บทที่ 368 หลอกไท่เฟย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 368 หลอกไท่เฟย

“เจ้าเด็กนี่ใครกัน”

เสียงเอ่ยถามอย่างขอไปทีของจวงไทเฮาดังขึ้น

กู้เฉิงเฟิงเพิ่งรู้ตัวว่าจวงไทเฮาเดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่ด้านหลังกู้เจียว

ที่จริงแล้วทั้งสองเคยเจอกันมาก่อน ครั้งแรกคือตอนที่อยู่ตรอกปี้สุ่ย ส่วนอีกครั้งหนึ่งคือแถวๆ ใกล้วังหลวงตอนที่กู้เจียวถูกถังเย่ว์ซานตามล่าในครั้งนั้น

ในตอนนั้นไทเฮาเองก็เคยทำทีเป็นออกสั่งเพื่อให้ถังหมิงตายใจ

หากจะกล่าวว่าความคิดแกล้งตายนี้มาจากไหน ก็คงมาจากที่ไทเฮาพูดในครั้งนั้น

ด้วยความที่ตอนนั้นกู้เฉิงเฟิงใส่หน้ากาก ไทเฮาจึงมิอาจจำได้ว่าเขาคือ ‘เพื่อน’ของกู้เจียว

ส่วนตอนนี้ ใบหน้าของกู้เฉิงเฟิงเต็มไปด้วยคราบโคลน จึงดูไม่ออกว่าเขาเป็นใคร

แต่วินาทีต่อมา จวงไทเฮาก็จำเขาได้ “อ๋อ คนที่ไปจวนจอมพลหยวนไซว่ใช่ไหม”

สายตาแหลมคมถึงเพียงนี้เชียวหรือ

แค่นี้ก็จำได้ด้วยหรือ

อุตส่าห์เปลี่ยนเสียงแล้วด้วยนะตอนนั้น

ด้วยความมากประสบการณ์ของไทเฮามีหรือเรื่องแค่นี้จะดูไม่ออก “เจ้าเป็นอะไรกับเจียวเจียว”

ไฉนกู้เฉิงเฟิงถึงรู้สึกว่าถ้าเขาตอบความจริงออกไปอาจมีหัวหลุดออกจากบ่าก็เป็นได้

กู้เฉิงเฟิงหันไปขอความช่วยเหลือกู้เจียว

กู้เจียวเอามือสอองข้างกอดอกและมองดูห่างๆ

เหอะ! นางเด็กนี่ ใช้งานเสร็จก็ทิ้งกันเลยนะ! ยังความเป็นคนอยู่บ้างไหม!

“ทูลไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะถวายบังคม “ข้าน้อยนามว่ากู้เฉิงเฟิง ขอถวายบังคมฝ่าบาทขอรับ”

“อ๋อ”

เป็นถึงระดับพี่ชายของเจียวเจียว ย่อมได้ฝีมือไก่ก่าอยู่แล้ว

นึกว่ามารหัวใจที่จะมาขัดขวางการอุ้มเหลนของนางเสียอีก

ไม่นาน จวงไทเฮาก็เดินออกไป ไม่ได้ถามไถ่เรื่องวรยุทธ์ของกู้เฉิงเฟิง หรือถามว่าเข้ามาในวังได้อย่างไร ไม่ถามเลยสักนิด

“… ไทเฮาทรงเป็นคน… คนแปลกเสียจริง”

ที่น่าทึ่งกว่าคือเจ้าตะพาบน้อยของฉินกงกงที่ถูกทั้งสองเหยียบเข้าเต็มๆ แม้กระดองของมันจะแข็งแกร่ง แต่ด้วยความตกใจจึงเข้าไปหลบซ่อนในกระดองอยู่ดี

กู้เจียวรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของกู้เฉิงเฟิงและขอเงินหนึ่งพันตำลึงเพื่อเป็นค่ารักษา

กู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งจะได้เงินมาหยกๆ “…”

กู้เฉิงเฟิงหันไปหากู้เจียวด้วยสีหน้าราวคนปวดตับ “อย่าบออกนะว่าที่เจ้ายอมสละพระราชโองการเพื่อช่วยข้าจากทหารหลงอิ่งก็เพื่อเงินก้อนนี้น่ะ ”

