ตอนที่ 442 เต็มไปด้วยอันตราย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 442 เต็มไปด้วยอันตราย

คนหนึ่งหัวสูงอยากแต่งงานกับหลู่หยวนชิ่งแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีหลู่เซียง อีกคนก็เอาแต่เรียกต่งฉางหยวนซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนว่าพี่ต่งฉางหยวนไม่ขาดปาก อ้างว่าตนก็มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของต่งฉางหยวนเช่นเดียวกัน สามารถแต่งงานให้สนิทสนมกันมากขึ้นได้!

ไป๋จิ่นซิ่วได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดีเกินไปจึงไม่ได้แสยะยิ้มเย็นให้คุณหนูทั้งสอง

ปีนี้มีเรื่องทุจริตในการสอบขุนนาง แม้จะยังไม่ได้จัดลำดับ ทว่า มีข่าวลือออกมาแล้วว่าผู้ใดควรติดหนึ่งในสามลำดับแรกบ้าง

บัดนี้เฉินเจาลู่หลานชายของราชครูเฉิน หลู่หยวนชิ่งหลานชายของหลู่เซียงและต่งฉางหยวน บุตรชายของต่งชิงเยว่ผู้ตรวจการเมืองเติงโจวคือบุรุษที่สตรีในเมืองหลวงหมายปองอยากได้เป็นคู่ครองมากที่สุด

เมื่อเห็นว่าพวกนางอาจเอื้อมไม่ถึงตระกูลหลู่และเฉิน พวกนางจึงพุ่งเป้าไปที่ต่งฉางหยวนแทน

ทั้งสองคนบ่นว่าพวกนางอาจเอื้อมไม่ถึงเฉินเจาลู่และหลู่หยวนชิง ทว่า ต่งฉางหยวนคือญาติผู้พี่ของพวกนาง เหตุใดจะแต่งงานกันไม่ได้ บอกว่าขอเพียงไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยปากต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!

ไป๋จิ่นซิ่วบอกกับพวกนางด้วยความหวังดีว่าไม่ควรหวังสูงจนเกินตัว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงไม่งามนัก

ทั้งสองคนจึงอาละวาดขึ้นทันที หาว่าไป๋จิ่นซิ่วจงใจกลั่นแกล้งพวกนางเรื่องแต่งงาน พวกนางไม่มีมารดาคอยช่วยเหลือจะเสนอความคิดเห็นไม่ได้เลยหรืออย่างไร

ไป๋จิ่นซิ่วไม่เคยนำเรื่องนี้ไปฟ้องฉินหล่าง หญิงสาวอาศัยจังหวะตอนที่ฉินหล่างหลับพักผ่อนอยู่ในห้องออกไปพบคุณหนูฉินทั้งสองที่เรือนรับรอง ฉินหล่างได้ยินชุ่ยปี้สาวใช้ข้างกายของไป๋จิ่นซิ่วกล่าวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหนูฉินมาอาละวาดกับไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นซิ่วเห็นว่าฉินหล่างทบทวนตำราก็ลำบากมาแล้วจึงไม่อยากรบกว อีกทั้งกำชับไม่ให้สาวใช้รายงานฉินหล่าง เมื่อครู่ทั้งสองคนอาละวาดอยู่หน้าเรือน ไป๋จิ่นซิ่วกลัวจะรบกวนฉินหล่างจึงไปพบพวกนางที่เรือนรับรอง

ฉินหล่างเดือดดาลขึ้นทันที

ต่งฉางหยวนคือบุตรชายคนรองซึ่งเกิดจากภรรยาเอกของผู้ตรวจการเมืองเติงโจว ขนาดราชครูเฉินและหลู่เซียงยังอยากยกหลานสาวของตัวเองให้แต่งงานกับต่งฉางหยวน จะเหลือมาถึงคุณหนูของตระกูลฉินได้อย่างไรกัน พวกนางไม่รู้ว่ามารดาของพวกนางเป็นคนเช่นไร ไม่รู้ว่าเหตุใดบิดาของพวกนางจึงเสียชีวิต ไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลฉินจึงไม่ยศตำแหน่งหรืออย่างไร เหตุใดจึงกล้าคิดว่าตัวเองเป็นดองกับตระกูลไป๋แล้วจะได้แต่งงานกับญาติทางฝั่งนั้นเช่นนี้กัน!

