บทที่ 504 จ้าวจิ่งซวนกับความซวยของเขา

จ้าวจิ่งซวนไม่ชอบสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเพราะเด็กที่เกเรดื้อรั้นเช่นเขาย่อมเข้ากันไม่ได้กับเด็กเรียนเก่งนิสัยดีอย่างสองคนนั่น

ทุกครั้งที่เขาผิด ท่านลุงจะยกเด็กสองคนนี้มาเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างให้เขาฟังเสียแทบทุกครั้งไป นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไร้ค่า

ท่านลุงชมเด็กสองคนนี้มาตลอด ไม่เคยชมเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สองคนนั่นจะมีอะไรดีกัน นอกจากเรียนเก่ง

ขี่ม้าได้ไหม? ยิงธนูได้หรือเปล่า? หรือเล่นกัดจิ้งหรีดล่ะ?

ทักษะในการขี่ม้าของเขาดีกว่าองค์ชายทุกคน แม้แต่การยิงธนูของเขาก็เช่นกัน ท่านแม่ทัพจิ้งหรีดของเขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับจิ้งหรีดตัวไหน ชนะทุกตัวมาตลอด

แน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับว่าตนเองอิจฉาเด็กสองคนนั่น ทั้งเสด็จแม่และท่านลุงที่เอาแต่กดดันเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาไม่ชอบเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเอามากๆ แต่เพื่อท่านแม่ทัพที่กล้าหาญของเขา เขาได้แต่อดทนต่อความความอัปยศอดสู

….

กั๋วจื่อเจี้ยน

ในชั้นเรียนแรกมีศิษย์สามสิบเอ็ดคน พวกเขาจะนั่งด้วยกันเป็นคู่ๆ แต่จ้าวจิ่งซวนเป็นคนที่หยิ่งยโส เขาเลือกที่จะนั่งโต๊ะเดี่ยวท้ายแถว ทุกคนรู้ว่าเขาคือองค์ชาย บางคนก็ยกยอเขา บางคนก็ดูแคลนเขา

จ้าวจิ่งซวนดูถูกคนที่ยกยอตนเอง หันหน้าหนีพวกที่ดูแคลนตน

ในสำนักศึกษาแห่งนี้เขาจึงค่อนข้างโดดเดี่ยว เขาไม่คบใครและไม่มีใครคบเขา

จ้าวจิ่งซวนวาดรูปท่านแม่ทัพไร้พ่ายของเขาบนกระดาษ นี่คือสิ่งเดียวที่จะกระตุ้นเขาให้ผูกมิตรกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งได้

จ้าวจิ่งซวนมองรูปของท่านแม่ทัพอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นเดินไปยังด้านหลังแถวของคนทั้งสอง

แต่เดิมมีคนนั่งอยู่ด้านหลังเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยอยู่แล้วอยู่แล้ว คนหนึ่งชื่อเกาเฉิงเยาเป็นคนเมืองหลวง อีกคนชื่อว่าเฉินเหวินหานมาจากชิงเหอ เขามองไปที่คนทั้งสอง

“ข้าอยากนั่งตรงนี้”

เฉินเหวินหานดูเป็นคนยอมคน แต่เขาไม่ขยับตัว เขามาจากมณฑลชิงเหอถือได้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง พวกเขาจึงสนิทกัน อีกทั้งเหวินหานยังชื่นชมคนทั้งสองเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าจ้าวจิ่งซวนและเด็กสองคนไม่ลงรอยกัน การที่จ้าวจิ่งซวนมานั่งตรงนี้ย่อมมีผลกระทบเป็นแน่

“ทำไมองค์ชายถึงจะมานั่งที่นี่ ? ที่ตรงนี้เต็มแล้ว ไม่อาจนั่งได้ถึงสามคน”

เฉินเหวินหานกล่าวขึ้นอย่างประหม่า ท่าทางขลาดกลัว

“ข้าลุกเอง ข้าจะไปนั่งข้างหลังให้” เกาเฉิงพูดขึ้น เขาย้ายของไปนั่งที่ด้านหลัง

“…”

เฉินเหวินหานมีสีหน้ากังวล เขามองจ้าวจิ่งซวน พออีกฝ่ายหันกลับมา เขาก็รีบหันเหสายตาไปอ่านตำราต่อทันที

จ้าวจิ่งซวนนั่งลงด้วยท่าทีวางอำนาจ เขาใช้หางตามองเห็นสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งที่เดินเคียงข้างมาด้วยกัน ทั้งคู่ถือตำราจนเต็มมือดูท่าทางนุ่มนวลและสง่างาม

เชอะ! ดูเหยาะแหยะออกจะตายไป!

