บทที่ 372 ไทเฮา
“ฝ่าบาท…” เว่ยกงกงอยากจะบอกว่าจิ้งไท่เฟยไม่ได้ผลักเขา แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ฮ่องเต้ก็เอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าหุบปากเสีย!”
เว่ยกงกงไม่กล้าเอ่ยคำใด
ฮ่องเต้เหลียวไปมองให้หน้าที่ได้รับบาดเจ็บของจิ้งไท่เฟย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจเขาถึงไม่ได้เจ็บปวดเหมือนแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังถูกแทนที่ด้วยความต่อต้านและความสงสัย
ข้าไม่ได้ทำ
คำพูดนั้นจิ้งไท่เฟยไม่ได้พูดออกไป
เพราะนางนั้นรู้ฤทธิ์ของยาขนานนี้ยิ่งกว่าผู้ใด
“ไท่เฟยเปล่านะเพคะ” แม่ชีน้อยพยายามโต้เถียง “เว่ยกงกงยืนไม่มั่นเองต่างหากเพคะ”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเชือดเฉือน “ก็เห็นปกติดีกันทุกคน เหตุใดถึงมีเขาเพียงคนเดียวที่ยืนไม่มั่น”
เว่ยกงกง ‘เอ่อ…ข้ายืนไม่มั่นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ’
สุดท้ายจิ้งไท่เฟยก็มองฮ่องเต้อีกครั้ง กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ก่อนจะหันหลังเดินจากไป!
“ไท่เฟย! ไท่เฟยเพคะ!” แม่ชีน้อยจำต้องตามไปอย่างจนใจ นางเดินไปถึงธรณีประตูแล้วแต่ก็ยังเหลียวกลับมาพลางหวังฮ่องเต้จะเอ่ยรั้งจิ้งไท่เฟย แต่สุดท้ายฮ่องเต้ก็ไม่ทำเช่นนั้น
ฮ่องเต้มองแผ่นหลังของจิ้งไท่เฟยที่เดินไกลออกไป ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ แต่ก็เป็นแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงเข้าห้องทรงอักษรไป
เว่ยกงกงงุนงงไปหมด เขาไล่บรรดาบ่าวออกไป ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียว “แม่นางกู้ ท่านเห็นแล้วหรือไม่ ฝ่าบาทดูแปลกไป พระองค์ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน พระองค์ทะเลาะกับไท่เฟยกระมัง หรือไม่จิตใจคงได้รับการกระเทือน”
กู้เจียวไม่ตอบเขา แต่กลับถาม “เมื่อครู่จิ้งไท่เฟยไม่ได้ผลักท่านจริงๆ ใช่ไหม”
เว่ยกงกงตอบ “ไม่ได้ผลักน่ะสิ! ฝ่าบาทเข้าใจผิด! ข้าลื่นล้มเองจริงๆ ไม่เกี่ยวกับไท่เฟยเลยสักนิด! จะว่าไปก็แปลกจริงๆ…”
“ฝ่าบาทกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“แม่นางกู้หมายถึง…”
“หมายถึงว่าจู่ๆ ก็เฉยชากับไท่เฟยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
อ๋อ เว่ยกงกงแจ่มแจ้งในทันใด เขาพยายามหาคำมาอธิบายอาการของฝ่าบาท นึกอยู่นานสองนานก็นึกไม่ออก ที่แท้ก็คือเฉยชา
เขาตอบ “ก็เพิ่งไม่นานมานี้ เมื่อคืนวานฝ่าบาทกริ้วจนสั่งลงโทษแม่นมไช่ ฮุ่ยอันที่รับใช้ข้างกายไท่เฟยมารายงาน บอกว่าไท่เฟยไม่กินไม่นอน ฝ่าบาทก็ร้อนอกร้อนใจรีบไปเยี่ยมไท่เฟย ฝ่าบาทเองก็เหนื่อยล้า เสวยมื้อค่ำยังไม่เสร็จดีก็ผล็อยหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว!”
อ๋อ ดูท่าแล้วคงมีคนเข้ามายุ่มยามกับขวดยาสีดำ
ท่านอาจารย์พูดไว้ไม่มีผิด ต่อให้ฉลาดเพียงใดก็เสียรู้ได้
เว่ยกงกงเห็นกู้เจียวยกยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหนังหัวถึงได้ชาวาบไปหมด “แม่นางกู้ยิ้มอะไรหรือ”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีอะไรหรอก ก็ดีนี่ ฝ่าบาทไม่เป็นไร ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย”
เว่ยกงกงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไม่ต้องกังวลจริงๆ หรือ”
กู้เจียวโบกมือปัด “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก ฝ่าบาทสบายดียิ่งนัก ไม่มีเรื่องอะไร ข้าขอตัวไปหาท่านย่าก่อน!”
