ตอนที่ 494 สัญญารื้อถอน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 494 สัญญารื้อถอน

ประมาณบ่ายสองโมง เฉินเฟิงก็พาสหายน้องชายวัยฉกรรจ์สองสามคนไปหาหลินม่าย จุดนัดพบคือประตูหน้าร้านเปาห่าวซือ

เขานั่งควบอยู่บนมอเตอร์ไซค์ มองดูหลินม่ายเข็นจักรยานออกมาจากบ้าน

เขาบอกเธออย่างอดไม่ได้ “เอาจักรยานกลับไปเก็บเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอซ้อนมอเตอร์ไซค์เอง”

หลินม่ายส่ายหัวและปฏิเสธ “ฉันขี่จักรยานไปเองดีกว่า”

ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูร้อนเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาทั้งสองต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ พอนั่งมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เนื้อตัวจะสัมผัสกันบ้าง ซึ่งเธอกระดากอายเกินกว่าจะทำอย่างนั้น

ต่อให้พวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ในช่วงฤดูหนาวก็ตาม เธอคงไม่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเฉินเฟิงแน่ เพราะอาจจะดูใกล้ชิดกันเกินไป

เฉินเฟิงไม่มีทางเลือกนอกจากขอเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์ไปใช้จักรยานของสหายน้องชาย จากนั้นก็ปั่นไปที่หมู่บ้านซั่งเฉวียนเคียงข้างหลินม่าย

พอสหายน้องชายคนนั้นได้ขี่มอเตอร์ไซค์ของเขา ก็บิดคันเร่งพุ่งไปข้างหน้าจนมองไม่เห็นควัน ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือปั่นจักรยานตามเฉินเฟิงกับหลินม่ายมาไม่ไกลนัก

ขณะปั่นจักรยานด้วยความเร็วที่เสมอกับหลินม่าย เฉินเฟิงถามเธอว่าคดีลักลอบขายสินค้านำเข้าเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายบอกเฉินเฟิงด้วยประโยคเดียวกันกับที่เธอพูดกับโฮ่วซินอี้และคนอื่น ๆ “คดีนี้ก็เหมือนกับคดีขโมยสินค้าเมื่อครั้งก่อนนั่นแหละ อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว”

เฉินเฟิงเชื่อว่าเธอจะผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี

ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งขึ้นง่าย ๆ แบบนี้ พอผ่านการสืบสวนไปความจริงทั้งหมดก็กระจ่างแล้ว

หลินม่ายถือโอกาสบอกเขาซะเลยว่าตอนนี้กรมศุลกากรกำลังจะถูกปฏิรูประบบใหม่ ดังนั้นก่อนที่จะปฏิรูป เธอจึงตัดสินใจเหมาสินค้ามามากมายในคราวเดียว

สำหรับเขา เธอวางแผนว่าจะเอานาฬิกามาขายเหมือนเดิม ต่างฝ่ายต่างช่วยกันขาย โดยออกเงินทุนกันคนละครึ่ง

เฉินเฟิงพูดพลางครุ่นคิด “งั้นฉันจะจ่ายต้นทุนทั้งหมดเอง ช่วงนี้เธอยังต้องใช้เงินทำธุรกิจอีกมาก”

“ฉันยังพอบริหารได้อยู่” หลินม่ายปฏิเสธ

ยิ่งสนิทสนมกันแค่ไหนยิ่งต้องสะสางบัญชีกันให้ชัดเจน

เฉินเฟิงได้ยินคำปฏิเสธอย่างเด็ดขาดจากเธอ เขาก็ไม่บังคับหรือเซ้าซี้ต่อ

หลินม่ายเปลี่ยนเรื่อง ถามเฉินเฟิงว่าเขารู้หรือยังว่าใครเป็นคนแรกที่เสนอไอเดียซื้อไวน์มาดื่มฉลองในวันไหว้พระจันทร์

เฉินเฟิงพยักหน้า “เจอแล้ว”

หลินม่ายตื่นตัวขึ้นมาทันที “งั้นเหตุขโมยสินค้าก็มีความคืบหน้าขึ้นแล้วน่ะสิ?”

“ไม่เลย”

หลินม่ายมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจอตัวการแล้วแท้ ๆ ทำไมคดีถึงยังไม่มีความคืบหน้าอีก?”

เฉินเฟิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “คนแรกที่เสนอว่าจะดื่มไวน์ไม่มีอะไรน่าสงสัยน่ะสิ เขาก็แค่อยากดื่ม”

หลินม่ายตกตะลึง

หลังจากนั้นเธอก็บอกเขา “แต่ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่น่าสงสัย ฉันก็ยังสงสัยว่าอาจเป็นคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการดื่มฉลองอยู่ดี”

“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น?”

