บทที่ 452 องค์หญิง

บทที่ 452 องค์หญิง

หลินซือเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พบกับเด็กหญิงตัวน้อยผิวขาวดั่งหิมะเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าและมีท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เด็กหญิงเอ่ยเรียกสวีกุ้ยเฟยและจ้องมองนาง ก่อนที่จะหันไปทางองค์รัชทายาทแล้วตะโกนขึ้นมา “เสด็จพี่!”

องค์รัชทายาทถอนหายใจอย่างเย็นชา นั่นนับว่าเป็นการขานกลับแล้ว

องค์หญิงกลอกตามององค์รัชทายาท เด็กน้อยดึงแขนเสื้อของสวีกุ้ยเฟยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี “หมู่เฟย ท่านพี่ซานเป่าอยู่ไหนแล้ว ท่านไม่ได้บอกว่าเขาเองก็มาไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

สวีกุ้ยเฟยไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร นางตอบกลับไปว่า “เจาเอ๋อร์ ก่อนจะมา เจ้าสัญญากับหมู่เฟยว่าอย่างไร?”

“ข้ากล่าวทักทายไปแล้วนะ” องค์หญิงก้มหน้าและเอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจ

“แบบนั้นเรียกว่ากล่าวทักทายหรือ? ถ้าหากว่ามีคนพูดจากับเจ้าเช่นนั้น เจ้ารู้สึกมีความสุขไหม?” สวีกุ้ยเฟยถาม

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ว่า ทักทายเสด็จพี่ของเจ้าใหม่อีกครั้ง จนกว่าเขาจะเต็มใจตอบกลับเจ้า” สวีกุ้ยเฟยกล่าวตำหนิ

สวีกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าพระธิดาของตนเองกับองค์รัชทายาทจะเกิดมาเพื่อทะเลาะกัน เมื่อพบเจอกันครั้งแรกตั้งแต่ฟันยังไม่งอกขึ้นมา องค์หญิงก็กัดเข้าที่แขนขององค์รัชทายาท แล้วปัสสาวะใส่เขา

เมื่อโตขึ้น สองพี่น้องก็เหมือนดั่งน้ำกับไฟ

สวีกุ้ยเฟยเองก็รับรู้ถึงวิกฤต องค์รัชทายาทเป็นบุตรขององค์จักรพรรดิ อนาคตของต้าเยี่ยนขึ้นอยู่กับเขาแล้ว

ตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้ หากจักรพรรดิจากไปเมื่อไร ดูจากความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองแล้ว เกรงว่าองค์หญิงคงจะตกอยู่ในเงื้อมมือองค์รัชทายาทด้วยความยากลำบาก

ดังนั้นสวีกุ้ยเฟยจึงต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างของทั้งสอง แต่มันก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

องค์หญิงไม่มีหนทางอื่น จึงทำได้เพียงหันกลับมาทำความเคารพองค์รัชทายาทที่มีใบหน้าเย็นชา “คารวะเสด็จพี่เจ้าค่ะ”

เมื่อครู่ภายนอกสวีกุ้ยเฟยกำลังอบรมองค์หญิงอยู่ แต่ภายในใจของนางนั้นกำลังทุบตีธิดาของตัวเอง ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ องค์รัชทายาทจึงทำได้เพียงยื่นมือไปประคององค์หญิง “น้องสาว เจ้าลุกขึ้นเถอะ”

องค์หญิงรีบลุกขึ้น ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความเงียบงัน องค์หญิงจ้ององค์รัชทายาท และพระองค์ก็กลอกตาใส่องค์หญิง

หลังจากทำสิ่งที่ท่านแม่มอบหมายเสร็จแล้ว องค์หญิงก็ถามขึ้นอย่างซุกซน “หมู่เฟย พี่ซานเป่าอยู่ที่ใดเจ้าคะ?”

สวีกุ้ยเฟยลูบหัวองค์หญิงเพื่อเป็นการปลอบโยน “อย่ารีบร้อน แม่ให้คนไปหาแล้ว”

องค์หญิงจึงทำได้แค่เพียงรอคอยอยู่ข้าง ๆ สวีกุ้ยเฟย และทักทายคนรอบข้างด้วยความเบื่อหน่าย

“เอ๊ะ?” องค์หญิงเบิกตากว้างแล้วเดินเข้าไปหาหลินซือ และเดินวนอยู่รอบตัวนาง “หน้าตาเจ้าช่างเหมือนพี่ซานเป่าเลย ท่านคือพี่สาวของซานเป่าหรือไม่?”

