บทที่ 446 เซียนทองต้าหลัวระยะปลาย ร่างจำลองเทพมารห้าตน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 446 เซียนทองต้าหลัวระยะปลาย ร่างจำลองเทพมารห้าตน

หานเจวี๋ยทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ไม่เข้าไปแทรกแซงการแข่งขันระหว่างกลุ่มผู้มาใหม่และเจ้าถิ่นของสำนักซ่อนเร้นทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ขอเพียงไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นในสำนักก็พอ

เนื้อแท้ของการบำเพ็ญนั้นแสนจะน่าเบื่อหน่าย หากห้ามไม่ให้แข่งขันกันคงได้เฉาตายกันหมด

สิบปีต่อมา

สำนักซ่อนเร้นกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ส่วนหานเจวี๋ยได้โอกาสทะลวงระดับ

หานเจวี๋ยปล่อยดวงจิตประหลาดออกมาเพื่อช่วยเหลือตนในการทะลวงระดับ

เขาเริ่มการทะลวงระดับ แรงกรรมหลั่งไหลออกมาจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง เจาะทะลวงมรรคผลแห่งต้าหลัว กลายสภาพเป็นพลังเวท

ผ่านไปเจ็ดปีเต็มๆ กว่าที่หานเจวี๋ยจะทะลวงระดับได้สำเร็จ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 7287/69,999,999,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ]

[ตบะ: ระดับเซียนทองต้าหลัว ระยะปลาย]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด มหามรรคแห่งกรรม]

อายุขัยเพิ่มขึ้นสองเท่าอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยซึ่งอยู่ในห้วงอารมณ์เปี่ยมสุข รวบรวมตบะต่อไป

เมื่อใดที่เขาไปถึงระดับครึ่งอริยะ อายุขัยน่าจะสามารถทะลวงขีดจำกัดได้อีก

อายุขัยยิ่งเพิ่ม แรงสาปแช่งก็ยิ่งรุนแรงขึ้น!

ผ่านไปอีกสามปี ตบะหานเจวี๋ยก็เสถียรโดยสมบูรณ์

เขาเริ่มปรับปรุงพลังวิเศษมรรคกระบี่ของตน หลังจากใช้เวลาครึ่งปีในการพัฒนาพลังวิเศษมรรคกระบี่จนไปถึงขีดจำกัดแล้ว เขาก็ฝึกบำเพ็ญร่างจำลองเสรีไร้สิ้นสุด

ร่างจำลองเทพมารตนที่สี่ ร่างจำลองเทพมารเงาไพศาล

ร่างจำลองเทพมารเงาไพศาล เงาพันร่างกลายสภาพเป็นคลื่นโถม กวาดล้างสิ้นทุกสรรพสิ่ง!

ร่างจำลองดังกล่าวใช้ได้กับกลยุทธ์ฝูงชน คัดลอกเงาของศัตรูทั้งหมด ให้เงาของศัตรูต่อสู้กับตัวศัตรูเอง

ในระยะเวลาครึ่งปี หานเจวี๋ยเอาแต่ฝึกฝนร่างจำลองของเทพมารตนนี้

เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าตนสามารถฝึกฝนร่างจำลองเทพมารตนที่ห้าต่อได้ในทันที

ร่างจำลองเทพมารสุญตา มหามรรคสุญตา สรรพสิ่งหวนคืนสู่ความว่างเปล่า!

ใช้เวลาไปอีกครึ่งปีเช่นเดิม หานเจวี๋ยฝึกฝนร่างจำลองเทพมารสุญตาจนรู้แจ้ง

ตอนนี้เขาสามารถสำแดงร่างจำลองเทพมารทั้งห้าตนได้แล้ว!

เมื่อก้าวสู่ระดับเซียนทองต้าหลัว พลังเวทก็ไร้ที่สิ้นสุด ไม่ต้องกังวลว่าพลังเวทจะหมดสิ้นไปในคราวเดียว

ร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์ ร่างจำลองเทพมารเก้าหยิน ร่างจำลองเทพมารวาตะวิปโยค ร่างจำลองเทพมารเงาไพศาล ร่างจำลองเทพมารสุญตา!

หากร่างจำลองเทพมารทั้งห้าออกมาพร้อมกัน ใครหน้าไหนจะสามารถต่อกรกับเขาได้เล่า

หานเจวี๋ยเริ่มทำแบบจำลองการทดสอบ

กวาดล้างระดับต้าหลัว!

สู้กับครึ่งอริยะ!

ไม่มีผู้สดับมรรคคนใดในตำหนักเอกอนันต์สามารถโจมตีหานเจวี๋ยได้

หานเจวี๋ยต่อสู้กับฝูซีเทียนหนึ่งยก

ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย!

