้วไม่ถามให้มากความอีก

กลับเป็นก่วนฟางอี๋ที่กระตุกแขนเสื้อหนิวโหย่วเต้า ลากเขาออกไปด้านข้างพลางเอ่ยถาม “เจ้ารั้นจะพาข้าเข้าไปด้วยให้ได้ คิดอะไรอยู่กันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างคล้ายว่าเป็นเรื่องธรรมดา “ได้ยินว่าเจ้ารู้จักหลงซิว คนรู้จักพบหน้าก็คุยกันง่ายไม่ใช่เหรอ”

ก่วนฟางอี๋ตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักหลงซิว? พวกลุงเฉินบอกหรือ? ไม่มีทาง!” เนื่องจากนางทราบดีว่าพวกลุงเฉินไม่มีทางพูดเรื่องในอดีตของนางกับคนอื่นส่งเดช อีกทั้งไม่ใช่เรื่องดีงามอันใดด้วย

นางก็จำได้ไม่กระจ่างแล้วเช่นกันว่าตอนที่รู้จักหลงซิว ลุงเฉินอยู่ข้างกายตนหรือยัง

หนิวโหย่วเต้ายิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักหลงซิวจริงๆ สินะ”

“…” ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออก ฉุนเฉียวโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “เจ้าหลอกข้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “รู้ทั้งรู้ว่าข้าต้องการมาพบหลงซิว รู้จักเขาไยไม่บอกแต่แรกเล่า?”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ “เรื่องระหว่างข้ากับบุรุษที่ข้าเคยรู้จักเป็นอย่างไรเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เรื่องไร้สาระเหล่านั้นมีอันใดน่าพูดถึงกัน”

หนิวโหย่วเต้ากลับอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลงซิวลึกซึ้งเพียงใด จึงลองถามไปว่า “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันหรือ?”

ก่วนฟางอี๋โมโหแล้ว “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรกัน? เจ้าคิดว่าผู้ใดก็สามารถหลับนอนกับข้าได้อย่างนั้นเรอะ?”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “มาตามเกี้ยวพาเจ้าหรือ?”

ก่วนฟางอี๋กลับไม่อยากยอมรับในจุดนี้ “ก็ทำนองนั้นกระมัง ด้วยชื่อเสียงของข้าในเวลานั้น คนที่ชื่นชมในชื่อเสียงมาด้วยหวังจะเอาเปรียบข้ามีมากมาย ไม่ต่างจากไปหาความสำราญกับเหล่าคณิกาเลย จะมีสักกี่คนที่จริงใจ? เขานับว่าเข้ามาพัวพันกับข้าอยู่ระยะหนึ่ง พอไม่ได้สมใจก็ห่างหายไป เขามีฐานะเป็นศิษย์สำนักใหญ่ ไม่มีทางลอยชายอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีได้นาน เวลานั้นเขาไม่นับว่าโดดเด่นในวังเหินเวหามากนัก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าภายหลังเขาจะกลายเป็นประมุขวังเหินเวหา หลังจากได้ยินว่าเขาขึ้นรับตำแหน่งข้าก็ค่อนข้างแปลกใจ ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว นับว่าเป็นคนที่รู้จักเก็บงำประกายนัก ข้ากับเขาไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิด”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับเงียบๆ ถามไปอีกว่า “เจ้าบอกข้ามาตามตรง ในบรรดาผู้นำหกสำนักใหญ่ที่ข้าต้องการพบ เจ้ารู้จักอยู่กี่คน?”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญดูเล็กน้อย “ไม่รู้จักเจ้าสำนักเทพนารีคนนั้น อีกฝ่ายเป็นสตรี เจ้าลองคิดดูก็คงรู้กระมังว่าสตรีล้วนชังข้ากันทั้งสิ้น ไหนเลยจะเคยไปเยือนสวนไม้เลื้อย”

หนิวโหย่วเต้า “กล่าวก็คืออีกห้าคนที่เหลือเจ้ารู้จักทั้งสิ้น?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความลังเล “จะว่าอย่างไรดีล่ะ จะบอกว่ารู้จักก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรู้จักไปเสียทั้งหมด ส่วนใหญ่ล้วนเคยรู้จักในสมัยก่อน ในสมัยก่อนบางคนก็เข้ามาหาโดยใช้นามจริง อย่างเช่นหลงซิว แต่ตอนนั้นบางคนก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริง คาดว่าคงอยากจะมาเชยชม แต่ก็กลัวจะกระทบต่อชื่อเสียง”

