ตอนที่ 504 ให้เจ้าทำเจ้าก็ต้องทำให้ได้ ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 504 ให้เจ้าทำเจ้าก็ต้องทำให้ได้ ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้

พอได้ยินคำว่า ‘เซ่าผิงปอแห่งเป่ยโจว’ แว่วมา ตะเกียบในมือหวงทงก็แข็งทื่อไป เงี่ยหูฟังทันที ท่าทางมีสมาธิตั้งใจฟัง

อีกหลายคนที่นั่งอยู่มองหน้ากันเหลอหลา ล้วนหยุดความเคลื่อนไหวทันที กลั้นหายใจไม่กล้าทำให้เกิดเสียงใดๆ อยากจะฟังให้ชัดเจนเช่นกัน

“บีบคั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าคนนั้นมาจากหนานโจวมิใช่หรือ? ดูเหมือนเป่ยโจวกับหนานโจวจะอยู่ห่างกันมากกระมัง?”

“ข้าก็ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดเหมือนกัน แต่ตอนที่ทางสำนักช่วยส่งคนไปวิ่งเต้นถ่ายทอดข้อความของเขาต่อหกสำนักใหญ่ ตอนที่อาจารย์อากับอาจารย์ลุงคุยกันข้าอยู่ด้านข้าง ก็เลยได้ยินมาเล็กน้อย ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อันใดสักอย่าง คล้ายว่าเซ่าผิงปอจะส่งคนมาลอบสังหารทางหนิวโหย่วเต้านี้ แต่มือสังหารทำพลาดถูกหนิวโหย่วเต้าจัดการไปแล้ว อีกทั้งมิใช่แค่ส่งมือสังหารมาเท่านั้น แต่ยังสมคบกับสำนักหยกสวรรค์แห่งหนานโจว ต้องการร่วมมือกันสังหารหนิวโหย่วเต้า ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากสำนักหยกสวรรค์ก็ตามมาที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว ดูเหมือนเซ่าผิงปอคนนั้นยั่วโมโหหนิวโหย่วเต้าเข้าแล้ว หนิวโหย่วเต้าเหมือนต้องการจะตอบโต้กลับ”

“โต้กลับอย่างไร?”

“ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราอยู่แล้ว…”

จากนั้นบทสนนาในห้องข้างๆ ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

เหล่าศิษย์สำนักเขามหายานในห้องนี้ต่างมองไปที่หวงทง

หวงทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ให้ศิษย์สองคนออกไปจับตามอง

ในฐานะคนของมณฑลเป่ยโจว เพิ่งมาถึงก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมณฑลเป่ยโจวแล้ว ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบมาพากล กังวลว่าจะมีใครกำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่หรือไม่

จนกระทั่งแขกในห้องด้านข้างจากไป ทางนี้ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ขึ้นมาอีก…

นอกโรงเตี๊ยม ตรงหน้าต่างของอาคารฝั่งตรงข้าม เฉาเซิ่งไหวนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองประตูโรงเตี๊ยมผ่านรอยแยกหน้าต่าง

เมื่อเห็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ทั้งสี่ออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้ว เฉาเซิ่งไหวก็ลุกขึ้นยืนทันที แง้มหน้าต่างกว้างอีกเล็กน้อย จับตามองประตูโรงเตี๊ยมอย่างไม่ละสายตา

ไม่นานนัก ศิษย์สำนักเขามหายานคนหนึ่งก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม เห็นได้ชัดว่าสะกดรอยตามศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์สี่คนนั้นมา

เช่นนี้แปลว่าแผนการสัมฤทธิ์ผลแล้ว ทางฝั่งสำนักเขามหายานได้รับข่าวสารที่ทางนี้ต้องการจะถ่ายทอดให้แล้ว เฉาเซิ่งไหวโล่งอก ยื่นมือไปดึงหน้าต่างให้ปิดสนิทอย่างแผ่วเบา จากนั้นหันหลังจากไป

เมื่อลงมายังชั้นล่าง เขาผ่านออกไปทางประตูหลังร้านอย่างเงียบเชียบ

ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่ต่อ ภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว เป็นงานง่ายๆ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายใดเลย มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมรับปากหนิวโหย่วเต้าง่ายๆ…