“เอ่อ ข้าไปส่งแม่นางเอง” เว่ยกงกงส่งนางออกจากตำหนักฮว๋าชิง
กู้เจียวไปยังตำหนักเหรินโซ่ว จวงไทเฮาเพิ่งจะประชุมเช้าเสร็จ นั่งอ่านฎีกาอยู่ในห้องหนังสือ
ฎีกาของนางต่างจากของฮ่องเต้ นางอ่านฎีกาของทั้งหกกรมเป็นด่านแรก หากนางเห็นชอบแล้วเหล่าขุนนางถึงจะนำกราบทูลฮ่องเต้ เพราะอย่างนั้นฎีกาที่ฮ่องเต้อ่านในแต่ละวันล้วนแต่เป็นฎีกามือสอง…
หยามเกียรติฮ่องเต้นัก
กู้เจียวไม่ได้เข้าไปรบกวน นางไปยังตำหนักปีกข้างเพื่อหาฉินกงกงแทน
ฉินกงกงกำลังพาตะพาบน้อยออกมาผิงแดดบนสนามหญ้า พอเห็นกู้เจียวเดินเข้ามา สิ่งแรกที่ทำคือเอาตัวบังตะพาบน้อยของตัวเองไว้
กู้เจียว “…”
“อะแฮ่ม!” เขาคงรู้ตัวว่าท่าทีของตัวเองนั้นดูจะเกินเหตุมากไป ฉินกงกงกระแอมเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะปล่อยตะพาบน้อยลงในบ่ออย่างเบามือ พลางเอ่ยกับกู้เจียว “แม่นางกู้มาแล้วหรือ แดดแรกนักไปนั่งที่ศาลาก่อนดีหรือไม่”
ยอมรับแต่โดยดีว่าเขากังวลว่ากู้เจียวจะแตะต้องตะพาบน้อยของเขาอีก
แม้แม่นางกู้จะไม่ตั้งใจก็เถอะ แต่เจ้าตะพาบน้อยนั้นเสียขวัญไปแล้ว เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“เช่นนั้นก็ได้” กู้เจียวไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองไปยังศาลา ฉินกงกงยกน้ำชาและของว่างมาด้วย
กู้เจียวเอ่ย “ฉินกงกง ตอนนั้นไทเฮากับฮ่องเต้ระหองระแหงกันตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสิ้น จนกระทั้งพระองค์สวรรคต ฮ่องเต้ก็ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนไทเฮาก็ไม่ยอมสละอำนาจ ทั้งสองจึงแตกหักกันโดยสิ้นเชิงใช่หรือไม่”
เว่ยกงกงพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ เป็นเช่นนั้น”
ดูท่าทางแล้ว ฝ่าบาทคงโดนวางยามาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์แล้ว เพียงแต่ยานั้นไม่ได้ออกฤทธิ์ทันทีทันใด ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ จนกระทั่งท่านย่านั่งว่าราชการหลังม่านถึงได้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของฝ่าบาทสะบั้นลง ทั้งสองถึงได้ไม่เผาผีกันเช่นนี้
หากเป็นเช่นนั้น ความเกลียดชังของฝ่าบาทที่มีต่อจิ้งไท่เฟยก็ต้องค่อยๆ ฝังลึกเพราะ ‘ความเข้าใจผิด’ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เฮ้อ นึกว่าจะบอกให้ฝ่าบาทเรียกตัวองครักษ์หลงอิ่งกลับคืนมาได้ทันทีเสียอีก” กู้เจียวเอ่ยพึมพำ
“แม่นางกู้ว่าอย่างไรนะขอรับ” ฉิงกงกงได้ยินไม่ชัดนัก
“อ๋อ เปล่าหรอก” ไม่ต้องรีบร้อน รังแกท่านย่ามานานขนาดนี้ โชคดีที่นางจับจุดอ่อนนางได้เร็ว กู้เจียวเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพูดว่า…ท่านย่าเคยสงสัยว่ามีคนวางยาฝ่าบาทหรือไม่” กู้เจียวถาม