หนิวโหย่วเต้าไม่เข้าใจ “ในเมื่อไม่ใช้ชื่อจริง แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าใช่พวกเขา”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตอนนั้นมีคนตามเกี้ยวพาข้ามากมาย ก่อเหตุทะเลาะหึงหวงกันบ่อยครั้ง ตัวพวกเขาไม่ยอมบอก ย่อมมีคนอื่นที่อยากหาเรื่องซ้ำเติม จึงไปฟ้องร้องเปิดประเด็น มีสายตาคอยจับจ้องอยู่มากมาย จะปิดบังไว้ได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหลุดขำออกมา อย่างนี้นี่เอง

เวลานี้เอง คนที่เข้าไปรายงานกลับออกมาแล้ว อี้ซูก็ตามออกมาปรากฏตัวเช่นกัน ถามขึ้นว่า “ผู้ใดคือหนิวโหย่วเต้า?”

ทางนี้รีบเดินเข้าไป หนิวโหย่วเต้าคำนับพลางเอ่ยว่า “เป็นผู้น้อยเอง”

“เชิญ!” อี้ซูเอียงคอส่งสัญญาณเล็กน้อย รอให้หนิวโหย่วเต้าขึ้นบันไดมา ทว่าผายมือไปทางก่วนฟางอี๋ที่ตามมาด้วย “เจ้าเป็นใคร?”

หนิวโหย่วเต้ารีบชี้แจง “ผู้นี้คือหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี”

อันที่จริงอี้ซูรู้แต่แรกแล้ว แต่จงใจเอ่ยถามไปเท่านั้น

คราแรกที่ได้เห็นก่วนฟางอี๋ นางจำเป็นต้องยอมรับในใจเลยว่าสตรีนางนี้ดูแลตัวเองได้ดีจริงๆ โดยรวมแล้วยังดูเหมือนอายุไม่มากนัก ความทรงเสน่ห์นั้นยังคงงามสง่าน่าหลงใหลเช่นเดียวกับในอดีต ไม่แปลกเลยที่จะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ทำให้มีบุรุษมากมายปานนั้นมาชอบพอ

ที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็สมควรแล้ว ก่วนฟางอี๋เป็นสตรีรักสวยรักงามคนหนึ่ง เงินทองส่วนใหญ่ที่หามาได้ล้วนทุ่มไปกับการดูแลบำรุงโฉมของตน ในสายตาของบุรุษธรรมดายังคงเป็นโฉมงามคนหนึ่งอยู่แน่นอน แต่สำหรับเฮ่าอวิ๋นถูที่พบเห็นสาวงามหลากหลายบุคลิกในวังหลังอยู่เป็นประจำนับเป็นข้อยกเว้น

แต่เหล่าสตรีมักจะไม่ถูกชะตากับสตรีที่ดึงดูดชายมากมายให้มาหลงใหลชอบพอ อี้ซูจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ได้บอกแล้วหรือว่าให้เจ้าเข้าไปได้?”

ก่วนฟางอี๋ชะงักเท้า ถูกวาจาของอีกฝ่ายทำให้อับอาย แต่ยังคงแย้มยิ้มแล้วถอยออกไป เรื่องที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของสตรีอื่นเช่นนี้ นางใช่จะเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก

อี้ซูหันหลังเดินไป “ตามข้ามา”

หลังจากได้รับรายงาน นางไม่ได้ไปแจ้งต่อหลงซิว แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรายงานด้วย คนไร้แก่นสารอันใด นึกอยากจะเข้าพบอาจารย์ตนก็เข้าพบได้ส่งเดชอย่างนั้นหรือ?

หนิวโหย่วเต้ามองสตรีนางนี้ จากนั้นหันกลับไปมองก่วนฟางอี๋เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามอี้ซูเข้าไปด้านใน

ภายในสวน ศาลาพลับพลางามวิจิตร ทำให้หนิวโหย่วเต้ารับรู้ได้ถึงความต่างระดับในการรับรองเหล่าแขก แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ จะได้รับการรับรองเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับว่ามีสถานะระดับใด นี่ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก

เมื่อมาถึงศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง หนิวโหย่วเต้ามองเห็นหลงซิวนั่งเอกเขนกอ่านตำราอยู่บนตั่ง เท่าที่พิจารณาอยู่ไกลๆ ก็ตระหนักได้ว่านี่คือหนึ่งในคนที่ตัดสินชะตาของทั่วทั้งแคว้นเยี่ยนได้

อี้ซูเข้าไปรายงาน “อาจารย์ หนิวโหย่วเต้ามาแล้วเจ้าค่ะ”

ใบหูหนิวโหย่วเต้ากระดิกเล็กน้อย สังเกตดูสตรีนางนี้เล็กน้อย เป็นศิษย์ของหลงซิวอย่างนั้นหรือ?