“สัญชาตญาณ” หลินม่ายตอบ

ความจริงแล้วก็ไม่ใช่สัญชาตญาณทั้งหมดหรอก

อย่าลืมว่าสาเหตุหลักที่มีส่วนช่วยให้คดีลักทรัพย์นี้เชื่อมโยงกันก็คือ เมาเหล้า เมาหลับ ฝนตกตกหนักทั้งคืน…

ยากที่เธอจะไม่ตั้งข้อสงสัยว่าพวกที่ดื่มไวน์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ถึงคนแรกที่เสนออยากดื่มไวน์จะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นพิสูจน์ไม่ได้เสียหน่อยว่าคนอื่น ๆ ที่คล้อยตามจะพลอยบริสุทธิ์ไปด้วย

กลุ่มคนที่สนับสนุนความคิดของคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้จุดประกายไฟเสียเอง จนทำให้สมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยโดนล่อลวงให้ซื้อไวน์หลังจากนั้น

หลินม่ายก็แค่แสดงข้อสันนิษฐานของตัวเอง

เฉินเฟิง “ฉันก็นึกถึงความเป็นไปได้แบบเดียวกับที่เธอคิดเหมือนกัน แต่คนที่สนับสนุนความคิดของเขาหลังจากนั้นมีจำนวนมาก ต่อให้มีสายสืบวงในก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเป็นใคร”

หลินม่ายถาม “แล้ว… นายได้เบาะแสอะไรจากไม้ผุพังพวกนั้นบ้างไหม?”

เฉินเฟิงส่ายหัว “ไม่ได้อะไรเลยเหมือนกัน”

หลินม่ายตกใจยิ่งกว่าเดิม “แก๊งโจรพวกนั้นทำงานรัดกุมขนาดนี้เลยเหรอ? ท่อนไม้มากมายเป็นกองพะเนินแบบนั้น เราสืบหาคนซื้อหรือคนขายไม่เจอเลยเชียวรึ ของแบบนั้นไม่ใช่กะหล่ำปลีนะที่จะซื้อขายกันง่าย ๆ อย่างน้อยต้องเหลือร่องรอยการทำธุรกรรมอะไรไว้สักอย่าง เบาะแสไม่มีทางหลุดรอดสายตาเราไปได้หรอก”

เฉินเฟิงตอบกลับ “ใครจะอุตริขายกองไม้เน่า ๆ แบบนั้นเป็นกิจจะลักษณะกันล่ะ เพราะงั้นไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่ทิ้งเบาะแสไว้”

หลินม่ายนิ่งงันไป

แม้แต่เบาะแสเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ใช้ไม่ได้ เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะตามหาแก๊งโจรแล้วเอาเหล็กกองโตกลับคืนมา

เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของหลินม่าย เฉินเฟิงจึงปลอบใจว่า “อย่าเพิ่งกังวลว่าจะตามหาเหล็กพวกนั้นกลับมาไม่ได้ ในเมื่อไม่มีหลักฐานทางธุรกรรมใด ๆ นั่นเท่ากับว่าไม้ผุพังพวกนั้นเป็นทรัพย์สินของแก๊งโจรเอง ตราบใดที่เธอรู้ว่าใครบ้างที่มีไม้ผุพังอยู่ในครอบครอง ก็จะสามารถล็อกเป้าหมายได้แล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า

ถึงคนทั่วไปจะเรียกซั่งเฉวียนว่า ‘หมู่บ้าน’ แต่ทุกครัวเรือนไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบหมู่บ้านเหมือนที่อื่น ๆ ผู้อยู่อาศัยที่นี่ล้วนเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองเท่านั้น

พูดให้ถูกก็คือ พวกเขาต่างก็เป็นชาวเจียงเฉิงแท้ ๆ จึงมีบ้านส่วนตัวเป็นของตัวเอง

เมื่อหลินม่ายไปถึงหมู่บ้านซั่งเฉวียนพร้อมกับเฉินเฟิงและสหายน้องชายทั้งหลาย ชาวบ้านหลายคนก็จำพวกเขาได้ในทันที

หลินม่ายเป็นคนสวย แถมยังแต่งตัวดูดี ภาพลักษณ์ของเธอเป็นที่น่าจดจำมาก ใครก็ตามที่ได้พบเธอต่างก็ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น

หญิงชราที่ฟันหน้าหายทั้งแถบเดินเข้ามาถามว่า “คุณผู้หญิง ที่มาคราวนี้ คงมีแผนจะย้ายที่อยู่ของพวกเราแล้วใช่ไหม?”

คนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายไม่มีความรู้ว่าการรื้อถอนนั้นเป็นอย่างไร พวกเขารู้แค่ว่าหลินม่ายจะพาพวกเขาย้ายจากบ้านหลังเก่าไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่เท่านั้น

หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อเซ็นสัญญากับพวกคุณ”

ไม่ใช่แค่หญิงชราเท่านั้น แม้แต่ชาวบ้านไม่กี่คนที่ยืนรายล้อมอยู่รอบ ๆ หญิงชราต่างก็ตื่นเต้น

พอไม่เห็นหลินม่ายมาที่นี่สองสามวัน พวกเขาก็เริ่มคิดว่าความหวังที่จะย้ายไปสู่บ้านหลังใหม่ริบหรี่เสียแล้ว

ข้อเสนอที่ดีแบบนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับพายที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ไม่แปลกที่ผู้คนจะไม่เชื่อถือ

ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าหลินม่ายยังดูเด็กเกินกว่าจะทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น ผู้อยู่อาศัยเหล่านี้จึงยิ่งตั้งข้อกังขากับเรื่องนี้มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อได้ยินหลินม่ายบอกว่าจะทำการเซ็นสัญญากับพวกเขา ทำไมพวกเขาจะไม่รู้สึกดีใจจนลิงโลดกันล่ะ!

ทุกคนรีบถาม “เราต้องเซ็นสัญญายังไงบ้าง?”

หลินม่ายมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลและพูดว่า “รบกวนคุณยายและคุณป้าช่วยไปเรียกทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นหน่อยนะคะ ฉันจะได้บอกวิธีการเซ็นสัญญาทีเดียว”

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านทั้งหมดก็มารวมตัวกัน บางคนชราภาพจนไม่สามารถเดินเหินด้วยตัวเองได้ ต้องอาศัยสมาชิกในครอบครัวคอยช่วยพยุง หรือไม่ก็ใช้ไม้ค้ำยันในการเดิน

หลินม่ายหยิบสัญญาการรื้อถอนที่เตรียมไว้นานแล้วขึ้นมาแสดงให้ผู้อาศัยทั้งหมดดู

ถึงผู้อาศัยส่วนใหญ่จะไม่รู้หนังสือ แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่อ่านออกเขียนได้

ผู้อาศัยที่เรียนจบในระดับชั้นมัธยมต้นเป็นคนช่วยถ่ายทอดเนื้อหาในเอกสารสัญญาให้กับผู้อาศัยคนอื่น ๆ

สัญญาระบุไว้ว่า นอกจากทุกคนจะถูกย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่แล้ว พวกเขายังจะได้รับค่าชดเชยทางการเงินอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการย้ายข้าวของเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่

เมื่อบรรดาลูกบ้านได้ยินว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับดูเข้าท่ามาก จึงรีบเซ็นสัญญาโดยเร็ว

หลินม่ายไม่แทรกแซงการตัดสินใจของพวกเขา

ถือโอกาสพาเฉินเฟิงและสหายน้องชายไปสำรวจสถานที่จริงทีละคน

ขนาดของบ้านและขนาดของเพิงเล็ก ๆ ที่ใช้เก็บของจิปาถะจะถูกบันทึกไว้ในสัญญาเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าบ้านต้องมาลงนามเพื่อเป็นการยืนยันด้วย

ไม่ว่าบ้านจะหลังใหญ่แค่ไหน เธอก็จะจ่ายค่าธรรมเนียมในการขนย้ายให้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้

ถึงอย่างนั้นบ้านของแต่ละครัวเรือนก็มีความแตกต่างกันออกไป เจ้าหน้าที่ผู้รื้อถอนจึงจำเป็นต้องสื่อสารกับครอบครัวที่จะย้ายออกโดยทันทีเพื่อกำหนดวงเงินค่าชดเชยให้เรียบร้อย อย่างสุดท้ายคือเจ้าบ้านต้องลงนามในสัญญาเพื่อยืนยันข้อมูลทั้งหมด และจะชำระเงินให้ในวันที่ย้ายออก

ค่าธรรมเนียมการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นสิ่งที่พอจะต่อรองได้เพราะต้องคำนวณตามพื้นที่ของบ้าน ดังนั้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับพื้นที่อยู่อาศัยเดิมเป็นหลัก

เฉพาะช่วงบ่ายวันนี้ หลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็ได้เซ็นสัญญารื้อถอนกับผู้อาศัยไปจนเกือบครบทุกหลังแล้ว