จ้าวจิ่งซวนทำเสียงสบถในลำคอ

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยนั่งลงที่เก้าอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นจ้าวจิ่งซวน เขาเชิดปลายคางขึ้นรอให้คนทั้งสองมาทักทายเขา เพื่อเห็นแก่ท่านแม่ทัพจิ้งหรีดของเขา

เขาตัดสินใจว่าจะพยักหน้าตอบรับ หากรออยู่นานก็ไม่เห็นเป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ ทั้งสองคนไม่สนใจเขาเลย พวกเขานั่งลงอ่านตำราต่อ

“….”

“จื่ออั๋งเรามาถกเรื่องนี้กันเถอะ?” สวี่เจวี๋ยว่า

“ได้สิ” เว่ยจื่ออั๋งตอบรับ เฉิงเหวินหานยกมือขึ้น

“น้องสวี่น้องเว่ย ข้าขอถกกับพวกท่านด้วยได้หรือไม่?”

“เอาสิ” สวี่เจวี๋ยพยักหน้ารับ

สวี่เจวี๋ยเสนอหัวข้อและพวกเขาก็เริ่มถกเถียงกัน ในตอนแรกเฉิงเหวินหานสามารถถกกับพวกเขาได้ แต่หลังจากถกเถียงไปได้เพียงสองสามคำ เขาก็จนปัญญา จึงเหลือเพียงสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

ทั้งสองโต้กันอย่างฉะฉาน พวกเขาต่อสู้กันด้วยความรู้ เป็นที่น่าเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มทั้งสองโต้คารมกันอย่างเผ็ดร้อน ศิษย์หลายคนมารวมตัวกันอย่างไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกว่าตนได้รับประโยชน์จากการฟังการโต้วาทีในครั้งนี้มาก

จ้าวจิ่งซวนรู้สึกง่วงนอนทันทีที่ได้ยิน เขาไม่มีความคิดที่จะโต้แย้งประกอบกับไร้ทักษะในด้านนี้ ไม่นานเขาก็เริ่มสับผงก เข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงโต้แย้งเริ่มห่างไกลออกไป

“จ้าวจิ่งซวน!”

ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจนเขาสะดุ้งลุกขึ้นยืน

“มาขอรับ!”

ผู้ที่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาผู้นี้คืออาจารย์ของกั๋วจื่อเจี้ยน ท่านลุงของเขานั่นเอง ใบหน้าของเหลียงหยูบึ้งตึงน่าเกรงขาม

“เช็ดน้ำลายด้วย”

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจี๋ยหันมามองหน้ากัน พวกเขาเห็นว่ามันน่าขันหรือไง?

จ้าวจิ่งซวนหน้าแดงด้วยความอายเขารีบเช็ดปากอย่างรวดเร็ว

“นั่งลง” เหลียงหยูกล่าว

จ้าวจิ่งซวนนั่งลง เมื่อเหลียงหยูกำลังบรรยาย จ้าวจิ่งซวนไม่กล้าที่จะไม่ฟัง เขาตั้งใจฟังท่านลุงของตัวเอง และหลังจากที่เหลียงหยูบรรยายจบเขาก็ส่งแบบทดสอบคำถามไปให้ศิษย์ตอบ

คำถามสองสามข้อแรกมาจากคัมภีร์ที่เรียกว่า ‘เถี่ยจิง’ คือการยกประโยคของคัมภีร์ขงจื๊อออกมาโดยเว้นบางคำไว้แล้วเติมให้ประโยคให้สมบูรณ์ เมื่อมองเห็นคำถามแล้วจ้าวจิ่งซวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

สายตาของเขาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มทั้งสองคน ทั้งเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยนั่งตัวตรงมือจับพู่กันไว้ พวกเขาตั้งใจเขียนลงคำตอบลงกระดาษอย่างแข็งขัน

สายตาของจ้าวจิ่งซวนดีมาก เขาแอบชำเลืองมองไปที่กระดาษของเว่ยจื่ออั๋ง ในชั่วแค่พริบตาก็เห็นคำตอบบนกระดาษ

เขาดีใจมากรีบจดจำคำตอบ

ราวกับว่าสายตาของเขาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เว่ยจื่ออั๋งเลื่อนกระดาษคำตอบไปด้านหน้าจนเขามองไม่เห็นคำตอบบนกระดาษ

จ้าวจิ่งซวน “………..”

เขาจึงเปลี่ยนไปมองกระดาษของสวี่เจวี๋ยแทน จากที่เขานั่งอยู่เห็นคำตอบได้อย่างชัดเจน

จ้าวจิ่งซวนจึงรีบคัดลอกอย่างรวดเร็ว!

สวี่เจวี๋ยจงใจแสดงคำตอบของตัวเองให้กับจ้าวจิ่งซวนดู คนผู้นี้ดูอ่อนน้อมกว่าเว่ยจื่ออั๋งมาก ไม่เลวเลย…

แต่ในตอนนั้นเอง สวี่เจวี๋ยยกมือขึ้นดวงตาของเหลียงหยูมองเขา แม้ใบหน้าของอาจารย์จะเคร่งขรึมแต่แววตากลับอ่อนโยน

“สวี่เจวี๋ยมีอะไรหรือ?”

