ตอนที่ 465 รักษาสิทธิ์

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 465 รักษาสิทธิ์

หนิงตงเซิ่งมองทั้งคู่แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกชันทั้งกาย…รู้อยู่หรอกว่าพวกท่านรักกันดี แต่กำลังแสดงความหวานให้ใครดู ?

ขนาดว่าขึ้นรถม้าแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยังทำเสียงออดอ้อนเจียงโม่หานเหมือนเดิม “พี่โม่หาน ข้าเหนื่อยมากเลย แถมยังร้อนมากด้วย ข้าอยากกอด…”

เจียงโม่หานยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากของหลินเว่ยเว่ยเพื่อดันศีรษะของนางให้ออกห่างอีกหน่อย “พอได้แล้ว ไม่มีคนอื่นแล้ว เจ้าจะแสดงให้ใครดู ? ”

หลินเว่ยเว่ยนั่งหลังตรง ก่อนจะปรับเสียงเป็นปกติ “ฮึ แล้วใครกันที่ล่อลวงเหล่าภมรเข้ามาดอมดม ในเมื่อมายุ่มย่ามกับคนของข้า ข้าก็ต้องรักษาสิทธิ์ของตนไว้สิ”

“เจ้าหึงหวงข้าแม้กระทั่งกับบุรุษน่ะหรือ แถมยังมีหน้ามาตำหนิว่าข้าเป็นคนทำให้หึงหวงอีก ? ” เจียงโม่หานเหลือบมองนางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

หลินเว่ยเว่ยทำเสียงไม่พอใจพลางกล่าวว่า “เจ้ายังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเจ้าโอวหยางผู้นั้นอีกหรือ ? ไม่เห็นหรือไรว่าสายตาที่เขามองเจ้ามันผิดปกติ ? หากเขาไม่ใช่พวก ‘ต้วนซิ่ว1’ แล้วเหล่าเหนียง2คนนี้ก็ยินดีเอามือออกมากางให้สับเลย หากข้าคืนคำ ไม่ยอมให้สับมือ ก็อย่ามาเรียกหลินเว่ยเว่ย ! ”

ทันทีที่นางพูดจบ เจียงโม่หานก็เคาะหน้าผากนางทันที “มีคนอยู่ตั้งมากมาย ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเหล่าเหนียงอีกหรือ ? แล้วอีกอย่างคือเจ้าไปเอาคำว่า ‘ต้วนซิ่ว’ มาจากที่ใด ? ”

“ฮ่าฮ่า…ฮึฮึ…เฮอะ เฮอะ เฮอะ…” หลินเว่ยเว่ยพยายามแค่นเสียงหัวเราะออกมาเหมือนโจรโรคจิต

เจียงโม่หานส่ายหน้าพร้อมสายตาจนปัญญา “ต่อไปนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียนรู้คำเหล่านี้อีก เข้าใจหรือเปล่า ? ”

จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ทำสีหน้าน้อยใจออกมา “บัณฑิตน้อย เจ้าจะคิดว่า…คู่หมั้นอย่างข้าทำให้เจ้าขายหน้าหรือเปล่า ? ”

เจียงโม่หานขมวดคิ้วแล้วย้อนถาม “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนี้ ? ที่ข้าหมั้นหมายกับเจ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่บังคับเสียหน่อย และก็ไม่ใช่การถูกคลุมถุงชนด้วย ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้ามีนิสัยเช่นไร เป็นข้าขอเจ้าหมั้นหมายก่อนต่างหาก แล้วข้าจะรังเกียจเจ้า คิดว่าเจ้าทำให้ขายหน้าได้อย่างไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยกลอกตาพลางถามต่อ “เช่นนั้น…หากเจ้าสอบได้จิ้นซื่อแล้วถูกส่งตัวไปรับราชการยังแดนไกล ยามที่ข้าสนทนากับฮูหยินของขุนนางท่านอื่นแล้วเกิดทำให้พวกนางดูถูกเจ้าขึ้นมา เจ้าจะรับราชการต่อได้อย่างไร ? ”

“มีเพียงบุรุษที่ไร้ความสามารถเท่านั้นจึงทำให้ภรรยาของตนโดนผู้อื่นดูถูก ตราบใดที่ความสามารถของฝ่ายสามีเป็นเลิศ อนาคตยังสดใสและอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากพอ ภรรยาของเขาก็จะได้รับการประจบสอพลอจากผู้อื่น จะโดนดูถูกได้อย่างไร ? ” เจียงโม่หานลูบหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อข้าหรอก”

หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแหะแหะ นางจ้องไปยังใบหน้ารูปงามของเจียงโม่หาน ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะดูไร้อารมณ์ แต่ก็รูปงามเสียยิ่งกว่าเทพเซียน “เมื่อชาติที่แล้ว…ไม่สิ เมื่อชาติที่แล้วของชาติก่อน ข้าจะต้องเคยกอบกู้ทั้งจักรวาลเอาไว้แน่นอน ชาตินี้ถึงได้เจอคู่หมั้นที่ดีเช่นเจ้า…”

ไม่ถูก น่าจะเป็นเขามากกว่าที่ในชาติใดสักชาติหนึ่งเคยช่วยชีวิตราษฎรไว้มากมาย ถึงได้สามารถกลับชาติมาเกิดเพื่อไถ่บาปของตน พอระลึกถึงความเดียวดายและความทุกข์ระทมในชาติที่แล้ว…ความไร้อำนาจและความเจ็บปวดที่รู้จุดจบของตนอย่างแน่ชัดก็ดูเหมือนจะอยู่ไกลออกไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง…ไม่สิ ไม่ใช่ ‘ราวกับ’ แต่ยามนี้มันอยู่ไกลจากเขา เพราะต่างชาติภพกันแล้ว !

ในชาตินี้ เขาได้พบนางผู้ให้พลังและความหวังอันไร้ขอบเขตแก่ตน ทั้งยังช่วยลากเขาออกจากขุมนรกแห่งความเจ็บปวด เรื่องราวในชาติก่อนไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป สิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในชาตินี้ก็คือ…การได้ปกป้องคนที่อยากปกป้องและให้ที่พึ่งพิงอันมั่นคงแก่พวกนาง !

เจียงโม่หานลูบศีรษะของหลินเว่ยเว่ยพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่คลี่ยิ้มอบอุ่นออกมา “แค่นี้ก็ซาบซึ้งแล้วหรือ ? ในอนาคตยังมีเรื่องให้เจ้าต้องซาบซึ้งอีกมาก ! แล้วเจ้าจะค้นพบว่าข้าไม่เพียงเป็นคู่หมั้นดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นสามีและอีกครึ่งชีวิตที่ดีที่สุด…”

หลินเว่ยเว่ยออกแรงพยักหน้า “ไม่เพียงแค่นั้น เพราะยังมีข้าคอยเป็นผู้ช่วยแสนรอบรู้อยู่ทั้งคน เจ้าจะต้องกลายเป็นขุนนางผู้โด่งดังและน่ายกย่องที่สุดในแผ่นดินต้าเซี่ยอย่างแน่นอน ! ”

“ถึงแล้ว ! ” รถม้ามาจอดที่ด้านหน้าของบ้านหลังเล็กแห่งหนึ่ง

หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากรถม้า นางยังไม่ได้เข้าไปสำรวจตัวบ้านหลังนี้ซึ่งจะต้องใช้ชีวิตไปอีกครึ่งเดือน แต่นางยื่นมือเล็ก ๆ ไปยังเจียงโม่หานที่กำลังจะลงจากรถม้า

เจียงโม่หานมองมือขาวเนียนนุ่มที่ยื่นมาตรงเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร…สาวน้อย เจ้าสับสนอะไรหรือเปล่า ? คนที่ควรได้รับการดูแล ต้องเป็นสตรีเช่นเจ้าไม่ใช่หรือ ? เฮ้อ นางคงดูแลคนอื่นจนชินแล้วกระมัง…พอคิดแบบนี้แล้วก็ทำให้ข้ารู้สึกแย่เหมือนกัน !

เขาจึงถือวิสาสะยื่นมือไปคว้ามือเล็ก ๆ ของนางมากุมไว้…เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้ว นางไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องแบกรับทุกเรื่องไว้บนบ่า ในอนาคตเขาจะปกป้องนางจากลมพายุและคอยประคับประคองนางไว้…

ซัวถัวและเหลยหยู่ขนสัมภาระลงจากรถ จากนั้นก็นำรถม้าไปจอดที่ประตูหลังแล้วพาม้าไปพักผ่อนในคอก