ส่วนบางครัวเรือนที่ยังไม่ได้ลงนาม เป็นเพราะเจ้าบ้านไม่อยู่ ลูกบ้านจึงไม่สามารถลงนามกันเองได้

หลินม่ายจึงขอให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาช่วยแจ้งให้เจ้าบ้านของตัวเองสละเวลาว่างไปลงนามในสัญญาที่ไซต์งานก่อสร้างสะพานต่างระดับแทน

ก่อนที่หลินม่ายและคนอื่น ๆ จะจากไป ผู้อาศัยหลายคนถามว่าพวกเขาจะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ได้เมื่อใด

หลินม่ายโยนคำถามนี้ไปให้เฉินเฟิงเป็นคนตอบ

เฉินเฟิงบอก “วันพรุ่งนี้ผมจะสั่งให้ทีมก่อสร้างดำเนินการสร้างบ้านของพวกคุณก่อน มั่นใจได้เลยว่าพวกคุณได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่ก่อนปีใหม่แน่นอน”

ตอนนี้ข้าสู่ช่วงกลางเดือนกันยายนแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงเทศกาลปีใหม่

ผู้อาศัยยินดีรอต่อไปอีกสักสองสามเดือนเพื่อย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่

ระหว่างทางกลับบ้าน สหายน้องชายคนหนึ่งของเฉินเฟิงโพล่งขึ้นอย่างมีชัย “ที่แท้การเจรจารื้อถอนก็ง่ายขนาดนี้ เป็นผม ผมก็ยอมย้ายนะ”

หลินม่ายฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไรออกมา

สาเหตุที่การรื้อถอนในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น นั่นก็เพราะการรื้อถอนยังเป็นสิ่งที่ใหม่มาก น้อยคนนักที่รู้

พอทุกคนเริ่มรู้เรื่องนี้กันเป็นวงกว้าง การเจรจารื้อถอนจะไม่ใช่ของหมู ๆ อีกต่อไป

สหายน้องชายคนนี้แค่รอวันถูกทำให้ขายหน้าเท่านั้น

หลังกินอาหารมื้อเย็นที่วิลล่า เมื่อหลินม่ายกลับถึงบ้าน ก็เห็นว่าสีหน้าของโจวฉายอวิ๋นดูไม่ค่อยมีความสุขนัก จึงถามด้วยความเป็นห่วง “พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”

โจวฉายอวิ๋นพูดพลางทำหน้าละเหี่ยใจ “วันนี้เป็นวันแรกของการขายซอสพริก แต่ยอดขายกลับไม่เป็นที่น่าพอใจเลย”

หลินม่ายรินน้ำให้หล่อนและตัวเองคนละแก้ว จากนั้นก็นั่งลงและถามว่า “ทำไมถึงไม่เป็นที่น่าพอใจล่ะ?”

“ซอสพริกทุกรสชาติขายไม่ออกเลยแม้แต่ขวดเดียว” โจวฉายอวิ๋นคิดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก

ก่อนหน้าที่ตลาดฝูตัวตัวจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นฝูตัวตัว มันเป็นแค่ตลาดสดธรรมดา ๆ

หลังจากหลินม่ายเข้ามาดูแลกิจการอย่างเต็มรูปแบบ ธุรกิจก็เป็นไปได้สวย ถึงแม้พื้นที่ของตลาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การหมุนเวียนของลูกค้ากลับขยายตัวมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะเรียกว่ามันเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ .

ทั้ง ๆ ที่เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ ซอสพริกปริมาณโหลละสามสิบจินกลับขายไม่ได้เลยสักโหล สงสัยเธอคงคาดหวังกับธุรกิจใหม่นี้มากเกินไป

ขนาดอาหารตุ๋นที่ตั้งแผงขายในนามของตลาดสดยังขายได้รวมสองถึงสามร้อยชั่งต่อวันเลย

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ไม่ได้รีบร้อน

ถึงชาวเมืองเจียงเฉิงจะชอบกินอาหารรสเผ็ดก็จริง แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับมณฑลเสฉวน ฉงชิ่ง หรือหูหนาน

หลายครอบครัวทำอาหารรสเผ็ดกินกันแค่ไม่กี่มื้อต่อสัปดาห์

ในบรรดารายชื่ออาหารที่มีชื่อเสียงของเจียงเฉิงอย่าง ปลาทรายแดงนึ่งซีอิ๊ว เนื้อแดดเดียวผัดกวางตุ้งแดง หวงปี้ซานเหอ(1)… ไม่มีเมนูไหนเลยที่มีรสเผ็ด