แม้ในใจจะรู้สึกโกรธ ทว่า ฉินหล่างก็พยายามข่มความโกรธโน้มน้าวน้องสาวทั้งสอง บอกว่าพี่สะใภ้ของพวกนางกำลังตั้งครรภ์ พวกนางควรช่วยดูแล ไม่ใช่มาอาละวาดต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้

ต่อมาน้องสาวของฉินหล่างสงบเสงี่ยมได้สองสามวัน จากนั้นก็เริ่มอาละวาดขึ้นอีกครั้งเมื่อไป๋จิ่นซิ่วได้รับบัตรเชิญของจวนต่ง ทว่า ไม่ยอมพาพวกนางสองคนไปที่จวนต่งด้วย พวกนางรู้สึกไม่พอใจมาก

เมื่อวานน้องสาวทั้งสองของฉินหล่างไปร้องไห้คร่ำครวญว่าคิดถึงมารดาอยู่หน้าห้องหนังสือของฉินหล่าง ฉินหล่างหงุดหงิดใจมาก ประกาศกร้าวว่าหากพวกนางยังมารบกวนการทบทวนตำราของเขาอีก เขาจะส่งพวกนางไปอยู่รวมกับมารดา ทั้งสองคนรีบหนีกลับไปยังเรือนของตัวเองอย่างเสียขวัญและไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

เรื่องจึงยุติลงเพียงเท่านี้ ไป๋จิ่นซิ่วแทบไม่ได้ทำสิ่งใดเลย นางจึงไม่อยากนำเรื่องไร้สาระเช่นนี้มากวนใจพี่หญิงใหญ่

ไป๋ชิงเหยียนเห็นว่าไป๋จิ่นซิ่วยิ้มออกมาจากใจจริงจึงบีบมือของน้องสาวแน่น

“แค่ฉินหล่างดีต่อเจ้าก็เพียงพอแล้ว!”

กล่าวถึงเรื่องนี้ ไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยถามไป๋ชิงเหยียน

“พี่หญิงใหญ่มีความรู้สึกดีต่อเซียวเซียนเซิงผู้นั้นหรือเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงพลางเอ่ยขึ้น

“หนทางข้างหน้าของตระกูลไป๋ยังไม่แน่นอน พี่จะกล้าสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้อย่างไรกัน”

จะกล้าได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ

ไป๋จิ่นซิ่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แสดงว่าพี่หญิงใหญ่มีใจให้เซียวหรงเหยี่ยนจริงๆ อย่างนั้นหรือ

ไป๋จิ่นซิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง นางทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับเซียวหรงเหยี่ยนผู้นี้

“พี่หญิงใหญ่ เราเปิดอกคุยกันตามประสาพี่น้องเถิดเจ้าค่ะ หากพี่หญิงใหญ่มีใจให้เซียวเซียนเซิงจริงๆ ให้เขาแต่งเข้าตระกูลไป๋ก็ดีนะเจ้าคะ”

แต่งเข้าตระกูลอย่างนั้นหรือ!

ไป๋ชิงเหยียนมองไป๋จิ่นซิ่วพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย ท่านอ๋องเก้าแห่งแคว้นต้าเยี่ยนจะแต่งเข้าตระกูลไป๋ได้อย่างไรกัน

“จิ่นซิ่ว อนาคตของตระกูลไป๋ยังไม่แน่นอน ความปรารถนาที่จะทำให้ทั่วหล้ามีแต่สันติสุขของตระกูลไป๋ยังไม่เกิดขึ้น พี่ไม่ทางคิดเรื่องความรักของบุรุษและสตรีเด็ดขาด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ

“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้หรอก”

ไป๋จิ่นซิ่วลังเลอยากจะกล่าวสิ่งใดออกมา นางรู้ดีว่านิสัยของพี่หญิงใหญ่ไม่มีทางแต่งงานมีบุตร ยอมถูกกังขังอยู่แต่ในเรือนหลังแน่นอน

รถม้าเคลื่อนตัวไปหยุดอยู่หน้าประตูวัดชิงอัน ไป๋ชิงเหยียนประคองไป๋จิ่นซิ่วลงมาจากรถม้า ร่างสูงโปร่งของเซียวหรงเหยี่ยนยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาของวัดชิงอัน รัศมีรอบกายของชายหนุ่มอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ดวงตากลมโตลึกล้ำเต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่นั้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยแววตาอ่อนโยน เหมือนกับสายตาในคืนที่อยู่กลางศาลาริมทะเลสาบไม่มีผิดเพี้ยน