หลินซือรู้สึกถูกชะตากับองค์หญิงตัวน้อยที่ผิวพรรณขาวผ่อง จึงก้มตัวลงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่น “ถูกแล้วเพคะ หม่อมฉันคือพี่สาวของซานเป่า และนี่คือแม่ของพวกเรา”

“แต่ว่า ข้าเคยเห็นเพียงแค่ท่านปู่ของพี่ซานเป่า ไม่เคยพบกับพวกท่านเลย”

สายตาที่งุนงงจ้องมองไปมาระหว่างทั้งสองคน

หลินซือหันไปมองเหยาซูด้วยความรู้ที่รู้สึกอัดอัดและสับสนเล็กน้อย

เหยาซูก้มลงเล็กน้อยเพื่ออธิบายให้กับองค์หญิงตัวน้อย “นั่นเป็นเพราะว่าพระราชครูเซี่ยไม่มีลูก โดดเดี่ยวเกินไป ดังนั้นซานเป่าเลยไปอยู่เป็นเพื่อนกับเขาเพคะ”

องค์หญิงตัวน้อยทำท่าทีจะตอบอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็โบกมือขึ้นและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ว้าว พี่ซานเป่าเป็นคนดีมาก ๆ”

หลินซือสบตากับเหยาซู เด็กสาวยิ้มขึ้นพลางส่ายหัว

เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงตัวน้อยถูกชะตากับทั้งสองมาก จึงพูดคุยอยู่รอบ ๆ พวกเขาเพื่อถามคำถามเล็กน้อยเกี่ยวกับเซี่ยเซิน

หลินซือตอบคำถามด้วยความอดทน เมื่อองค์หญิงถูกชะตาใครก็จะรู้สึกดีกับคนรอบข้างของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน และองค์หญิงก็ค่อย ๆ รู้สึกดีต่อหลินซือขึ้นเรื่อย ๆ

“พี่อาซือ ท่านดีจริง ๆ ในวังไม่มีใครยอมคุยกับข้ามากมายถึงเพียงนี้”

หลินซือยิ้มกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา องค์หญิงน้อยก็ได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา และกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “พี่อาซือช่างเป็นคนดีเช่นนี้ แต่บางคนกลับแตกต่างกันเกินไปราวฟ้ากับดิน”

“เจ้าความความว่าเช่นไร?” เสียงที่มืดมนขององค์รัชทายาทดังขึ้น

“เสด็จพี่?” องค์หญิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทอยู่ข้าง ๆ ตน เด็กหญิงจึงโบกมือเหมือนกับคนที่ไม่มีความผิด “เหตุใดหน้าตาท่านจึงไม่น่าดูเช่นนี้ คงไม่ได้คิดว่าเมื่อครู่ข้าพูดถึงท่านหรอกนะ แต่ข้าพูดว่าบางคนน่ะ เสด็จพี่คงจะไม่ได้รับไว้ใช่ไหม? ”

องค์รัชทายาทมองดูองค์หญิงด้วยความเสียใจ “ระวังปากเจ้าด้วย”

องค์หญิงถอนหายใจด้วยความเย็นชา และไม่สนใจองค์รัชทายาทอีกต่อไป

ในฐานะที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิง แต่นางก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แม้แต่เสด็จพ่อของนางก็ไม่เคยพูดจาหยาบคายกับนางเลย

ดังนั้นการใช้อำนาจคุกคามขององค์รัชทายาทจึงไม่เคยอยู่ในสายตาขององค์หญิงแม้แต่น้อย

หลินซือมองดูเด็กทั้งสองประชันฝีปากด้วยความตกตะลึง อดคิดไม่ได้ว่าเด็ก ๆ ที่เติบโตขึ้นมาในพระราชวังนั้นช่างแตกต่างนัก เด็กสาวลุกขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลินซือต้องการจะยืนอยู่ที่ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะว่าไม่อยากได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม ทว่าไม่ได้คิดว่าขณะที่ตนลุกขึ้นนั้นจะพบกับเซี่ยเซินที่รีบเข้ามา

“องค์หญิง ท่านดูสิเพคะว่าใครมา” หลินซือยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

องค์หญิงหันไปยังทิศทางที่หลินซือชี้ หลังจากนั้นก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ และปรี่เข้าไปหาเซี่ยเซิน

เห็นได้ชัดว่าในตอนแรกเซี่ยเซินมองไม่เห็นว่าใครกำลังปรี่เข้าหาตนเอง จึงก้าวออกมาสองสามก้าว คาดไม่ถึงว่าจะถูกองค์หญิงจับเอาไว้ จึงอธิบายขึ้นพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เต็มใบหน้า

เมื่อเห็นท่าทางที่ประหม่าของน้องชายตนเอง หลินซือก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

