ตอนที่ 498 เต้าเหยี่ยเอาอีกแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 498 เต้าเหยี่ยเอาอีกแล้ว

โฉวซานกลับไปด้วยความฉงนในใจ

พอกลับมาถึงเรือนพำนักของตนก็มีศิษย์เข้ามารายงานทันที “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเฉินจากสำนักหยกสวรรค์มาพบท่านขอรับ” เขาชี้ออกไปเล็กน้อย

โฉวซานมองออกไป เห็นว่าเฉินถิงซิ่วกำลังรออยู่ด้านนอก มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน กำลังเดินเข้ามาหา ค่อยๆ ยกสองมือประสานหมัดคำนับ

โฉวซานส่งสัญญาณให้ศิษย์ถอยออกไป อันที่จริงในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ภายนอกยังคงยังรักษามารยาทต่อแขกอยู่ “เฉินซยง มีธุระใดอีกหรือ?”

เฉินถิงซิ่วก็ทราบเช่นกันว่าเอาแต่รบกวนอีกฝ่ายเช่นนี้ไม่ดีเลย แต่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต้าอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ส่วนเขามาที่นี่ก็เพราะหนิวโหย่วเต้า อยู่ในพื้นที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์

เขาไม่อาจนั่งเฉย ปล่อยให้หนิวโหย่วเต้ากระทำเรื่องที่ส่งผลเสียหายต่อสำนักหยกสวรรค์ได้ จึงทำได้เพียงต้องฝืนหน้าด้านเข้าไว้

“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ พอดีไม่มีคนรู้จักที่นี่เลย จึงทำได้เพียงมารบกวนโฉวซยงอีกครั้ง” เฉินถิงซิ่วประสานมือเอ่ยขออภัยซ้ำๆ

โฉวซานถาม “เรื่องหนิวโหย่วเต้าอีกแล้วหรือ”

เฉินถิงซิ่วกล่าวว่า “โฉวซยงปราดเปรื่อง คืออย่างนี้ ข้าอยากจะสอบถามเล็กน้อยว่าหนิวโหย่วเต้าได้เข้าพบหลงซิวหรือไม่ พอจะทราบหรือไม่ว่าการสนทนาของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

โฉวซานเอ่ยว่า “เฉินซยง นี่ออกจะเกินไปหน่อยนะ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของข้ามิใช่สายสืบของสำนักหยกสวรรค์ของท่าน แล้วก็ไม่มีทางไปสอดส่องแขกที่มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์เพื่อสำนักหยกสวรรค์ของท่านด้วย”

“ทราบแล้วๆ” เฉินถิงซิ่วประสานมือคำนับปลกๆ ถึงขั้นที่ค้อมตัวให้หลายครั้ง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ โฉวซานลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงยอมไว้หน้า แย้มข่าวให้เล็กน้อย “เรื่องพบย่อมได้พบ ส่วนคุยอะไรกันไม่อาจทราบได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีทางไปแอบฟังบทสนทนาของแขก แต่เขากับหลงซิวใช้เวลาพบปะกันไม่น้อย ราวครึ่งชั่วยามได้”

“นานขนาดนี้เชียวหรือ?” เฉินถิงซิ่วแปลกใจ

โฉวซานกล่าวว่า “เฉินซยง พอเท่านี้เถอะ สำรวมตนให้ดี ที่นี่คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ มิใช่สำนักหยกสวรรค์ คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้ทำตามอำเภอใจที่นี่ อย่าได้ก่อเรื่องใดจะเป็นการดีที่สุด” ในวาจาแฝงเจตนาตักเตือนไว้เล็กน้อย

“ทราบแล้วๆ” เฉินถิงซิ่วตอบรับซ้ำๆ “บุญคุณของโฉวซยง แซ่เฉินจดจำไว้ขึ้นใจแน่นอน”

โฉวซานไม่ได้เอ่ยรั้งเขาอีก

ระหว่างที่เฉินถิงซิ่วกลับไป จิตใจเรียกได้ว่ากระสับกระส่าย เพราะหลงซิวมิใช่คนธรรมดา ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปจะได้พบหน้าเขาสักครั้งล้วนยากเย็น แล้วเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงได้ใช้เวลากับหลงซิวนานขนาดนี้กันเล่า?