“ท่านอาจารย์ขอรับ จ้าวจิ่งซวนลอกคำตอบของศิษย์ขอรับ” สวี่เจวี๋ยกล่าว เหลียงหยูมองไปที่หลานชายตัวเอง แววตาที่อ่อนโยนแข็งกร้าวขึ้นมา

“ข้า… ข้าไม่ได้ลอก!” จ้าวจิ่งซวนรีบยืนขึ้นท้วง

“อาจารย์ขอรับศิษย์ตอบผิด ในประโยคนี้ ‘ความหมายคือคุณธรรมยังอยู่ดี’ คำว่าดีของข้าเขียนผิดไปจากตำรา หากพี่จ้าวเขียนผิดคำเดียวกับข้า จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือขอรับ?” สวี่เจวี๋ยถาม

จ้าวจิ่งซวนรีบดูในกระดาษของตัวเองทันที เขาเขียนว่า ‘ดี’ จริงๆ

สวี่เจวี๋ยตั้งใจ!

ไอ้คนเลวนี่จงใจเล่นงานเขา!

จ้าวจิ่งซวนแทบจะสำลักความโกรธตาย

“พี่จ้าว นักปราชญ์กล่าวเอาไว้ว่า ‘ทั้งวาจาต้องเที่ยงธรรม การกระทำต้องเที่ยงตรง’ ยังมีต่ออีกว่า ‘อย่ามุ่งมั่นจนลืมกิน อย่ามีความสุขจนลืมกังวล จนไม่รู้ว่าวัยชรากำลังจะมาเยือน’ หยุนเอ๋อร์เจ้าเข้าใจหรือไม่?” สวี่เจวี๋ยยกประโยคจากคัมภีร์ขึ้นมา

จ้าวจิ่งซวนตกตะลึงเขามองไปที่สวี่เจวี๋ยอย่างโง่เขลา

“ดูเหมือนว่าพี่จ้าวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด หากท่านอ่านตำรามากกว่านี้ท่านจะเข้าใจความหมาย” สวี่เจวี๋ยกล่าว

“….” เขาเยาะเย้ยว่าข้าโง่หรือ?

อ๊าก! ตอนนี้เขายิ่งโมโหมากขึ้น!

ทำไมคนผู้นี้ถึงฝีปากจัดจ้านนัก! เขาโต้แย้งกลับไม่ได้แม้แต่คำเดียว

“วาจาต้องเที่ยงธรรม การกระทำต้องเที่ยงตรง หมายถึง ต้องซื่อสัตย์ในคำพูดของตนและเที่ยงตรงในทุกการกระทำ ‘อย่ามุ่งมั่นจนลืมกิน อย่ามีความสุขจนลืมความกังวลจนไม่รู้ว่าวัยชรากำลังจะมาเยืยน’ หมายถึงการอ่านไขว่คว้าหาความรู้เสมอเป็นสิ่งที่ดีและทำให้มีความสุข” เว่ยจื่ออั๋งอธิบายอย่างจริงจัง

จ้าวจิ่งซวนเข้าใจแล้ว เมื่อเทียบกับคนที่เหลือ เว่ยจื่ออั๋งนิสัยดีกว่ามาก!

“แน่นอน ท่านคงไม่เข้าใจความสุขของการอ่าน ดังนั้นลองทำก่อนเถิด อย่ามาลอกกันง่ายๆ เช่นนี้” เว่ยจื่ออั๋งพูดอย่างจริงจัง

“…”

คราวนี้จ้าวจิ่งซวนโทสะแทบระเบิด!

การกระทำของจ้าวจิ่งซวนทำให้เหลียงหยูโกรธมาก เขาลงโทษหลานชายอย่างรุนแรง ถูกตีสามสิบครั้งคุกเข่าสองวันและคัดตำรา ศาสตร์กษัตริย์ และ สามลี่ของขงจื๊อ ห้าสิบจบ จ้าวจิ่งซวนแทบเป็นลมทันทีเมื่อได้ยินบทลงโทษ

ไม่เพียงแต่เขาจะถูกตีด้วยไม้บรรทัดเท่านั้นแต่ยังต้องคุกเข่ารวมถึงคัดตำราด้วย ฆ่าเขาให้ตายดีกว่า!

ในวังหลวง ทันทีที่พระสนมเหลียงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษา นางไม่ได้รู้สึกเสียใจกับพระโอรส แต่กลับยิ้มออกมา สมควรแล้ว! กล้าดีอย่างไรถึงได้มาลอกคำตอบผู้อื่นเช่นนี้

เจ้าลูกไม่รักดีสมควรได้รับโทษ!

สวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออั๋ง เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