และในที่สุดแมลงวันที่น่ารำคาญก็จากไป องค์รัชทายาทก็ถอนหายใจออกมา กำลังจะเอื้อมมือไปดึงมือของหลินซือมาทางตน

แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ ๆ องค์หญิงตัวน้อยจะเรียกหลินซืออีกครั้ง

“กำลังไปเพคะ” หลินซือยิ้มและรีบเดินไปหาโดยที่มองไม่เห็นมือขององค์รัชทายาทที่ยื่นออกมา

มือขององค์รัชทายาทลองเคว้งอยู่กลางอากาศ

เนื่องจากถูกองค์หญิงก่อกวน ต่อมาหลินซือจึงไม่ถูกองค์รัชทายาทก่อกวนอีก งานชมดอกเบญจมาศสิ้นสุดลงโดยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น และความรู้สึกดีที่นางมีต่อองค์หญิงก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“พี่อาซือ ในวันข้างหน้าข้าสามารถไปเล่นกับท่านได้หรือไม่?” ก่อนที่หลินซือจะจากไป องค์หญิงไม่อาจตัดใจปล่อยมือนางได้

“ถ้าหากจะออกวัง แน่นอนว่าได้เพคะ” หลินซือไม่ลืมที่จะกำชับ “แต่ไม่สามารถออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะมันอันตรายมากนะเพคะ”

“ข้าเข้าใจ ข้าจะไม่แอบออกจากวังแล้วโดนจับได้อีกแน่นอน” องค์หญิงกล่าวประชดประชัน

หลินซือยิ้มขึ้น มองดูแล้วองค์หญิงและองค์รัชทายาทนั้นเป็นเหมือนน้ำกับไฟจริง ๆ หากมีจังหวะที่จะเยาะเย้ยอีกฝั่งได้ก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสให้หลุดลอยไป

ขณะที่องค์หญิงยังตัดใจไม่ลง หลินซือก็ได้ออกจากพระราชวังพร้อมกับฮูหยินท่านอื่น ๆ แล้ว

สวีกุ้ยเฟยเองก็มีเรื่องเล็กน้อย จึงกำชับขึ้นสองสามประโยคก่อนที่จะจากไป ส่วนองค์หญิงรีบไล่แม่นมของตนไป ตอนนี้เหลือแค่องค์รัชทายาทและองค์หญิงเท่านั้น

“เจ้ามองอะไร” เมื่อไม่มีคนแล้ว องค์หญิงก็ไม่จำเป็นต่อที่ต้องปิดบังความรังเกียจต่อพี่ชายอีกต่อไป พระองค์กล่าวอย่างรังเกียจ

“อยู่ให้ห่างจากหลินซือเข้าไว้ ” องค์รัชทายาทเมินเฉยต่อคำยั่วยุขององค์หญิง แล้วกล่าวเตือนขึ้น

“หา? ข้ามองว่าเป็นท่านต่างหากที่ควรจะอยู่ให้ห่างจากนาง ข้าได้ยินมาว่าพี่หลินซือไม่ชอบท่าน ท่านก็ยังต้องการให้นางมาเป็นพระชายาอีก”

“หุบปาก!” จู่ ๆ องค์รัชทายาทก็ตะโกนขึ้น

องค์หญิงก็ตกตะลึงกับท่าทางที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อนขององค์รัชทายาท และผงะไปโดยไม่รู้ตัวแต่นางก็ยังพูดอย่างดื้อรั้น “ที่ข้ากล่าวมานั้นผิดเช่นไร ท่านไม่คู่ควรกับพี่อาซือ และนางก็ไม่อาจเป็นชายาของท่านได้!”

“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!” คำพูดขององค์หญิงแทงใจดำเขายิ่งนัก จึงยกมือขึ้นมาหมายตีฝ่ายตรงข้าม

องค์หญิงก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่สระน้ำอยู่ข้างหลัง นางจึงเหยียบหินและกลิ้งตกลงไปในน้ำก่อนที่จะทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ

องค์รัชทายาทยังคงยกมือค้างอยู่อย่างนั้น และตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งผู้คน จึงไม่มีใครรู้ว่าตรงนี้เกิดเรื่องราวอะไรขึ้น องค์รัชทายาทยังคงยืนอยู่บนฝั่งและมองดูคนในสระน้ำกำลังตะเกียกตะกาย องค์หญิงว่ายน้ำไม่ได้ น้ำในสระก็หนาวเย็นจนไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมา ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาอุ่น ภายในส่วนลึกของพระราชวังก็อาจจะมีอีกหนึ่งศพโดยไม่รู้ตัว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เกิดเรื่องยุ่งแล้วสิ องค์หญิงตัวแบกของตอนนี้จะเป็นอะไรไหมหนอ

ไหหม่า(海馬)