ยังมีอีกเรื่อง เขาไปพูดจาใส่ไคล้หนิวโหย่วเต้ากับทางอี้ซูไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอันใดเลย ตามความเข้าใจที่เขามีต่ออี้ซูคนนั้น หนิวโหย่วเต้าไม่น่าจะได้เข้าพบหลงซิวง่ายๆ สิ

เขาไม่ทราบว่าปรากฏตัวของก่วนฟางอี๋และสายสัมพันธ์เก่าที่มีต่อหลงซิวได้ข่มอี้ซูเอาไว้ ทำให้เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นในแผนการของเขา

….

รุ่งเช้า หลังจากโจวเถี่ยจื่อเก็บจานชามอาหารมื้อเช้าของแขกออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เดินออกจากมาเรือน ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมขอบผา ยกมือไพล่หลังชมทิวทัศน์

ไม่นานนัก เฉาเซิ่งไหวอาศัยจังหวะนี้ปรากฏตัวขึ้นตามที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ

แต่ครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาพบเขาอย่างซึ่งหน้าอีก หากแต่ทะยานมาจากหมู่ขุนเขาโฉบผ่านไป ราวกับบังเอิญผ่านมาทางนี้เท่านั้น 艾琳小說

หลังจากเฝ้ามองเขาหายลับไปในหมู่ขุนเขา มือของหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อบิดเล็กน้อย ได้รับเศษกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนเล็กๆ

ก้อนกระดาษถูกคลี่กางในซอกนิ้ว จากนั้นในช่วงที่ยกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ก็เหลือบอ่านเล็กน้อย มองเห็นอักษรแถวหนึ่งเขียนไว้บนเศษกระดาษ ตรงข้าม จื่อเถิง ริมลำธาร เล่นน้ำ

เขาเงยหน้ามองไปยังฝั่งตรงข้าม มองเห็นบนหน้าผาเหนือธารหุบเขาด้านล่างมีดอกจื่อเถิงห้อยลู่อยู่แถบหนึ่งจริง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเฉาเซิ่งไหวจะสื่ออะไร แต่คนผู้นี้บอกมาเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน

เศษกระดาษหลุบเข้าไปในแขนเสื้อ นิ้วมือบดขยี้เศษกระดาษจนแหลกเป็นผุยผง

เขาเฝ้าสังเกตรอบข้าง รอคอยอยู่สักพัก โจวเถี่ยจื่อที่นำถ้วยชามกลับไปส่งก็กลับมาถึง เข้ามารายงานว่า “หนิวซยง ถ่ายทอดข้อความให้ท่านแล้ว รอทางสำนักมาแจ้งอีกที”

“ได้ รบกวนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

โจวเถี่ยจื่อยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เป็นไร เพียงฝากถ่ายทอดวาจาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”

หยวนกังบังเอิญเดินออกมาจากด้านในประตูเรือนพอดี หนิวโหย่วเต้าพยักพเยิดหน้าไปทางหยวนกัง “ข้าได้ฟังจากหยวนกังแล้ว อาจารย์ของโจวซยงประสบเหตุถึงแก่กรรมในระหว่างออกไปทำภารกิจของสำนักด้านนอก ยามนี้ในสายของอาจารย์ท่านคงเหลือเพียงโจวซยงที่ต้องบำเพ็ญเพียรเพียงผู้เดียวกระมัง?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าโจวเถี่ยจื่อก็ฉายแววขมขื่นเล็กน้อย ทว่าฝืนยิ้มตอบไปว่า “เดินไปบนเส้นทางบำเพ็ญเพียร มันก็ยากจะเลี่ยงคลื่นมรสุมบางอย่างได้ เรื่องอุบัติเหตุก็ยากจะเลี่ยงได้เช่นกัน ช่วงที่ท่านอาจารย์มีคุณสมบัติเพียงพอจะรับศิษย์ได้ บังเอิญรับข้าไว้คนเดียว ยังไม่ทันได้รับศิษย์น้องให้ข้าเพิ่มก็ประสบเหตุเข้าเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเหลือตัวข้าเพียงคนเดียว อันที่จริงบำเพ็ญเพียรคนเดียวก็ดีเหมือนกัน ได้อยู่อย่างเสรีในโลกอันวุ่นวายนี้ เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักนโลกภายนอก ชีวิตข้านับว่าดีกว่าไม่รู้กี่เท่า ข้าพอใจมากแล้ว”