แต่ก็นะ ถ้าเขาเกิดตายไป นางก็เอาเงินไปไม่ได้อยู่ดี

เมื่อกู้เจียวได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ

พอกู้เฉิงเฟิงเห็นปฏิกิริยาของกู้เจียว เขาก็เกิดใจชื้นขึ้นมา พลางนึก นางเด็กคนนี้ก็ยังพอมีความเป็นคนอยู่บ้างสินะ ไม่ใช่เอาแต่จะขูดรีดเขาอย่างเดียว

กู้เจียวทำท่าพิเคราะห์อย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าตาย ข้าก็จะสูญเสียหนึ่งพันตำลึง แต่ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าสามารถหารายได้ให้ข้าได้มากกว่าหนึ่งพันตำลึง! สำหรับพระราชโองการ ในเมื่อเจ้าเป็นหัวขโมยอันดับหนึ่ง ครั้งต่อไปก็ไปขโมยมาอีกสิ!”

กู้เฉิงเฟิง “…”

ไม่น่าเลย ไม่น่ารีบดีใจแต่แรกเลย

ทั้งสองกินมื้อกลางวันที่ตำหนักเหรินโซ่ว

ด้วยความที่กู้เฉิงเฟิงไม่สามารถปฏิบัติต่อจวงไทเอาเฉกเช่นหญิงชราธรรมดาได้ เขาจึงกินอาหารอย่างระมัดระวัง ขณะที่กู้เจียวเพลิดเพลินกับอาหารจนแก้มทั้งสองข้างของนางเหมือนกับกระรอกที่อมเม็ดสนไว้ในกระพุ้งแก้ม

ขณะเดียวกัน ณ สำนักชี จิ้งไท่เฟยกำลังนั่งสวดมนต์พลางรอข่าวคราวจากแม่นมไช่

แต่กลับกลายเป็นว่าข่าวที่ได้ก็คือแม่นมไช่ถูกฮ่องเต้สั่งให้เข้าคุกและรอสืบสวน

“ไท่เฟยเจ้าคะ” แม่ชีน้อยคุกเข่าข้างหลังนางและมองด้วยสายตากระวนกระวาย “เราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ แม่นมไช่ก็ดันถูกจับ … เหตุใดพระองค์ถึงต้องขังแม่นมไช่ด้วย แม่นมไช่คือคนของพวกเรานะเจ้าคะ ฝ่าบาทไม่ใช่…”

แม่ชีน้อยพูดเป็นชุดด้วยความคับแค้นใจภายในอึดใจเดียว ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในวังหลวง ก็มิอาจเล็ดรอดสายตาของคนในวังไปได้

ไม่มีความจำเป็นที่เหรินโซ่วกงจะต้องประกาศอะไรเป็นพิเศษ การจับกุมแม่นมไช่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคาดเดาว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิ้งไท่เฟยและฮ่องเต้นั้นตึงเครียดแค่ไหน

“จิ้งไท่เฟยเจ้าคะ ไปขอร้องฝ่าบาทให้ปล่อยแม่นมไช่ไปเถอะเจ้าค่ะ… แม่นมไช่อายุมากแล้ว… คงทนความยากลำบากเหล่านั้นไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ…”

แม้แม่ชีผู้นี้ไม่ได้อยู่ในวังหลวงมานานแล้ว แต่นางก็เคยได้ยินมามากมายเกี่ยวกับการทรมานนักโทษในวัง

นางเป็นห่วง

และหวาดกลัว

นางเกรงว่าวันหนึ่ง ความซวยนี้จะตกมาอยู่ที่ตัวนางเองด้วย

ตกกลางคืน เสียงร้องไห้ระงมของแม่ชีตัวน้อยก็ดังขึ้นท่ามกลางคืนเดือนมืด

จิ้งไท่เฟยไม่ลงมือทำอะไรทั้งนั้น นางไม่ได้ส่งใครไปสอบถามเกี่ยวกับแม่นมไช่ นางแค่นั่งเงียบๆ ในห้องโถงพร้อมกับพนมมือ

ในที่สุดแม่ชีน้อยก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นางเคยได้ยินแต่ความโหดร้ายของวังหลวงแต่ไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง

นางร้องไห้สะอื้นมุ่งหน้าไปยังตำหนักฮว๋าชิง

“ขอข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเถิด! จิ้งไท่เฟยทรงไม่ได้เสวยหรือดื่มเลยทั้งวัน… หากเป็นเช่นนี้ต่อไป… หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…พระนางจะประชวร…”

เสียงร้องไห้ของนางดังขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นเรื่องต้องห้ามในพระราชวัง

แม่ชีน้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกลากออกไปคิดบัญชีนอกวัง

