บทที่ 488 ถูกหมายหัวจากสองกลุ่ม
บทที่ 488 ถูกหมายหัวจากสองกลุ่ม
ซูอันหัวเราะอย่างเขินอาย เขาเกาหัวและพูดว่า “แหะ ๆ ข้าแค่พูดไม่ครบน่ะ…เฉพาะเครื่องเป่าของเจ้า ข้ารู้วิธีเล่นเพลงเพียงเพลงเดียวเท่านั้น ส่วนเครื่องเล่นอื่นข้ายังเล่นเพลงอื่นได้บ้าง”
เซี่ยซิวถอนหายใจด้วยความชื่นชม “เจ้านี่ช่างถ่อมตัวจริง ๆ!”
ซูอันคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล ถ้าชายหนุ่มลอกงานของคนอื่นแล้วจะเป็นไรล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกนี้จะรู้นี่นา
เดี๋ยวก่อน …ข้าคิดอะไร! ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้แนะนำโลกนี้ให้รู้จักวัฒนธรรมและผลงานเพลงจากโลกที่แล้วของข้าต่างหาก! ทำไมข้าต้องรู้สึกผิดด้วย?
ซางหลิวอวี้ฮัมเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’
“อาซู ข้าชอบเพลงนี้มาก มันให้ความรู้สึกอิสระและไม่ถูกจำกัด และข้าก็รู้สึกอิ่มเอมใจเมื่อได้ฟังมัน มันฟังดูคล้ายเพลงปลุกใจยามสงครามของพวกเผ่าอสูร…ไม่สิ มันค่อนข้างคล้ายกับ B…B… มากกว่า…B อะไรสักอย่างที่เจ้าเคยเล่นน่ะมันเรียกว่าอะไรนะ ข้าลืม?”
นางเป็นอาจารย์สอนภาษาต่างเผ่า ดังนั้นนางจึงมีประสบการณ์มากในด้านนี้ และนี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของนาง เมื่อนางเปรียบเทียบเพลงของซูอันกับเพลงปลุกใจยามสงครามของเผ่าอสูร
“บีจีเอ็ม มันหมายถึงเพลงประกอบ” ซูอันอธิบาย
“BGM…” ซางหลิวอวี้ พึมพำกับตัวเอง นางเชี่ยวชาญในหลายภาษา แต่นางไม่รู้ว่าภาษานี้เป็นของชนชาติใด
หลังจากครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง นางก็เลิกนึกถึง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชนะใจคณิกาที่โด่งดังที่สุดของหอสุขนิรันดร์โดยใช้เพลงนี้จริงเหรอ?”
ซูอันโบกมือ “เป็นเพียงข่าวลือที่เกินจริง เจ้าอย่าไปเชื่ออะไรมาก”
“แล้วมันไม่จริงเหรอ?” ซางหลิวอวี้สงสัย เซี่ยซิวก็ดูสับสน
“มันเป็นเพราะเพลงนี้นี่แหละที่ทำให้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากแม่นางชิว!” เซี่ยซิวตะโกนแทรก
“ไร้สาระ ไม่ใช่เพลงนี้ที่ชนะใจนาง แต่เป็นเพราะเสน่ห์และพรสวรรค์ที่เหนือล้ำของข้าต่างหาก!” ซูอันตอบด้วยท่าทีจริงจัง
ทุกคนในกลุ่มของพวกเขา เซี่ยซิว ซางหลิวอวี้ และแม้แต่คนที่ติดตามพวกเขาต่างก็ตกตะลึง
ในโลกนี้มีคนที่ไร้ยางอายระดับนี้ได้ยังไง?
ซางหลิวอวี้เป็นคนแรกที่ได้สติ “ทำไมเจ้าไม่ทำเพลงให้ข้าบ้าง? เพลงของเจ้าน่าสนใจทีเดียว”
เพลงของเขาแตกต่างจากเพลงของโลกนี้อย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกทางดนตรี เป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับแรงบันดาลใจเมื่อฟังเพลงเหล่านี้
“ย่อมได้!” ซูอันตกลงทันที
ความริษยาเข้าครอบงำเซี่ยซิว ข้าจะขอให้พี่สาวสอนข้าเกี่ยวกับดนตรีให้มากกว่านี้ ถ้าข้ารู้ว่ามันจะมีประโยชน์ขนาดนี้!