เว่ยกงกงทอดถอนใด “เอ่อ ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนป่วยหนัก เกิดเรื่องโกลาหลวุ่นวายระหว่างตระกูลหลิ่วกับราชสำนัก ผู้ใดจะไปมีเวลาคิดถึงเลื่องนั้นเล่าขอรับ ทุกคนต่างคิดว่าทั้งสองคนทะเลาะกันเพราะเรื่องอาการประชวรของฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
กู้เจียวชะงักไป “อาการประชวรมีอะไรให้ทะเลาะกันหรือ”
เว่ยกงกงเอ่ย “ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนปวดศีรษะ หมอหลวงและหมอทั้งแคว้นเจาต่างหมดหนทางรักษา ราชสำนักจึงเชิญหมอคนหนึ่งจากแคว้นเยียนมา หมอผู้นั้นบอกว่า หากจะรักษาโรคนี้ต้องเปิดกะโหลก”
กู้เจียวลูบคาง “ท่านย่าเห็นด้วยว่าให้เปิดกะโหลก ส่วนฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ”
ด้วยนิสัยของท่านย่า นางย่อมกล้าที่จะทดลอง ในทางกลับกันฮ่องเต้ค่อนข้างหัวเก่า
แต่ใครจะคาดคิดกันว่าฉินกงกงจะส่ายหน้า “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ แม่นางกู้เดาผิดแล้ว เป็นฝ่าบาทที่สนับสนุนให้เปิดกะโหลก แต่ไทเฮานั้นคัดค้าน”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ” กู้เจียวตกใจไม่น้อย
ฉินกงกงพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ความจริงก่อนหน้านั้น ทั้งสองก็ผิดใจกันอยู่หลายหน เพียงแต่ไม่ให้คนนอกรู้ ที่ทะเลาะกันครั้งแรกเพราะเรื่องใดนั้น ข้าน้อยเองก็จำไม่ได้แล้ว ไทเฮาเองก็จำไม่ได้ เพราะว่าผ่านมานานแล้ว เอาเป็นว่าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองคนนั้นแตกหักกันด้วยเหตุว่าจะเปิดกะโหลกฮ่องเต้หรือไม่”
“แล้วสุดท้ายเปิดหรือไม่” กู้เจียวอย่างรู้เรื่องนี้มากกว่า
ฉินกงกงส่ายหน้า “ไม่ขอรับ ทั้งสองคนยังถกเถียงกันไม่ได้ผล ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน”
กู้เจียวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น…ไทเฮากับจิ้งไท่เฟยแตกหักกันตั้งแต่เมื่อใด”
ฉินกงกงเอ่ย “ก่อนฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ได้ไม่กี่วัน ไทเฮากับจิ้งไท่เฟยก็ทะเลาะกันยกใหญ่ ไทเฮาตบหน้าจิ้งไท่เฟยด้วย ตอนนั้นข้าน้อยรออยู่ข้างนอก ได้ยินไม่ชัดนักว่าทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร”
ตามนิสัยของท่านย่า ขอแค่มีความหวังเพียงริบหรี่ นางก็ยอมรับความเสี่ยงอย่างห้าวหาญ นางเป็นสตรีที่ใจเด็ดเสียยิ่งกว่าบุรุษ คนสองคนไม่เห็นด้วยก็ช่างเถอะ ทว่าแม้แต่ฮ่องเต้เองก็สนับสนุน เหตุใดท่านย่าถึงได้ดึงดันเช่นนั้น
หรือว่าหมอจากแคว้นเยียนนั่นเชื่อใจไม่ได้
หรือว่าหากจะคาดเดาอย่างสามหาว หมอผู้นั้นอาจเป็นคนที่จิ้งไท่เฟยจ้างวานมาเพื่อทำร้ายฮ่องเต้พระองค์ก่อน
เพียงแต่แผนร้ายของจิ้งไท่เฟยถูกท่านย่าล่วงรู้เข้า เพราะอย่างนั้นท่านย่าถึงได้คัดค้านการเปิดกะโหลก แต่เพราะฮ่องเต้นั้นถูกวางยา ไม่ว่าจิ้งไท่เฟยจะพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น และตั้งแง่กับท่านย่าไปเสียหมดทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นจึงสนับสนุนการเปิดกะโหลก