“เสียงดังอะไรกัน” ฮ่องเต้วางม้วนฎีกาลงพลางขมวดคิ้ว

เว่ยกงกง “เสียงแม่ชีคนสนิทของจิ้งไท่เฟยขอรับ นางบอกว่าจิ้งไท่เฟย…ไม่ยออมทานข้าวมาทั้งวันแล้วขอรับ”

ฮ่องเต้ย่นคิ้วลง

เว่ยกงกง “ฝ่าบาท หรือจะให้กระหม่อมไปสังเกตการณ์ดูขอรับ”

ฮ่องเต้อ้าปากเหวอ

พระองค์ลังเลถึงขนาดว่าจะพยักหน้าด้วยซ้ำ

จากนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวกับความคิดของตัวเอง ในอดีต หากเขาได้ยินข่าวคราวของจิ้งไท่เฟย เขามักจะหยุดงานราชการของเขาทันทีเพื่อไปเยี่ยมนาง แต่วันนี้ ขนาดจิ้งไท่เฟยยังไม่ดื่มน้ำสักหยดเลยทั้งวัน เขากลับวางตัวนิ่งเฉยและไม่ร้อนรนแบบที่เคยเป็นมาก่อนแล้ว

เขาไม่ควรทำตัวแบบนี้ไม่ใช่หรือ

ฮ่องเต้หลับตาลงก่อนจะเอ่ย “ข้าจะไปที่สำนักชี”

“ขอรับ” เว่ยกงกงเอ่ยขาน

ฮ่องเต้ไม่ขึ้นพระเกี้ยว แต่กลับเดินไปพร้อมกับเว่ยกงกง

ด้วยความที่จิ้งไท่เฟยชอบที่จะอยู่เงียบๆ ดังนั้นสถานที่จึงห่างไกลมากในเวลานั้น และสำนักแม่ชีเองก็ไม่ได้สร้างขึ้นเพราะต้องรีบเร่งที่จะใช้มันในชั่วข้ามคืน

ยิ่งดึก สถานที่แห่งนี้ก็ยิ่งดูเล็กลงและลึกลับ

เมื่อแม่ชีน้อยเห็นฮ่องเต้เสด็จมา ก็ทำท่าประหลาดใจ “ฝ่าบาท…”

ฮ่องเต้ไม่ได้ขานตอบ เพียงแต่ยกมือห้ามเท่านั้น

แม่ชีน้อยรู้สึกทึ่งในพลังของฮ่องเต้

ไฟสำนักชียังคงจุดสว่าง ฮ่องเต้เปิดประตูเข้าไปในห้องโถง

ก็เจอกับจิ้งไท่เฟยที่กำลังนั่งบนพื้นเพียงลำพัง นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืดหลังให้ตรง แต่ดูเหมือนว่านางไม่สามารถต้านทานความชราของตนเองได้

“เสด็จแม่…” ฮ่องเต้ที่เห็นสภาพมารดาของตัวเองเป็นเช่นนั้นก็พลันรู้สึกเจ็บปวดที่พระทัย

จิ้งไท่เฟยไม่แม้แต่หันกลับมามอง นางพูดอย่างเย็นชาและเรียบเฉย “ฝ่าบาท เสด็จกลับไปเถิด”

เมื่อได้ยินเสียงที่ไร้อารมณ์ของเสด็จแม่ ฮ่องเต้ก็รู้สึกถึงความขุ่นเคืองในพระทัยมากขึ้น “ท่านกำลังตำหนิข้าหรือ…”

จิ้งไท่เฟยหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้าตำหนิอะไรฝ่าบาทได้ ตำหนิที่จับแม่นมไช่ไปขัง หรือตำหนิที่ฝันร้ายแล้วมองข้าเป็นหมูหมากาไก่กันล่ะ หรือว่าที่ฝ่าบาทรับข้าเข้าวัง ก็เพื่อที่จะขับไล่ข้าออกจากตำหนักหวาชิงอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาท ข้าคือใคร มีแม่สักกี่คนบนโลกนี้ต้องเฝ้ารอวันที่ลูกชายของตัวเองจะเรียกข้าว่าแม่”

จิ้งไท่เฟยเอ่ย พลางหันกลับมามองที่ฮ่องเต้

แม้ใบหน้าของนางไร้ซึ่งน้ำตา แต่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

ฮ่องเต้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในใจ

พลางนึก เขาสงสัยแม่ของตัวเองได้อย่างไร

คนอย่างนางน่ะหรือจะมีความลับกับใครได้

แล้วคนอย่างนางจะส่งคนไปทำร้ายไทเฮาได้อย่างไร

หนิงอันหย่วนแต่งงาน ส่วนจิ้งไท่เฟยถูกเนรเทศไปออยู่สำนักชี ซ้ำบุตรชายคนเดียวของนางก็แต่งงานไม่ได้ นางใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร

นี่เขาลืมทั้งหมดนี้ไปแล้วหรือ!