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงบ่อนโกยเงิน ซูอันถือตั๋วหนี้จากสำนักดอกบ๊วยไว้ในมือ
สำนักดอกบ๊วยตกอยู่ในความวุ่นวายหลังจากการตายของเหมยเชาฟง และแม้แต่ดอกบ๊วยเจ็ดซึ่งดูแลบ่อนโกยเงินก็ถูกซือคุนที่โกรธจัดฆ่า ซึ่งทำให้เรื่องวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
ซูอันถือเป็นตัวแทนของตระกูลฉู่นอกจากนี้ เขามีคนของสถาบันจันทร์กระจ่าง และแม้แต่ลูกชายของเจ้าเมืองมากับเขา ทั้งหมดรวมกันเป็นตัวแทนของพลังอันยิ่งใหญ่สามเสาหลักของเมืองจันทร์กระจ่าง จะมีใครในบ่อนโกยเงินกล้าที่จะต่อต้าน?
หรือต่อให้มีการคัดค้านไม่ยินยอม ทั้งซูอันหรือซางหลิวอวี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยเพื่อจัดการกับอีกฝ่าย กลุ่มผู้บ่มเพาะที่สถาบันจันทร์กระจ่างส่งมาจะคอยดูแลจัดการทั้งหมด
เซี่ยซิวไม่รู้ว่าซูอันทำข้อตกลงอะไรกับสถาบันจันทร์กระจ่าง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ ทำไมสถาบันจันทร์กระจ่างถึงยอมช่วยซูอันมากขนาดนี้? ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนใครจริง ๆ หลายคนเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่กลุ่มคนที่สนับสนุนเขาก็ทุ่มสุดตัวจนน่าประหลาดใจ…
เหล่าผู้บ่มเพาะที่เจียงลั่วฝูส่งมาพร้อมกับพวกเขามีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ได้ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของบ่อนโกยเงินเสร็จเรียบร้อย และทุกคนที่เคยทำงานภายใต้สำนักดอกบ๊วยก็ถูกไล่ออก และผนึกประตูเอาไว้
ในอนาคต ทางสถาบันจะส่งบุคลากรมารับสมัครพนักงานใหม่ ดำเนินการปรับปรุง และดำเนินงานที่จำเป็นอื่น ๆ
ด้วยอิทธิพลที่แข็งแกร่งของสถาบันจันทร์กระจ่าง การถือสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วยของซูอันจึงมั่นคงอย่างมาก เซี่ยซิวคิดว่าจะผูกมิตรกับทุกฝ่ายไว้ก่อนเป็นการดี ดังนั้นจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ของหยาเหมินมาช่วย
สิ่งนี้ทำให้เรื่องต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น งานที่พวกเขาวางแผนไว้แต่แรกว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลาหลายวันได้เสร็จสิ้นลงภายในวันเดียว
“อาซู เสร็จจากวันนี้เจ้าควรพาข้าออกไปหาอะไรดี ๆ หน่อยนะ ข้าเหนื่อยมาก หลังของข้าปวดไปหมดแล้ว!”
ระหว่างทาง เซี่ยซิวบ่นออดแอดเพราะความเหนื่อย ต้องรู้ว่าหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้เป็นคนขี้เกียจ จนแม้แต่ธุระของตระกูลตัวเองยังไม่ไปทำ ดังนั้นการที่เขามาช่วยซูอันแบบนี้ มันจึงทำให้เขารู้สึกระอาใจเล็กน้อย
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาอดทนอยู่มาจนถึงงานจบคือซางหลิวอวี้ นางสวยเกินไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับนางเลย ดังนั้นการได้ใกล้ชิดกับหญิงงามเช่นนี้จึงเป็นความเพลิดเพลินในรูปแบบหนึ่ง
ซูอันหัวเราะ “ซิวเอ๋อร์ เจ้ากำลังทุกข์ทรมานจากอาการปวดหลังตามวัยแล้วเหรอ? เอ…หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกับไตของเจ้า? ให้ข้าเรียกหมอมาตรวจเจ้าสักหน่อยไหม?”
เซี่ยซิวรู้สึกไม่ค่อยขำเท่าไหร่
ทุกคนรอบตัวพากันหัวเราะคิกคัก แม้แต่ซางหลิวอวี้ก็ยิ้ม
เซี่ยซิวพูดไม่ออก บ้าเอ๊ย เจ้าตาบอดหรือไง!? ร่างกายของข้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมจะตาย ไม่อย่างนั้นข้าจะสามารถเล่นกับสาว ๆ ได้ยังไง?
ทำไมเราไม่แข่งกันสักหน่อยถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า?