ทุกคนเดินเข้ามาในลานบ้าน หนิงตงเซิ่งจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือความตำหนิตนเอง “เนื่องจากระยะนี้มีบัณฑิตจากสองเมืองมารวมตัวกันที่เหอโจว บ้านที่ดีกว่านี้จึงถูกพวกบัณฑิตฐานะดีเช่าไปหมดแล้ว บ้านที่ข้าหาเช่ามาได้จึงหลังเล็กไปหน่อย ขอให้หลินกู่เหนียงและบัณฑิตทุกท่านอย่าได้กล่าวโทษกันเลย…”

หลินเว่ยเว่ยมองสำรวจในตัวบ้าน แม้จะมีประตูทางเข้าทางเดียว แต่จำนวนห้องยังเพียงพอ ด้านในมีห้องหลักสามห้องและห้องปีกซ้ายปีกขวาอีกฝั่งละห้อง นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหนิงไม่ต้องโทษตัวเอง หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ เราก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่บ้านดีๆ แบบนี้หรอก ! ”

ไม่จริงหรอกหรือ ? เหล่าบัณฑิตที่ไม่มีคนรู้จักในเมืองเหอโจวล้วนต้องพักอาศัยในโรงนอนรวม แถมโรงนอนรวมแบบนั้นยังวุ่นวายและมีผู้คนมากหน้าหลายตา อาหารการกินก็ไม่ดี การพักผ่อนก็ไม่ได้ แบบนี้จะไม่ส่งผลต่อการสอบหรือไร ! พวกนางมีบ้านให้อยู่แยกจากคนเหล่านั้นแล้ว จะไม่พอใจได้อย่างไร ?

“หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว ! ” มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นกลางอากาศ

หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมองจึงได้พบนกแก้วสีสันสดใสบินลงมาจากท้องฟ้าแล้วเกาะที่บ่าของนาง นอกจากนี้มันยังใช้ร่างกายเล็ก ๆ คลอเคลียใบหน้าของนางอีกด้วย

“เจ้าขนแหว่ง เจ้ามาได้อย่างไร ? ” นางจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านก็ปิดประตูกรงของมันที่คิดจะตามมาแล้วไม่ใช่หรือ ?

นกแก้วห้าสีได้ยินแบบนั้นก็สยายปีกอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ ‘เจ้าขนแหว่ง’ แต่เป็น ‘หงส์แดง’ ! เป็น ‘หงส์แดง’ ! ” เจ้านกน้อยตะโกนพลางแสดงขนอันวิจิตรงดงามของมันให้ดู !

“เอาล่ะ หงส์แดง เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร ? ” แม้ปากจะพูดไปเช่นนั้น แต่ในใจของหลินเว่ยเว่ยกำลังคิดว่า ‘ต่อไปนี้ข้าคงต้องหางูเขียวมาเลี้ยงแล้วตั้งชื่อว่า ‘มังกรเขียว’ หาเต่าตัวน้อยสักตัวมาเลี้ยงแล้วตั้งชื่อว่า ‘เต่าทมิฬ’ จากนั้นค่อยหาแมวน้อยสีขาวมาเลี้ยงอีกตัวแล้วตั้งชื่อว่า ‘พยัคฆ์ขาว’ เช่นนี้ข้าก็จะรวบรวมสี่สัตว์เทพได้ครบแล้วใช่หรือไม่ ? ’

และในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงนกร้องดังมาจากบนท้องฟ้าอีกครั้ง…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าหงส์แดงอาศัยขึ้นหลังเจ้าอินทรีทองตัวนี้มา…แต่เดี๋ยวก่อน ! ผู้ใดบังอาจยิงธนูใส่ต้าจินของข้า ?

ปรากฏว่าเมื่อนางมองขึ้นไปที่อินทรีทองก็พบว่ามีลูกธนูพุ่งเฉียดเท้าของมันไปแบบฉิวเฉียด !

จากนั้นก็มีลูกธนูอีกดอกยิงขึ้นไปอีก ต้าจินขยับปีกบินหลบการโจมตีนี้ได้สำเร็จ มันส่งเสียงร้องอย่างภาคภูมิใจ ทว่าหลินเว่ยเว่ยกลัวมันจะโดนยิงตาย นางจึงรีบเรียกมันลงมา

ต้าจินได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยก็บินโฉบลงมาราวกับลูกกระสุนและลงเกาะบนแขนของหลินเว่ยเว่ยอย่างสง่างาม

[i]

1 ต้วนซิ่ว หมายถึง ตัดแขนเสื้อ มีความหมายแฝงว่า บุรุษที่นิยมชมชอบเพศเดียวกัน

2 เหล่าเหนียง คือ คำที่แม่ใช่เรียกแทนตัวเอง