เขาเดินไปนั่งลงตรงหน้าแล้วจับมือของนาง “หงร์จะไม่ทำอย่างนั้นอีก ในหัวใจของหงร์ จิ้งไท่เฟยจะเป็นแม่คนเดียวของหงร์ตลอดไป”

ปลายนิ้วของจิ้งไท่เฟยสั่นเทา ดวงตาของเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่หรือไม่ เดี๋ยวลูกอยู่เป็นเพื่อนเอง”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยถามต่อ “ฝ่าบาท…จะไม่นึกสงสัยหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”

“เรา…” ฮ่องเต้ลักเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “เราจะไม่สงสัยแล้ว”

จิ้งไท่เฟยหลบตาลง

“ที่แท้ จิ้งไท่เฟยก็กุมความลับอันลึกลับนี้ไว้อยู่นี่เอง” บนรถม้า กู้เฉิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์

กู้เจียวไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับเขาอยู่แล้ว นางเป็นคนพูดน้อย ฉินกงกงเองก็เคยบอกเขาแล้วตอนพวกเขาให้อาหารตะพาบด้วยกัน

สิ่งที่ทำให้กู้เฉิงเฟิงประหลาดใจมากที่สุดก็คือการที่จิ้งไท่เฟยจงใจที่จะปลงพระชนม์ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นบุตรบุญธรรมของนาง แล้วนี่ที่ผ่านมานางแอบป้อนยาแปลกๆ มากมายให้พระองค์ได้อย่างไร!

“นางงูพิษเอ๊ย!”

เดิมเขาต้องการพูดประโยคนี้เพื่อแกล้งกู้เจียว

แต่กู้เจียวกลับไม่เล่นด้วยกับเขา

รถม้ากำลังเคลื่อนไปอย่างโคลงเคลง และเมื่อเขานึกถึงบางสิ่ง กู่เฉิงเฟิงก็แอบยิ้มกรุ่มกริ่มให้กู้เจียว “เมื่อกี้เจ้าแอบเปลี่ยนยาสีดำและยาสีขาวใช่ไหม จากนั้นครั้งต่อไปที่นางสั่งยาให้กับฝ่าบาท มันจะเป็นอย่างไรต่อ”

ดวงจันทร์อับแสง สำนักชีเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เว้นแต่เสียงผัดทอดในครัวเล็กๆ

ฮ่องเต้เดินไปที่ห้องภาวนาเพื่อรออาหาร

ส่วนจิ้งไท่เฟยเปิดประตูห้องออก เดินเข้าไปด้านในเบาๆ ก่อนจะใช้หลังมือและกำลังภายในปิดประตูลง

นางเปิดตู้ออก แล้วหยิบกล่องที่ข้างในมียาขวดขาวดำ แล้วหยิบขวดยานั้นออกมา

นางเปิดจุกขวดยาสีขาว เทเม็ดยาสีน้ำตาลเข้มออกมา แล้วห่อด้วยผ้าคลุมสีขาว

ขณะที่กำลังเตรียมเดินออกไป จู่ๆ นางก็ชะงัก

แล้วหันไปมองกล่องที่เดิมทีในนั้นมีพระโองการวางอยู่ข้างใน ก่อนจะหันไปมอองขวดขาทั้งสองขวด

ทันใดนั้น นางใส่ยากลับเข้าไปในขวดสีขาว แล้วเทยาออกจากขวดสีดำแทน

นางหยิบยาในขวดสีดำแล้วไปที่ห้องภาวนาที่อยู่ข้างกัน

และแล้วในครัวก็ทำอาหารเจออกมาจนเสร็จ

พวกเขานั่งลงแล้วค่อยๆ กินอาหารด้วยกัน

“ฝ่าบาททรงจัดการตัวเองได้เลยเพคะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ย