นี่แสดงให้เห็นว่าชาวเจียงเฉิงไม่ได้เสพติดอาหารรสเผ็ดถึงขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เปิดใจให้กับอาหารรสเผ็ดเสียเลย น้อยคนนักจะมีซอสพริกอยู่บนโต๊ะอาหาร ฉะนั้นเธอต้องทำให้มันกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ไม่ได้หมายความว่าซอสพริกของโจวฉายอวิ๋นไม่อร่อย

แค่ต้องรอเวลาสักหน่อย อีกไม่นานซอสพริกถึงจะกลายเป็นที่รู้จัก และยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

หลินม่ายมั่นใจในหลักการนี้มาก

เธอตบหลังโจวฉายอวิ๋นเบา ๆ พลางพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ ซอสพริกของเราจะขายดีในอีกไม่นาน”

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไป “ฉันจะเสิร์ฟซอสพริกบนโต๊ะอาหารของร้านเปาห่าวซือ ไว้ให้ลูกค้ากินคู่กับเสี่ยวหลงเปาและเกี๊ยวฟรี ถ้าหลายคนกินแล้วติดใจในรสชาติก็จะถามทางร้านว่ามีขายที่ไหน พอพนักงานเสิร์ฟตอบว่าซื้อมาจากตลาดฝูตัวตัว ซอสพริกก็จะขายดิบขายดีทันที”

โจวฉายอวิ๋นอดสงสัยไม่ได้ “วิธีนี้จะใช้ได้ผลจริง ๆ เหรอ?”

“ต้องได้ผลแน่” หลินม่ายตอบกลับด้วยความมั่นใจ

ว่ากันว่าผู้ที่ริเริ่มผลิตซอสพริกเหล่ามาม่าในชาติที่แล้วไม่ได้ทำซอสพริกออกมาขายตั้งแต่แต่แรก พวกเขาขายเหลียงเฝิ่น(2)กับบะหมี่เย็นก่อน ซอสพริกเป็นแค่เครื่องปรุงของอาหารทั้งสองชนิดนี้

ถ้าตั้งใจปลูกดอกไม้ส่วนใหญ่จะไม่เบ่งบาน แต่พอปลูกต้นหลิวโดยไม่ได้ตั้งใจมันจะขึ้นเรียงรายเป็นแถว

กลายเป็นว่าเหลียงเฝิ่นกับบะหมี่เย็นไม่เป็นที่รู้จัก แต่ซอสพริกกลับกลายเป็นที่นิยมเสียอย่างนั้น

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าของซอสพริกเหล่ามาม่าก็หันมาขายซอสพริกอย่างเต็มตัว

ไม่สำคัญว่าข่าวลือที่ว่าจะมีน้ำหนักแค่ไหน แต่เรื่องราวของเขาถือเป็นความก้าวหน้าทางการตลาดที่น่าประทับใจทีเดียว

เช่นเดียวกับเฉินเซิ่งและอู๋กว่างที่คิดก่อการปฏิวัติ แต่เพราะกลัวว่าคนอื่น ๆ จะไม่ยอมรับ ด้วยเหตุผลคือตัวตนของพวกเขาไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนเขียนคำว่า ‘อ๋องเฉินเซิ่ง’ ด้วยชาดลงบนเศษผ้าไหมสีขาว แล้วยัดเข้าไปในท้องปลา ให้ทุกคนที่เห็นเชื่อว่าเขาคือโอรสที่สวรรค์เลือก จากนั้นกลุ่มคนจึงยินดีติดตามเขากับอู๋กว่างเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติ

หลินม่ายก็วางแผนที่จะใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ เมื่อสมควรแก่เวลาเมื่อใด กระแสความนิยมของตลาดก็จะโถมกลับมาหาซอสพริกของเธอเอง

………………………………………………………………………………………………………………………

หวงปี้ซานเหอ อาหารรสเลิศซึ่งเป็นที่นิยมของหวงปี้ เขตชานเมืองในอู่ฮั่น มีส่วนประกอบคือ ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นเนื้อ และเนื้อบดก้อน รวมอยู่ในจานเดียว อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://baike.sogou.com/v732285.htm

เหลียงเฝิ่น หรือก๋วยเตี๋ยวเย็นเส้นใส เป็นอาหารจีนชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยว ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำส้ม น้ำมันพริก นิยมกินแบบเย็นในหน้าร้อน

สารจากผู้แปล

จับตัวไม่ได้ในตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอด เดี๋ยวอีกหน่อยความจริงก็ปรากฏเองแหละ

ทุกอย่างมีเวลาของมันจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ยังไม่ดังก็อาจจะมีสักวันที่ดัง

ไหหม่า(海馬)