นี่เป็นเพียงคำปลอบใจตัวเองเท่านั้น หากดีจริงคงไม่มาทำงานจิปาถะยิบย่อย แต่เพราะไม่มีผู้ใดช่วยพูดแทนเขา หลายปีมานี้จึงต้องรับผิดชอบงานจิปาถะมาโดยตลอด

สายสืบทอดของเขาก็สืบทอดตรงมาจากอดีตเจ้าสำนักสองรุ่นก่อนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เนื่องด้วยเหตุขัดแย้งแก่งแย่งผลประโยชน์ภายในสำนัก เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ศิษย์ในสายสืบทอดจึงถูกบีบคั้นขาดช่วงไปจนเหลืออยู่ไม่เท่าไร จนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าในสายสืบทอดจูซื่อเฉิงเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

หนิวโหย่วเต้าย่อมทราบว่าเขาเพียงพูดจาใจกว้างไปเท่านั้น คนหนุ่มอายุน้อยได้แต่เฝ้ามองผู้อื่นรุ่งโรจน์ แต่ตนกลับถูกเรียกใช้วิ่งไปวิ่งมา ผู้ใดล้วนเรียกใช้งานได้ทั้งสิ้น จะมีคนหนุ่มสักกี่คนกันที่ยอมรับได้จากใจจริง? เขาพยักหน้าเอ่ยไปว่า “โจวซยงมองโลกในแง่ดี แต่ข้ากลับคิดว่าโจวซยงองอาจงามสง่า มิคล้ายคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างคนอื่นไปตลอด”

โจวเถี่ยจื่ยกมือลูบหน้าตน อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขวยเขิน ค่อนข้างเหนียมอาย ถูกชมแล้วทำตัวไม่ค่อยถูก

รูปร่างหน้าตาของเขาก็นับว่าพอใช้ได้จริงๆ ขาวสะอาดอ่อนเยาว์ เป็นหนุ่มน้อยวัยขบเผาะอย่างแท้จริง

แต่จะมีประโยชน์ใดเล่า เส้นทางการไต่เต้าสู่อนาคตภายในสำนักนับว่าแข่งขันกันอย่างดุเดือด ไม่มีคนเบื้องบนคอยช่วยสนับสนุนย่อมไม่มีโอกาสได้โดดเด่นฉายแสง หากตนกล้ามักใหญ่ใฝ่สูง ถึงเวลานั้นไปล่วงเกินคนอื่นเข้า กระทั่งคนที่จะปกป้องก็ไม่มี เกรงว่าคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชจนยากจะรักษาความใสบริสุทธิ์ในส่วนนี้ไว้ได้ คาดว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงต้องอยู่เช่นนี้ไปตลอดแล้ว

โจวเถี่ยจื่อทอดถอนใจ ส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนิวซยงชมเกินไปแล้ว”

หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “โจวซยงไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไป ข้าถูกชะตากับโจวซยงแต่แรกพบ อยากจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับโจวซยง ไม่ทราบว่าโจวซยงยินดีหรือไม่?”

หยวนกังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองฟ้า บ่นในใจว่าเต้าเหยี่ยเอาอีกแล้ว

“…..” โจวเถี่ยจื่อตกตะลึงตาค้าง หลงนึกว่าตนฟังผิดไป “ระ…ร่วมสาบานหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างจริงจัง “ถูกต้อง หาใช่ล้อเล่นไม่!”