เช่นนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์เพราะป่วยอย่างนั้นหรือ
ราชโองการที่เขารับสั่งไว้ก่อนจะสิ้นลมไปเขียนว่าอะไรกันแน่
จวงไทเฮาที่อ่านฎีกาเสร็จแล้วก็เดินออกมา กู้เจียวเห็นนางสวมชุดเต็มยศ ท่าทางเหมือนกำลังจะออกไปไหน ถึงเอ่ยถามออกมา “เอ๊ะ ท่านย่าจะออกไปข้างนอกหรือ”
จวงไทเฮากลอกตามองบน “ก็ต้องเล่นละครตบตากับฮ่องเต้หน้าโง่ของเจ้าไม่ใช่หรือ”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ” กู้เจียมุมปากยกยิ้ม “ช่วงที่ผ่านมาท่านย่าลำบากนัก หลักจากนี้ท่านย่าไม่ต้องฝืนตัวเองเล่นละครตบตากับฮ่องเต้แล้วเจ้าค่ะ”
หากเป็นคนอื่นคงเอ่ยถามว่าเพราะเหตุใด แต่จวงไทเฮากลับไม่ถามสักคำทั้งยังเอ่ยต่อ “เช่นนั้นยังได้ผลไม้เชื่อมอยู่หรือไม่”
กู้เจียวผายมือยักไหล่ “ไม่ได้แสดงละครแล้ว ก็ย่อมไม่ได้ผลไม้เชื่อมแล้ว”
สีหน้าของจวงไทเฮาพลันถมึงทึง
แสดงสิ!
นางอยากแสดง!
แสดงให้ได้ผลไม้เชื่อมห้าลูก!
หลังจากนั้นไทเฮาก็ยกชายชุดหงส์ขึ้น ก่อนจะจ้ำไปยังตำหนักฮว๋าชิง
หรือว่านางหนูเห็นว่านางแสดงไม่ดีพอ!
หึ ไม่เห็นจะเป็นอะไร นางจะยอมตั้งใจกว่านี้อีกสักนิดก็ได้
วันนี้มีฎีกาค่อนข้างเยอะ
เมื่อคืนว่านไทเฮาเรียกเขามีถกเถียงเรื่องราชการแผ่นดิน ข่าวคราวที่ไท่จื่อเฟยสามารถแก้หมากด่านคุนได้ถูกส่งถึงแคว้นทั้งห้าแล้ว หนึ่งในนั้นมีแคว้นเหลียง แควันจ้าว และแคว้นเฉินที่มีสาส์นตอบกลับมาแล้ว ทุกแคว้นต่างชื่นชมจิ้งไท่เฟยและยินดีกับแคว้นเจา นอกจากนั้นทั้งสามแคว้นยังส่งเทียบเชิญให้ไท่จื่อเฟยไปเยือนด้วย
เดิมทีจวงไทเฮาตั้งใจว่าจะรอให้ทั้งสองอารมณ์ดีขึ้นสักหน่อย ป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวุ่นวาย
ทว่าวันนี้เขากลับไม่เข้าประชุม
กลายเป็นว่าการประชุมราชสำนัก ณ ตำหนักจินหลวนในเช้านี้ก็ทะเลาะกันวุ่นวายจริงๆ
คนสนับสนุนแคว้นเหลียง เห็นว่าแคว้นเหลียงนั้นมีอิทธิพลเหนือกว่า การเชื่อมสัมพันธ์ย่อมเป็นคุณกับแคว้นเจามากกว่าโทษ
ส่วนคนที่สนับสนุนให้ไปแคว้นจ้าวนั้น เพราะเห็นว่าเมืองผู่บ้านเกิดของปรมาจารย์เมิ่งนั้นอยู่ที่แคว้นจ้าว และเมืองผู่ก็ขึ้นชื่อเรื่องนั้น
ส่วนคนที่สนับสนุนให้ไปแคว้นเฉิน เพราะเห็นว่าแคว้นเฉินกำลังจะราชาภิเษกฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ไท่จื่อเฟยเองกับเหล่าขุนนางก็ย่อมต้องไปงานเลี้ยงร่วมฉลอง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ฮ่องเต้กำลังปวดหัว ข้าหลวงรายงานว่าไทเฮาเสด็จ
ฮ่องเต้ไม่คิดอะไรมาก คิดว่ามาปรึกษาเรื่องนี้ เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่สุดท้ายกลับได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้น “หงเอ๋อร์”
ฮ่องเต้ตื่นตกใจ ถ้วยชาในมือก็ปลิวออกไปทันที