หลงซิวตอบ “อืม” คำหนึ่ง สมาธิคล้ายจะยังอยู่ที่ตำรา ไม่ได้มีการตอบสนองอันใดมากนัก

หนิวโหย่วเต้าที่ถูกอี้ซูกวักมือเรียกเดินเข้าไปคำนับแล้วเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้าแห่งหนานโจวแคว้นเยี่ยน คารวะท่านประมุข”

หลงซิวไม่เปลี่ยนอิริยาบถ สายตาเหลือบมองไปที่ร่างหนิวโหย่วเต้า มองพินิจหัวจรดเท้า ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยไปว่า “จะได้พบเจ้าช่างยากนัก ข้ารอเจ้ามาพักใหญ่เลยทีเดียว”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางตอบกลับอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัว “ขออภัยด้วย ถูกสหายคนหนึ่งรั้งไว้ นางบอกว่ารู้จักกับท่าน เซ้าซี้จะขอมาพบท่านให้ได้ จึงล่าช้าไปด้วยเหตุนี้”

หลงซิวค่อนข้างแปลกใจ “รู้จักข้าหรือ? ผู้ใดกัน?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ “หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี”

หลงซิวร้องโอ้ แม้แต่สีหน้าก็ดูแปลกใจขึ้นมารางๆ “ได้ยินว่าตอนนี้นางติดตามเจ้า อะไรกัน นางก็มาอย่างนันหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากระจ่างขึ้นมาแล้ว คนผู้นี้ยังไม่ทราบว่าหงเหนียงมา เขาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอี้ซูที่ยืนอยู่ด้านข้างเล็กน้อย เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “รออยู่นอกประตูเพราะยังไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่กล้าเข้ามาโดยพลการ”

“ฮ่าๆ ก็นับว่าเป็นสหายเก่าเช่นกัน ไม่ได้พบกันเสียนาน” หลงซิวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ โบกตำราในมือไปทางอี้ซูเล็กน้อย “เร็วเข้า ไปเชิญเข้ามา”

อี้ซูก็แปลกใจมากเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าหญิงชั้นต่ำคนนั้นจะเป็นสหายของอาจารย์ตน

นางก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยเช่นกัน เชื่อคำพูดของเฉินถิงซิ่วแล้ว เป็นคนที่โอหังและไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาจริงๆ ทำเช่นนี้คือไม่เห็นตนอยู่ในสายตาเลย นางไม่ปล่อยให้เข้ามา จึงมาฟ้องกับท่านอาจารย์ของตน

หนิวโหย่วเต้าถูกปรักปรำเสียแล้ว หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะฟ้องเรื่องนางได้ เขาเพียงแต่รู้ว่าก่วนฟางอี๋รู้จักกับหลงซิว จึงอยากดึงตัวก่วนฟางอี๋มาช่วยคลี่คลายบรรยากาศให้คุยได้ราบรื่นขึ้นเท่านั้น

ไม่ได้มีเจตนาจะฟ้องเลยแม้แต่น้อย

ทว่าอี้ซูตัดสินเอาเองไปแล้ว ไม่ได้คิดเช่นนี้

“เจ้าค่ะ!” อี้ซูยังคงออกไปจัดการตามที่สั่ง

พอเอ่ยถึงหงเหนียง หลงซิวก็เผยสีหน้าคะนึงถึงอดีตขึ้นมาหลายส่วน

เพียงครู่เดียวก่วนฟางอี๋ก็มาถึง หลงซิวเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามา จำได้ในทันใด เป็นสตรีนางนั้น เสน่ห์เฉิดฉันยังคงอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ

ปีนั้นเขาไปทำภารกิจที่แคว้นฉี ถูกคนอื่นลากไปพบสตรีนางนี้

แรกเริ่มเขาไม่ได้อยากไปเลย กลัวว่าจะกระทบต่อชื่อเสียง แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะถูกสหายรั้นจะลากเขาไปให้ได้

ซึ่งในความเป็นจริง ก่วนฟางอี๋ขึ้นชื่อลือเลื่องด้านความงาม ผู้คนในตอนนั้นล้วนเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย เมื่อไปถึงเมืองหลวงแคว้นฉี ทุกคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ไหนเลยจะไม่อยากไปลองยลโฉมดูสักครา