“ที่นี่ไม่มีฝ่าบาท ไม่มีพระสนม มีแต่หงร์กับเสด็จแม่เท่านั้น” ฮ่องเต้คีบหน่อไม้อ่อนให้จิ้งไท่เฟย “ข้าจำได้ว่าท่านชอบกินหน่อไม้ ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลสำหรับกินหน่อไม้ มีแต่หน่อไม้ดองรอ ถ้าหน่อไม้ออกมาใหม่ข้าจะให้คนขุดกระบุงใหญ่เอามาให้”

“ข้ากินเยอะขนาดนั้นที่ไหนล่ะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ย

“ฝ่าบาท นี่คือน้ำแกงเห็ดที่จิ้งไฟเฟยลงมือทำเองเพคะ!” แม่ชีน้อยยกชามน้ำแกงแล้วจัดวางด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เห็นต้องลำบากเลย” ฮ่องเต้ตรัส

“ก็นานๆ ที ฝ่าบาทจะมาหาข้านี่” จิ้งไท่เฟยเอ่ยกลับ

“ต่อไปข้าจะมาทุกวันเลย” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง

ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้เข้าถึงหัวใจจิ้งไท่เฟยหรือไม่ แต่ในที่สุดสีหน้าของนางก็ดีขึ้น

จิ้งไท่เฟยถอนหายใจ หยิบช้อนขึ้นมาและตักน้ำแกงเห็ดภูเขาใส่ชามให้ฮ่องเต้

“พวกเจ้าออกไปก่อน” จิ้งไท่เฟยเอ่ยกับแม่ชี

“เจ้าค่ะ” แม่ชีน้อยรับคำเสร็จก็เดินออกไป

“เจ้าเองก็ออกไปด้วย” ฮ่องเต้ตรัสกับเว่ยกงกง

“พ่ะย่ะค่ะ…”

ทั้งห้องเหลือเพียงพวกเขาสอองคน

“รีบกินตอนยังร้อนอยู่สิ” นางยื่นชามน้ำแกงให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้กินเสร็จก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือของเสด็จแม่ยังคงดีเช่นเคย”

“เจ้าชอบก็ดีแล้ว”

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! ไทเฮาเรียกท่านเข้าพบขอรับ!”

ทันใดนั้นเสียงของเว่ยกงกงดังขึ้นจากนอกประตู

จิ้งไท่เฟยมองตามเสียง ภายในใจของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ข้ากำลังเสวยอาหารอยู่ เรื่องงานค่อยไว้วันอื่น!”

“…พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงขานรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฮ่องเต้หยิบช้อนขึ้นมาและดื่มน้ำแกงเห็ดต้มที่จิ้งไท่เฟยทำเองกับมือภายในชั่วพริบตาเดียว

แต่สักพัก ฮ่องเต้ก็วางชามลงและกุมหน้าผาก “เสด็จแม่ ข้าเวียนหัวเหลือเกิน”

จิ้งไท่เฟยตออบกลับด้วยท่าทีอ่อนโยน “ไม่เป็นไร รู้สึกวิงเวียนก็นอนพักเถิด ตื่นมาเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

ร่างของฮ่องเต้ค่อยๆ ร่วงหมอบลงบนโต๊ะทานข้าว ทรงทอดพระเนตรไปที่จิ้งไท่เฟยอย่างงุนงง ทรงเห็นทั้งรอยยิ้มของจิ้งไท่เฟย รวมถึงเสียงของจิ้งไท่เฟยที่ดังข้างหู รวมถึงลมหายใจทุกจังหวะก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของจิ้งไท่เฟย

ทั้งหมดนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา

เขาอยากจะจำคนคนนี้ ทำไมเขาถึงจำได้ก็ไม่รู้

แต่เขากลับจำคนคนนี้ได้อย่างฝังลึก

บนรถม้า กู้เจียวพิงผนังรถม้าอย่างเฉื่อยชา “ข้าแอบเปลี่ยนยาสีดำและยาสีขาวก็จริง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมันกลับเหมือนเดิมอีกครั้ง”

กู้เฉิงเฟิงทำหน้าแตกตื่น “เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าเปลี่ยนมันกลับรึ ถ้าเช่นนั้น…ยาทุกตัวก็ยังคงอยู่ในขวดเดิมสินะ”

กู้เจียวพยักหน้า “ใช่แล้ว”

กู้เฉิงเฟิงดวงตาเบิกโพลง “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนั้นล่ะ”

“ก็เพราะอาจารย์ของข้าเคยสอนไว้ว่าบนโลกนี้มักจะมีคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดเหนือกว่าคนอื่นอย่างไรเล่า”