ภายในห้องรับรองส่วนตัวที่ฝั่งสำนักเขามหายานกินอาหารอยู่ ทั้งสามคนที่อยู่ประจำโต๊ะไม่มีอารมณ์จะกินต่อแล้ว หวงทงเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่เงียบๆ

ไม่นานนัก ศิษย์คนหนึ่งกลับเข้ามา เดินเข้ามากระซิบรายงานว่า “อาจารย์ มองจากชุดที่สวมใส่แล้วเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขอรับ ลองเลียบเคียงสอบถามจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมดูเล็กน้อย เขาก็บอกว่าเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เช่นกันขอรับ เถ้าแก่รู้จักดี”

หวงทงเอ่ยเนิบๆ “อาจจะเป็นการจัดฉากของผู้อื่นก็ได้ สะกดรอยตามไปหรือยัง?”

ผู้เป็นศิษย์ตอบว่า “ศิษย์พี่ตามไปแล้วขอรับ”

หวงทงสั่งการ “เจ้าก็ตามไปด้วย หากเกิดเหตุใดขึ้นจะได้ตอบโต้รับมือได้ทันการณ์”

“ขอรับ!” ผู้เป็นศิษย์ตอบรับ ออกไปอย่างรวดเร็ว

หวงทงลุกขึ้นมา ไม่กินต่อแล้ว เขาออกจากห้องรับรองส่วนตัวกลับไปที่ห้องพักของตน เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องคิดทบทวน สีหน้าค่อนข้างหนักใจ

ช่วงนี้มีคนมากมายทยอยเดินทางมายังเมืองวั่นเซี่ยง มีจำนวนมากกว่าคนที่มาร่วมงานชุมนุมสัตว์วิเศษเสียอีก มังกรมัจฉาปะปนกันมั่วซั่วค่อนข้างวุ่นวาย เป้าหมายที่มาย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องที่แดนความฝันยังไม่ปิดตัวลง ตัวเขาหวงทงก็ได้รับคำสั่งจากสำนักเขามหายานให้มาเพราะเรื่องนี้เช่นกัน

ผู้ใดจะคิดว่าพอมาถึงที่นี่ ยังไม่ทันได้เริ่มดำเนินการเรื่องที่ได้รับมอบหมาย ก็บังเอิญได้รับรู้ข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่างเซ่าผิงปอและหนิวโหย่วเต้าเสียแล้ว

จริงหรือเท็จก็ยังไม่อาจทราบได้ หลังจากที่เขาได้ยิน ความคิดแรกของเขาคือคิดว่าจะใช่แผนร้ายอันใดหรือไม่ มิเช่นนั้นไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ได้?

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสืบหาความจริงก่อน ยืนยันว่าอีกฝ่ายใช้ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จริงหรือไม่ หากว่าใช่จริงๆ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ทำธุรกิจค้าขายกับทั่วสารทิศก็ไม่มีทางจะช่วยเหลือหนิวโหย่วเต้าจนเข้ามามีส่วนร่วมในข้อพิพาทเช่นนี้ ประกอบกับด้วยกำลังของหนิวโหย่วเต้าแล้ว ก็ไม่มีทางที่เขาจะบงการคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ให้มาทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากเป็นเช่นนั้นเรื่องราวก็ค่อนข้างน่าหนักใจแล้ว

วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณแห่งแคว้นเยี่ยน สำนักร้อยชลา วังเลิศหล้าและสำนักเทพนารีแห่งแคว้นหาน ตอนนี้เป่ยโจวถูกหนีบอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอิทธิพลของสองแคว้นพอดี แต่หนิวโหย่วเต้าก็ดันไปติดต่อกับขั้วอำนาจของทั้งสองแคว้น เขาคิดจะทำอะไรกัน?

ส่วนเรื่องพิพาทระหว่างเซ่าผิงปอกับหนิวโหย่วเต้า ตัวเขาในฐานะผู้อาวุโสของสำนักเขามหายานย่อมทราบเรื่องดี สำนักเขามหายานสั่งให้เซ่าผิงปอรามือแล้ว เซ่าผิงปอยังลอบลงมืออยู่อีกจริงๆ น่ะหรือ? ส่งคนมาลอบสังหาร ซ้ำยังสมคบกับสำนักหยกสวรรค์แห่งมณฑลหนานโจวด้วยอย่างนั้นหรือ?