“นี่…เรื่องนี้…” โจวเถี่ยจื่ออึกอักอยู่พักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

นับตั้งแต่เขาเข้าสู่สำนักหมื่นสรรพสัตว์มา นอกเหนือจากเมืองวั่นเซี่ยงแล้วก็ไม่เคยได้ติดต่อพบปะกับโลกภายนอกอีกเลย ไม่เคยย่างก้าวเข้าสู่โลกปุถุชนคนธรรมดาเลย

สมัยที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่มักจะเล่าเรื่องราวของโลกบำเพ็ญเพียรให้เขาฟัง หลังจากอาจารย์ถึงแก่กรรมไป เขาได้แต่รับรู้เรื่องราวข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับโลกบำเพ็ญเพียรผ่านบันทึกของสำนักเท่านั้น เป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวทำนองเดียวกับ ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ ที่หนิวโหย่วเต้าเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ความเข้าใจส่วนใหญ่ที่มีต่อโลกบำเพ็ญเพียรล้วนได้มาจากในด้านนี้

สำหรับหนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งผงาดมีชื่อขึ้นมาใหม่ ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่ทราบเลยว่าเป็นผู้ใดกัน เพียงเคยได้ยินคนเบื้องบนที่มอบหมายหน้าที่ให้เอ่ยถึงเล็กน้อย บอกว่าเป็นศิษย์คนหนึ่งที่ถูกขับไล่ออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เพียงแต่มีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงนี้เท่านั้น

อีกทั้งแขกที่เขาต้องรับผิดชอบดูแลก็ล้วนไม่ใช่แขกทรงเกียรติระดับสูงอันใดเลย แขกที่มีระดับสูงไปกว่านี้ไม่มีทางตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของเขา

แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาพอจะทราบดี ผู้ที่เข้ามาเป็นแขกของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ ศักดิ์ฐานะล้วนมิใช่ระดับที่ศิษย์ทำงานจิปาถะระดับล่างจะเทียบชั้นได้

เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานพักใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยออกไปประโยคหนึ่ง “เช่นนี้จะเหมาะหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถามทันที “หรือว่าโจวซยงดูแคลนข้า?”

“ไม่ๆๆ” โจวเถี่ยจื่อรีบโบกมือพลางชี้แจง “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาก่อน ข้าจึงไม่ทราบเช่นกันว่าหากศิษย์ในสำนักจะร่วมสาบานกับคนนอกต้องได้รับอนุญาตจากทางสำนักก่อนหรือไม่ โปรดให้ข้าไปลองสอบถามขอคำชี้แนะก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่?”

“เช่นนี้นี่เอง!” หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าไปว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องให้ท่านไปขอคำชี้แนะหรอก ท่านไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรต่อเบื้องบน หากไปขอคำชี้แนะอะไรจะยิ่งทำให้คนคลางแคลงได้ง่ายๆ อย่าเพิ่งไปแจ้งอะไรตอนนี้จะดีกว่า เลี่ยงไม่ให้คนสงสัยว่าข้ามีแผนร้ายไม่ซื่ออันใด เอาอย่างนี้แล้วกัน รอให้ข้าจะไปจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก่อน ข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสของสำนักด้วยตัวเอง โจวซยงคิดเห็นประการใด?”

พอได้ยินวาจานี้ หยวนกังพอจะเข้าใจแล้วว่าเต้าเหยี่ยต้องการอะไร เต้าเหยี่ยกำลังถางทางสร้างเส้นสายขึ้นอีกครั้ง

อยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ลงมือทำอะไรไม่สะดวก ไม่ว่าโจวเถี่ยจื่อจะใช่สายสืบที่ถูกส่งมาจับตามองพวกเขาหรือไม่ แต่หากพบเห็นความผิดปกติย่อมรายงานต่อเบื้องบนแน่นอน มีแต่ต้องดึงโจวเถี่ยจื่อมาเป็นพวก ขอเพียงเจรจากับโจวเถี่ยจื่อได้ ทางนี้จะทำอะไรก็จะลดความกังวลลงไปได้ไม่น้อย ต้องขจัดอุปสรรคที่อยู่ข้างกายไปก่อน

“เรื่องนี้…เรื่องนี้…” โจวเถี่ยจื่อลังเลเป็นอย่างมาก เผชิญกับเรื่องประเภทนี้แล้วค่อนข้างมึนงง ถึงหลับฝันก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเรื่องเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้าถาม “โจวซยงไม่ยินดีหรือ?”