เขาถูกสังหารภายในพริบตา!

หานเจวี๋ยสติแทบหลุดลอย

ถูกปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสังหารด้วยลมหายใจเดียวยังพอรับได้ แต่ถูกอริยะมรรคาสวรรค์อย่างฝูซีเทียนสังหารในชั่วพริบตา ช่างสั่นสะเทือนมรรคจิตของเขาเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หานเจวี๋ยมีความรู้สึกว่าอริยะมรรคาสวรรค์นั้นไม่ใช่อริยะที่แท้จริง จึงมีความรู้สึกดูแคลนอยู่ในที

เขาประลองกับเทพสูงสุดหนานจี๋ และถูกสังหารภายในชั่วพริบตาเช่นกัน

รับไม่ได้เด็ดขาด

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปหาจ้าวเซวียนหยวนกับเต้าจื้อจุน เชิญพวกเขาให้มาทำแบบจำลองการทดสอบ

ทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธ แต่ไม่นานก็พบว่าหานเจวี๋ยต้องการท้าประลองแบบหนึ่งต่อสองคน

ในแบบจำลองการทดสอบ

จ้าวเซวียนหยวนบ่นอุบ “อาจารย์ ท่านคิดจะฉีกหน้าพวกเราหรือไร”

เต้าจื้อจุนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

หานเจวี๋ยไม่พูดพร่ำทำเพลง สำแดงร่างร่างจำลองเทพมารห้าตนออกมาทันที แต่ละตนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และแผ่รัศมีคุกคามออกมา

เมื่อได้เห็นเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งห้า เต้าจื้อจุนและจ้าวเซวียนหยวนต่างก็หวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“นั่นมันอะไรน่ะ”

เต้าจื้อจุนอดถามขึ้นมาไม่ได้

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พลังวิเศษอย่างหนึ่ง มาเถิด ขอแค่พวกเจ้าโค่นร่างจำลองได้สักตนหนึ่ง พวกเจ้าก็มีพลังที่จะฝ่าระดับต้าหลัว หากสังหารศัตรูข้ามพรมแดนไม่ได้ ยังนับว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อยู่หรือ”

เมื่อสิ้นคำกล่าว บุตรแห่งสวรรค์ทั้งสองก็รู้สึกตื่นตัว และลงมือต่อสู้ทันที

ใต้ต้นฝูซัง

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นหันไปมองจ้าวเซวียนหยวนและเต้าจื้อจุนสลับกันและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้ามาดูซิ เจ้าสองคนนี้ธาตุไฟเข้าแทรกแล้วใช่หรือไม่”

คนอื่นๆ ที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นทีละคนสองคน และหันไปมองพวกเต้าจื้อจุน

เพียงได้เห็นสภาพของเต้าจื้อจุนและจ้าวเซวียนหยวนที่ตัวสั่นงันงก สีหน้าดูไม่ได้ ทั้งยังกัดฟันแน่นราวกับกำลังอดทนกับบางสิ่งบางอย่างอยู่นั้น

ทุกคนก็กรูกันเข้ามารุมล้อมคนทั้งคู่ทันที

ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยขึ้น “ไม่น่าจะใช่มารในใจ ไปฝึกแบบจำลองการทดสอบมาหรือเปล่านะ”

ไก่คุกรัตติกาลมองด้วยความประหลาดใจ “สหายสองคนนี้แตกคอกันเองหรือ”

ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา เสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์

ผ่านไปพักใหญ่

เต้าจื้อจุนและจ้าวเซวียนหยวนลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน ทั้งสองต่างนั่งซึม

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า” มู่หรงฉี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

เต้าจื้อจุนแค่นเสียงเย็น ก่อนจะหันหลังเดินหนีไปนั่งฝึกบำเพ็ญที่อีกฝั่งหนึ่งของต้นฝูซังแทน

จ้าวเซวียนหยวนพูดด้วยความกระดากอาย “ก่อนหน้านี้พวกเราได้ประมือเรียนรู้จากท่านอาจารย์มา”

ไก่คุกรัตติกาลดวงตาเป็นประกายวาววับ แล้วเอ่ยถาม “สองต่อหนึ่งเช่นนั้นหรือ”

“อืม…”

“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

“ถูกสังหารในเสี้ยววินาที…”

ยามที่จ้าวเซวียนหยวนให้คำตอบ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมา

ขณะที่ไก่คุกรัตติกาลกำลังจะซ้ำเติม ลี่เหยาก็ถอนหายใจออกมา “พวกเราไม่มีคุณสมบัติพอที่จะประมือกับเจ้าสำนักด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็คล้อยตาม

หานเจวี๋ยไม่เคยเป็นฝ่ายเอ่ยชวนผู้ใดให้มาประมือด้วยมาก่อน

เจียงอี้สีหน้าเหยเกขึ้นมา นี่เท่ากับว่าเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของหานเจวี๋ยอีกแล้วน่ะสิ?

ทุกคนพลันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

ถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยกำลังกลั่นร่างจำลองเทพมารเงาไพศาล และร่างจำลองเทพมารสุญตาของปราณเทพมาร

ปราณเทพมารสามกลุ่มก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการหลอมรวม ยังไม่มีทีท่าว่าจะบ่มเพาะกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลที่แท้จริงได้ แต่ถ้าหากสามารถหลอมรวมได้ จะต้องเกิดผลลัพธ์ใดขึ้นมาอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะเป็นเพียงหุ่นเชิดของเทพมารฟ้าบุพกาล แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว

ครึ่งปีต่อมา ปราณเทพมารสองกลุ่มใหม่ก็หลอมรวมกันได้สำเร็จ และเริ่มควบแน่นต่อไปเรื่อยๆ จนใกล้จะมีชีวิตขึ้นมา

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งอริยะมิ่งจี

เพิ่งทะลวงระดับได้ ต้องฉลองกันสักหน่อย

ห้าวันต่อมาอายุขัยของหานเจวี๋ยก็เริ่มลดลง

เขาตัดสินใจที่จะทำลายขีดจำกัดของคำสาปแช่งอีกครั้ง

อริยะมิ่งจี เอาไปเลยอายุขัยสองล้านล้านปี!

ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะทนได้นานขนาดนั้นหรือไม่

หนึ่งแสนล้านปี!

สามแสนล้านปี!

ห้าแสนล้านปี!

แดนเซียน สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ทั่วหุบเขาหันไปมองในทิศทางเดียวกัน

บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ชายผู้มีท่าทางดั่งผู้วิเศษกำลังแสดงธรรมอยู่บนยอดเขาลูกนั้น

เขาคืออริยะมิ่งจีนั่นเอง

เขาอาศัยประโยชน์จากมหาเคราะห์ แปลงกายเป็นเทพเซียนลงมาโปรดโลกมนุษย์ เพื่อล่อลวงจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ด้วยหวังจะหากำลังพลให้กับวังสวรรค์

เขาแสดงธรรมไป ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไป

‘คำสาปแช่งเริ่มขึ้นอีกแล้ว!’

‘ต้องเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแน่ เทพสูงสุดหนานจี๋เคยกล่าวไว้ว่า เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมักจะสาปแช่งทุกๆ สิบปี’

‘ตกลงแล้วเป็นอริยะผู้ใดกันแน่’

อริยะมิ่งจีรู้สึกงงงวย

อริยะสามารถสอดแนมและวิวัฒนาการทุกสรรพสิ่งได้ ดังนั้นอริยะมิ่งจีจึงเคยชินและพึ่งพาการคำนวณมาโดยตลอด แต่เมื่อไม่สามารถคำนวณถึงศัตรูได้ เขาก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย

พลังคำสาปแช่งเริ่มแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

แม้ว่าจะไม่รุนแรงพอที่จะทำร้ายอริยะมิ่งจีได้ แต่ใครก็ตามที่โดนคำสาปแช่งเช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกรำคาญใจอย่างแน่นอน

‘หรือฝ่ายนั้นต้องการรบกวนมรรคจิตของข้า?’

อริยะมิ่งจีครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้

และในขณะนั้นเอง พลังอันแข็งแกร่งก็ปะทุออกมาจากฟ้าดิน

“ข้า โจวฝานแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ขอสละดวงชะตาทั้งหมดของข้า แลกกับพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อปราบเทพเซียน!”

“เทพเซียนเข่นฆ่าทำลายสรรพชีวิต เป็นปฏิปักษ์ต่อมรรคาสวรรค์ ขอให้มรรคาสวรรค์โปรดมอบแรงกุศลให้แด่ข้าเพื่อสังหารเทพเซียน!”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ยอมแพ้ ไม่มีวัน!”

เสียงคำรามอันเกี้ยวกราดของโจวฝานดังก้องผ่านทั้งฟ้าดิน จนสรรพสัตว์ที่สดับมรรคทั่วหุบเขาได้ยินกันถ้วนหน้า

ยังไม่ทันได้ตั้งสติ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีก

“เป็นเพียงมนุษย์ต้อยต่ำ ริอ่านขัดขืนเทพเซียน ซ้ำยังอาจหาญสั่งการมรรคาสวรรค์ น่าขัน! ช่างน่าขันเสียจริง!”

“โจวฝาน เจ้ารู้ถึงพลังของอริยะหรือไม่”

“หากไม่รู้ วันนี้เจ้าก็จะได้รู้ซึ้ง!”

………………………………………………..