หากว่าทำเช่นนี้จริง เท่ากับกำลังบีบคั้นหนิวโหย่วเต้าไปสู่หนทางแห่งความตาย หากหนิวโหย่วเต้าไม่ตอบโต้ก็แปลกแล้ว…

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ศิษย์ทั้งสองคนกลับมาด้วยกัน

หวงทงไม่รอให้ศิษย์ทั้งสองคารวะก่อน เอ่ยถามออกไปด้วยความร้อนใจ “ยืนยันแล้วหรือยัง ใช่ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือไม่?”

ศิษย์ทั้งสองยังคงประสานมือคำนับก่อนอยู่ดี ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยตอบว่า “ยืนยันแล้วขอรับอาจารย์ เป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ข้าเห็นพวกเขาผ่านประตูของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้าไปด้วยตาตัวเอง ทั้งยังทักทายศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักด้วยขอรับ”

หวงทงเอ่ยด้วยความเคลือบแคลง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนอื่นสวมรอยแอบอ้าง?”

ศิษย์อีกคนตอบว่า “อาจารย์ ท่านลองคิดดูสิขอรับ หน้าประตูสำนักมีศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์คอยเฝ้าอยู่ จะเป็นไปได้หรือที่พอคนนอกสวมชุดศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้วก็เข้าออกได้เลย?”

หวงทงคิดๆ ไปก็ว่าใช่ เครื่องแบบประจำสำนักเป็นสัญลักษณ์แทนตัวสำนัก ต่อให้เป็นอาภรณ์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับแขกก็เป็นเพียงชุดลำลอง ไม่มีทางจัดชุดเครื่องแบบอันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักตนให้แก่คนนอก เพราะจะชักนำปัญหามาให้สำนักได้ง่ายๆ

“เห็นทีว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จริงๆ…” หวงทงพึมพำเสียงเครียด จากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้มขึ้นมา “ส่งข่าวกลับไปเดี๋ยวนี้ รายงานสถานการณ์ให้ทราบ ขอให้ทางสำนักช่วยตัดสินใจ!”

….

ท่ามกลางแมกไม้ป่าเขา ทางด้านล่างของป่า กลุ่มศิษย์สี่คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์บ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง บ้างก็เดินกลับไปกลับมา ชะเง้อชะแง้มอง

“ศิษย์พี่มาแล้ว” คนที่ชะเง้อมองไปรอบๆ พลันเอ่ยขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นมาทันที

เงาร่างหนึ่งทะยานเข้ามา ร่อนลงเบื้องหน้าคนทั้งสี่ เป็นเฉาเซิ่งไหว

พอพบหน้าเฉาเซิ่งไหวก็เอ่ยถามทันที “ไม่มีอะไรผิดพลาดกระมัง?” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“ไม่มี ไม่มีขอรับ” ทั้งสี่พากันเอ่ยตอบ

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “ได้พูดไปตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่? ไม่ได้ใส่สีตีไข่อันใดเพิ่มเข้าไปกระมัง?”

ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยว่า “ศิษย์พี่โปรดวางใจ ท่านกำชับย้ำอยู่หลายครั้ง พวกเราเองก็แสดงทบทวนซ้ำหลายรอบ ไม่ได้ใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปเด็ดขาด”

เฉาเซิ่งไหวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”

ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ พวกเราเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้จะเหมาะหรือ? นี่พวกเราทำอะไรกันอยู่ขอรับ? ผู้อาวุโสเฉาทราบเรื่องหรือไม่?”

“อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม” เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “เจ้ากลัวหรือไร? ต่อให้เกิดเรื่องขึ้น ต้นตอความผิดก็คือข้า ข้าจะปล่อยให้เกิดเรื่องกับพวกเข้าได้หรือ?”

“ใช่แล้ว เจ้าพล่ามอะไรกัน?” คนอื่นๆ ก็พากันตำหนิศิษย์คนนั้น ทำให้ศิษย์คนนั้นเอ่ยขออภัยซ้ำ

เฉาเซิ่งไหวโบกมือเล็กน้อย ให้ทุกคนหยุดคุยซอกแซกก่อน “ข้าพูดไปชัดเจนแล้ว อันที่จริงเรื่องบางอย่างทุกคนก็รู้แจ้งแก่ใจดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ขอเพียงมีคนมากเข้า จิตใจคนเราแตกต่างหลากหลาย ไม่มีทางเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ได้ การแบ่งแยกฝักฝ่ายเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์เราก็ไม่อาจเลี่ยงได้เช่นกัน ทุกคนยินดีที่จะร่วมเดินไปกับข้าหรือไม่ เรื่องในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากทุกคนไม่อยากลงเรือลำเดียวกัน หลังจากนี้ยังมีเวลาให้ทบทวนอยู่ หากไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่อาจร่วมทางไปด้วยกันได้”