แต่แล้วในทันทีที่เขามีความคิดนี้ ฉากที่เขาเห็นในมิติลับหยกจรัสก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา และความรู้สึกแย่ ๆ ก็ทับถมทั่วทั้งร่างของตัวเองทันที
เวรเอ๊ย! ช่างแม่ง! ข้าไม่แข่งกับเจ้าก็ได้
—
ท่านยั่วยุเซี่ยซิวสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 66…66…66…
—
ซูอันได้แต่หัวเราะ “ข้าแค่ล้อเล่นน่ะน้องเซี่ย แน่นอนว่าวันนี้ข้าจะเลี้ยงอาหารชั้นเลิศทุกคน!”
ทุกคนโห่ร้องยินดีทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยซิวก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังไปตรวจดูสถานที่สุดท้ายที่สำนักดอกบ๊วยถือครอง จู่ ๆ ก็มีคนโยนชายวัยกลางคนมาตรงหน้าพวกเขา “อาจารย์ซาง อาจารย์ซู ผู้ชายคนนี้พยายามที่จะวิ่งหนีพร้อมโฉนดและตั๋วเงินจำนวนมาก”
คนในกลุ่มของซูอันบางคนจำชายวัยกลางคนที่โดนโยนมาตรงหน้านี้ได้ทันที “ผู้ชายคนนี้คือดอกบ๊วยสี่จากสำนักดอกบ๊วยนี่นา?”
ซูอันนำโฉนดและตั๋วเงินมา เขาสูดดมกระดาษมีมูลค่ามหาศาลเหล่านี้ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไปในขณะที่เรากำลังจัดการส่วนที่เหลือของสำนักดอกบ๊วย ที่แท้พวกมันทั้งหมดก็อยู่กับเจ้านี่เอง!”
ความขมขื่นเต็มดวงตาของดอกบ๊วยสี่ “ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าลงนรก ซูอัน! เจ้าหัวเราะได้ไม่นานหรอก!”
กิจการของสำนักดอกบ๊วยราบรื่นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นดอกบ๊วยสี่ ชีวิตประจำวันของเขานั้นสะดวกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ วันหนึ่งซูอันก็เข้ามาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
เจ้าสำนักของพวกเขาถูกสังหาร สำนักดอกบ๊วยอันรุ่งโรจน์ได้พังทลาย และตัวเขาเองก็กลายเป็นคนเร่ร่อน เขาจะไม่เกลียดชังผู้ที่เป็นต้นเหตุความวินาศสันตะโรนี้ได้อย่างไร?
—
ท่านยั่วยุดอกบ๊วยสี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 999!
—
ซูอันถอนหายใจ “ขนาดเจ้าสำนักของเจ้ายังตาย นี่เจ้ายังคิดกล้าจะฝากแค้นข้าอีกเหรอ?
ซางหลิวอวี้ไม่ชอบภาพเหตุการเหล่านี้ นางขมวดคิ้วและเดินออกไป เซี่ยซิวติดตามนางไปอย่างกระตือรือร้น การพูดคุยกับพวกสำนักดอกบ๊วยทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังแปดเปื้อน เขาชอบอยู่กับอาจารย์ที่งดงามคนนี้มากกว่า
“ข้าได้ยินมาว่าเฉินเซวียนแห่งค่ายเมฆาทมิฬหมายหัวเจ้าไว้แล้ว!” ดอกบ๊วยสี่ถ่มน้ำลายอย่างโกรธจัด
ซูอันหัวเราะ “แล้วไง? ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
เขาคิดว่า เนื่องจากเฉินเซวียนและเหมยเชาฟงเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นการที่ทุกคนในสำนักดอกบ๊วยรู้เรื่องนี้จึงไม่แปลก
ดอกบ๊วยสี่เยาะเย้ย “แน่นอนว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ตาย เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าเจ้าในขณะที่เจ้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลฉู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของกลุ่มวาฬในไม่ช้า ไม่มีใครในเมืองจันทร์กระจ่างที่อยู่รอดได้นานหลังจากยั่วยุทั้งค่ายเมฆาทมิฬและกลุ่มวาฬ!”
“กลุ่มวาฬ?” ซูอันประหลาดใจ เขาพยายามอย่างหนักที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มนี้ให้มากขึ้น “ข้าทำให้กลุ่มวาฬขุ่นเคืองได้ยังไง?”
“ฮึ่ม! โฉนดและตั๋วเงินเหล่านี้มีเอาไว้มอบให้ผู้นำของกลุ่มวาฬ! ดังนั้นเมื่อเจ้าเอาของเหล่านี้ไป เจ้าก็จะทำให้เขาโกรธเป็นธรรมดา! สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรกับการขโมยสิ่งของของเขา!” แววตาแห่งความสุขแวบผ่านดวงตาของดอกบ๊วยสี่ เห็นได้ชัดว่าเขาสะใจมากเมื่อคิดว่าซูอันจะต้องตายอย่างอนาถ