เขาจึงไปยลโฉมด้วยเหตุนั้น ทันทีที่เห็นก็ถูกความงามของก่วนฟางอี๋ทำให้ตกตะลึง ถึงขั้นที่หวั่นไหวจนเกิดความคิดว่าหากชาตินี้ได้โฉมงามเช่นนี้มาครองคงไม่ใฝ่ปองสิ่งอื่นใดอีกแล้ว

หลังจากนั้นในช่วงที่อยู่เมืองหลวงแคว้นฉี เขามักจะไปหาก่วนฟางอี๋ทุกสามวันห้าวัน ต้องการจะตามเกี้ยวพา ทว่าถูกก่วนฟางอี๋ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

ภายหลังพอครบกำหนดทำภารกิจ เขาต้องกลับสำนัก ประกอบกับถูกก่วนฟางอี๋ปฏิเสธ ซ้ำยังเห็นคนมากมายที่ภาษีดีกว่าเขาคอยตามเกี้ยวพาก่วนฟางอี๋อยู่เช่นกัน จึงคิดว่าตนไม่มีความหวังใดๆ แล้ว จึงค่อยๆ ใจเย็นลง ตระหนักได้ว่าการปล่อยให้สตรีคนหนึ่งมาส่งผลกระทบต่ออนาคตไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าเลย ดังนั้นจึงจากไปด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

นานวันเขาก็ค่อยๆ ลืมเรื่องในอดีตไป ตอนนี้พอนึกถึงขึ้นมาอีกครั้ง กลับมีความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นในใจ โดยเฉพาะเมื่อได้พบตัวก่วนฟางอี๋อีกครั้ง

“ก่วนฟางอี๋คารวะประมุขหลง” เมื่อก่วนฟางอี๋มาถึงก็ย่อเข่าข้างหนึ่งลงคำนับ ตั้งใจวางตัวไว้มารยาทเกินจำเป็น แสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยพอใจเรื่องก่อนหน้านี้

หลงซิวหัวเราะฮ่าๆ โบกมือเล็กน้อยสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี “หงเหนียง ไม่ได้พบกันนานหลายปี ความงามไม่ด้อยไปจากในอดีตเลยนะ”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ท่านเย้าข้าเล่นอยู่หรือเจ้าคะ คนเราแก่ตัวลงย่อมโรยรา ไหนเลยจะยังมีความงดงามอันใดอีก”

หลงซิวโบกมือ “ไม่แก่เลย ข้าต่างหากที่แก่ไปแล้วจริงๆ”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เดิมทีท่านก็อายุมากกว่าข้าไม่น้อย แก่ตัวไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าสังเกตดูปฏิกิริยาของหลงซิว

“เอ่อ…” หลงซิวผงะไปเล็กน้อย พบว่าสตรีนางนี้ดูต่างไปจากในอดีต ยามนั้นเป็นคนพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังเป็นโฉมงามที่ดูสูงส่งจนไม่อาจเอื้อมถึงได้ ไม่ได้พูดจาเผ็ดร้อนขนาดนี้ รอยยิ้มเจื่อนลงไปเล็กน้อย “ยกชามา! ทั้งสองนั่งสิ”

อี้ซูยกชาเข้ามาด้วยความสงสัย แอบใคร่ครวญอยู่ในใจ เหตุใดถึงรู้สึกว่าสตรีนางนี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับท่านอาจารย์ หรือว่าอาจารย์ก็เคยพัวพันกับสตรีนางนี้ด้วย?

หนิวโหย่วเต้าที่เดิมทียืนพูดคุยเรียกได้ว่าพลอยได้รับอานิสงค์จากก่วนฟางอี๋ไปด้วย

ในเมื่อมาแล้วก่วนฟางอี๋ก็ไม่เกรงใจอีก นั่งลงไปทันที ยกขาไขว่ห้าง ขาซ้ายพาดขาขวา “เรือนรับรองของประมุขหลงมิใช่สิ่งที่เรือนของทางเราจะเทียบได้จริงๆ”

หลงซิวเหลือบมองท่านั่งไขว่ห้างของนาง พบว่าสตรีนางนี้เปลี่ยนแปลงไปจากสตรีที่อยู่ในความทรงจำของตนอย่างมากจริงๆ เขายิ้มแล้วตอบไปประโยคหนึ่ง “แขกย่อมต้องน้อมรับการจัดสรรของเจ้าบ้าน”

………………………………………………………………….