“ใช่แล้ว”

“ศิษย์พี่พูดมีเหตุผล”

ทั้งสี่พากันเอ่ยสนับสนุน ล้วนอยากจะลงเรือลำเดียวกับเฉาเซิ่งไหวทั้งสิ้น

ภูมิหลังของเฉาเซิ่งไหวเป็นอย่างไรพวกเขาทราบดี และที่เฉาเซิ่งไหวมาหาพวกเขาก็มีเหตุผลอยู่เช่นกัน ทั้งสี่ล้วนเป็นคนที่มีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรดาษดื่น ไม่มีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาอันใดในสำนัก เพราะถูกหนิวโหย่วเต้าบีบบังคับมา เฉาเซิ่งไหวก็นับว่าต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจถึงคัดสรรสี่คนนี้มาได้ ส่วนคนในสายสังกัดของเฉาจิ้งเขาไม่กล้าเรียกใช้งาน กลัวว่าหากใช้แล้วจะทราบไปถึงหูของเฉาจิ้งเข้า

ระหว่างที่เอ่ยสรรเสริญเยินยออยู่ เฉาเซิ่งไหวก็หยิบตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองออกมาสี่ใบ ยื่นให้คนละใบ

ทั้งสี่คนมองด้วยสายตาแวววาว แต่กลับบ่ายเบี่ยง ไม่มีสิ่งตอบแทนอันใดให้ แล้วยังรับเงินของเฉาเซิ่งไหวเอาไว้ รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะ

“ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระ ทุกคนรับไว้เถิด ในเมื่อติดตามทำงานกับข้าแล้ว ข้าย่อมไม่เอาเปรียบ” ท่าทีของเฉาเซิ่งไหวดูแข็งกร้าว

ทั้งสี่ได้แต่เอ่ยขอบคุณซ้ำๆ แล้วรับไป ต่างพึมพำอยู่ในใจว่าสมกับเป็นหลานชายของผู้อาวุโสเฉา เพราะมีเงินถึงได้ใช้จ่ายมือเติบเช่นนี้

ตามปกติที่พวกเขาอยู่ในสำนัก ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรล้วนเป็นทางสำนักที่จัดสรรมาให้ตามลำดับขั้น อาหารการกินก็ขึ้นอยู่กับทางสำนัก ส่วนเบี้ยหวัดรายเดือนอันที่จริงได้แค่ไม่กี่เหรียญทองเท่านั้น ยังไม่เคยได้จับเงินมากขนาดนี้มาก่อน

แต่แน่นอน พวกเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเงินจำนวนนี้เฉาเซิ่งไหวได้มาจากหนิวโหย่วเต้า

“แต่ข้าคงต้องขอกล่าวเอาไว้ก่อน อย่าได้คิดว่าทำเช่นนี้แล้วทุกคนจะกลายเป็นพวกเดียวกัน หากอยากลงเรือลำเดียวกัน ทุกคนก็ต้องแสดงผลงานยืนยันก่อน มิเช่นนั้นใครจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ที่เห็นต่างอยู่ในกลุ่มพวกเรา? หากว่าลังเล พอรับเงินไปแล้วก็ถอนตัวออกไปได้ ข้าไม่บังคับ” ขณะที่เฉาเซิ่งไหวเอ่ยประโยคนี้ก็เฝ้ามองปฏิกิริยาของทุกคนไปด้วย

“ข้าเชื่อฟังศิษย์พี่”

“ข้ายินดีจะร่วมทางกับศิษย์พี่”

“ต้องการให้ทำสิ่งใด ศิษย์พี่โปรดพูดมาได้เต็มที่”

ทั้งสี่คนก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายต้องการให้พวกเขาแสดงผลงานยืนยันแบบใด แต่พากันตอบตกลง ความรู้สึกลิงโลดนัก

ทุกคนรู้เพียงว่าเฉาเซิ่งไหวคือหลานชายของเฉาจิ้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับเงินจำนวนนี้มา ล้วนไม่อยากจะพลาดโอกาสได้ลืมตาอ้าปากที่หาได้ยากเช่นนี้ไป…