โจวเถี่ยจื่อกล่าวว่า “เกรงว่าจะเป็นการอาจเอื้อมเกินฐานะ”

หนิวโหย่วเต้าถามซ้ำ “ขอถามเพียงว่ายินดีหรือไม่”

โจวเถี่ยจื่อยิ้มเจื่อน “ขอเพียงทางสำนักยินยอม ข้าย่อมไม่มีปัญหา”

“ดี เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วกัน” หนิวโหย่วเต้าเอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่าย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพอถึงเวลานั้นสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะไม่ยอมไว้หน้าข้า จะปล่อยให้พี่น้องของข้ารับผิดชอบดูแลงานจิปาถะระดับล่างต่อไป อย่างน้อยๆ ก็คงให้โอกาสได้ก้าวหน้าบ้างกระมัง?”

พอได้ยินวาจานี้ โจวเถี่ยจื่อประหนึ่งตื่นจากฝัน ดวงตาฉายแววดีใจ มองเห็นเสี้ยวความหวังจะได้ก้าวหน้าแล้ว

หนิวโหย่วเต้าหันหลังชี้ไปช่างธารหุบเขาด้านล่าง “โจวซยง ธารน้ำในหุบเขาใสกระจ่าง มองแล้วชอบใจนัก หากข้าลงไปเดินเล่นจะขัดต่อกฎระเบียบหรือไม่?”

โจวเถี่ยจื่อรีบกล่าวรับรองในทันใด “ขอเพียงไม่เดินสะเปะสะปะไป เพียงชมทิวทัศน์ในละแวกนี้ก็ไม่มีผู้ใดว่าอะไรได้ หนิวซยงโปรดวางใจ ไม่มีอะไรแน่นอน”

พอได้รับคำยืนยันแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงเหินลงไปเพียงลำพัง เดินวนเวียนอยู่ริมลำธาร ย่อตัวลงวักน้ำใสเย็นฉ่ำเล่นเป็นครั้งคราว

ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีเสียงแผ่วเบาของเฉาเซิ่งไหวแว่วมาจากด้านหลังเถาดอกไม้ที่ห้อยปรกลงมาจากบนผาหิน “เมื่อวานเข้าไปพบหลงซิวแห่งวังเหินเวหาหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าสังเกตดูเล็กน้อย ถึงได้พบว่าด้านหลังเถาบุปผานั้นคล้ายจะมีรอยแยกจากการแตกร้าวอยู่ช่องหนึ่ง เฉาเซิ่งไหวน่าจะแทรกตัวเข้าไปในรอยแยก แม้จะไม่รู้ว่าเข้าไปจากทางไหนก็ตาม เขายกมือไพล่หลังเดินเล่นเลาะลำธารกลับไปกลับมา “จัดการงานของตัวเองให้ดี ไม่จำเป็นต้องกังวลใจในเรื่องที่ไม่สมควรต้องกังวล”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย มิเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็อย่าฝันว่าจะได้อยู่ดี”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “รู้แล้ว ไม่วุ่นวายแน่นอน ให้เวลากับทางเจ้าไปแล้ว เจ้าวางใจได้เลย โอ้ใช่ เมื่อวานที่ข้าขอเข้าพบหลงซิวถูกถ่วงเวลาไว้เสียนาน ในเมื่อเจ้าสังเกตเห็นเรื่องนี้ก็น่าจะทราบสาเหตุกระมัง?”

เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “ข้าไหนเลยจะไปจับตามองทางหลงซิวได้ เรื่องที่เจ้าไปพบหลงซิวข้าก็ได้ยินมาจากคนอื่นเช่นกัน ไหนเลยจะทราบว่าเหตุใดถึงถูกถ่วงเวลาไว้ แต่ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ผู้อาวุโสเฉินอะไรสักอย่างจากสำนักหยกสวรรค์ในมณฑลหนานโจวของพวกเจ้าก็มาเยือนเช่นกัน ทั้งยังขอเข้าพบหลงซิวเหมือนกัน แต่หลงซิวไม่ยอมพบเขา ได้พบเพียงศิษย์ของหลงซิวเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่?”

………………………………………………………………………………..