หลังจากซื้อใจคนพวกนี้แล้วแยกทางกันไป เฉาเซิ่งไหวก็มุ่งหน้ามาหาทางหนิวโหย่วเต้าทันที ต้องการพบกับหนิวโหย่วเต้า ทำภารกิจเสร็จแล้วก็ต้องให้คำตอบแก่หนิวโหย่วเต้า

ยังคงเป็นใต้เถาบุปผาริมธารในภูเขาแห่งนั้น หลังจากหนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวขึ้นแล้ว เฉาเซิ่งไหวที่เร้นกายอยู่ในหลืบหน้าผาก็รายงานว่า “จัดการเรื่องสำนักเขามหายานเรียบร้อยแล้ว”

อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าที่ยกมือไพล่หลังเดินวนไปวนมาอยู่ริมลำธารทราบเรื่องนี้แล้ว เรื่องสำคัญเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่เฉาเซิ่งไหวว่าอย่างไรเขาก็ต้องเชื่อไปตามนั้น เขาได้สั่งการให้คนของสำนักเบญจคีรีคอยจับตามองอย่างลับๆ แต่แรกแล้ว สำนักเบญจคีรีส่งข่าวกลับมาแจ้งล่วงหน้าก้าวหนึ่ง

“ลำบากเฉาซยงแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชมเชย จากนั้นก็กล่าวว่า “เจ้าว่าทางเฉินถิงซิ่วจะรู้เรื่องที่เหวินซินจ้าวตบหงเหนียงหรือยัง?”

เฉาเซิ่งไหวลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้น่าจะยังไม่รู้ ทางสำนักมีคำสั่งเด็ดขาดลงมา ขณะนี้ในสำนักน่าจะไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องนี้กับคนนอกส่งเดช แต่หากรอจนสถานการณ์ซาลงแล้วก็ยากจะบอกได้เช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดี! ในเมื่อเขาไม่รู้ก็หาทางทำให้เขารู้ซะ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี”

เฉาเซิ่งไหวทั้งตกใจและโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทางสำนักเพิ่งจะสั่งห้าม เจ้าจะให้ข้ากระทำเรื่องที่ฝ่าฝืนคำสั่งเนี่ยนะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเย็นชา “พูดเหลวไหลกับข้าให้น้อยๆ หน่อย! ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ ทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ จะทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล เฉินถิงซิ่วถ่อมาถึงที่นี่ก็เพื่อสังหารข้า หากข้าออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปอย่างปลอดภัยไม่ได้ บีบคั้นจนข้าหมดหนทาง เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดีเช่นกัน”

เฉาเซิ่งไหวโมโห “เจ้าหมดหนทางอย่างนั้นหรอ? ข้าว่าเป็นข้ามากกว่ากระมังที่หมดหนทาง? เจ้าสั่งงานมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า ไม่จบไม่สิ้น คิดว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เป็นเสือกระดาษหรือไร หากทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าคงต้องตายเพราะเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าด่าสวนกลับไปทันควัน “เจ้าโง่หรือเปล่า? เรื่องนี้ให้ใครทำก็ไม่เหมาะสมเท่าให้เจ้าทำแล้ว ให้เจ้าทำถึงจะปลอดภัยที่สุด ต่อให้เจ้าไปหาเฉินถิงซิ่วแล้วบอกเขาไปซึ่งหน้า เขาก็ไม่กล้าเอ่ยส่งเดชออกไปเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเขากลัวเจ้า แต่เป็นเพราะกลัวปู่ของเจ้า ทำร้ายเจ้าก็เท่ากับล่วงเกินปู่ของเจ้า เจ้าคิดว่าเขาจะกล้าล่วงเกินปู่ของเจ้าในสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างนั้นหรือ? ต่อให้ออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้วเขาก็ยังไม่กล้าอยู่ดี เจ้ามีอะไรต้องกลัวกัน จะทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปทำไม?”

พอถูกด่ามาเช่นนี้ เพลิงโทสะของเฉาเซิ่งไหวก็สลายไปไม่น้อยเลย พอลองคิดดูก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง คิดดูดีๆ แล้วก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายอันใดเลยจริงๆ

………………………………………………………….