นิ้วมือทั้งห้าของเซียวหรงเหยี่ยนสอดประสานกับนิ้วมือของนางอย่างแนบสนิท มือใหญ่กุมหลังมือของนางแน่น ความอบอุ่นของฝ่ามือร้อนผุดขึ้นในความรู้สึกอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกคันยิบที่ใจกลางฝ่ามือ ไป๋ชิงเหยียนพยายามควบคุมสติ ก้าวเข้าไปทำความเคารพเซียวหรงเหยี่ยน

“ขอบพระคุณเซียวเซียนเซิงที่อุตส่าห์เดินทางมาส่งเจ้าค่ะ”

เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพกลับ “เหยี่ยนยินดีรับใช้คุณหนูใหญ่ขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะให้เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มๆ จากนั้นเดินตามเจี่ยงหมัวมัว ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นจื้อและไป๋จิ่นเซ่อเข้าไปด้านใน

เยว่สือเดินเข้าไปกระซิบกับเซียวหรงเหยี่ยนที่กำลังมองตามแผ่นหลังของไป๋ชิงเหยียน

“นายท่าน กลับกันเถิดขอรับ!”

“ไม่รีบ!” เซียวหรงเหยี่ยนยกยิ้มมุมปาก เมื่อครู่เขาเห็นใบหูของไป๋ชิงเหยียนแดงก่ำ

ผิวของไป๋ชิงเหยียนขาวใส แม้นางจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี ทว่า นางไม่อาจซ่อนใบหูที่แดงก่ำของตัวเองได้

ย่างเข้าเดือนเจ็ดแล้ว เรือนขององค์หญิงใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า

ด้านในตัวเรือนใช้ผ้าบางๆ ขึงเป็นมุ้งจึงไม่ต้องกังวลว่าแมลงจะบินเข้าไปรบกวน

องค์หญิงใหญ่และหลูหนิงฮว่านั่งเล่นหมากล้อมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางลานหญ้า หลูหนิงฮว่าเห็นองค์หญิงใหญ่เหลือมองไปทางประตูเป็นพักๆ จึงกล่าวยิ้มๆ

“วันนี้คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่จะกลับมาแล้ว ท่านแม่บุญธรรมตื่นเต้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ใช่นะสิ!” องค์หญิงใหญ่วางหมาดตัวหนึ่งลงบนกระดานอย่างคล่องแคล่ว

“ในสนามรบมีแต่อันตรายเต็มไปหมด เด็กสองคนนั่นต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน โดยเฉพาะอาเป่า เวลาบาดเจ็บไม่ชอบปริปากบอกผู้อื่น เอาแต่เก็บงำไว้คนเดียว กลัวพวกเราจะเป็นห่วง!”

“ท่านแม่บุญธรรมไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พอคุณหนูใหญ่กลับมา หลูหนิงจะตรวจชีพจรคุณหนูใหญ่อย่างละเอียด หากคุณหนุใหญ่ได้รับบาดเจ็บไม่มีทางปิดบังได้แน่เจ้าค่ะ” หลูหนิงฮว่ากล่าวพลางลุกขึ้นยืนยกกาน้ำชา “หนิงฮว่าจะไปเปลี่ยนกาน้ำชาใหม่ให้ท่านแม่บุญธรรมนะเจ้าคะ เปลี่ยนเป็นชาลิ้นนกกระจอกที่คุณหนูใหญ่ชอบดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ดี!” องค์หญิงใหญ่พยักหน้า

องค์หญิงใหญ่ได้ยินเสียงสนทนาของเจี่ยงหมัวมัวและไป๋ชิงเหยียนดังแว่วมาแต่ไกล นางรีบลุกขึ้นยืนจากนั้นเดินไปใกล้ประตู

เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อและไป๋ชิงเหยียนที่ยังไม่ได้ถอดชุดเกราะออก ดวงตาขององค์หญิงใหญ่แดงก่ำทันที…

ร่างผอมเพรียวของสตรีในชุดเกราะสีเงินและรวบผมยาวไว้บนศีรษะเดินเข้ามาด้านในด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคง รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหาร

พริบตานั้น องค์หญิงใหญ่รู้สึกเหมือนเห็นสามี บุตรชายและหลานชายของตัวเอง!

พวกเขาทุกคนล้วนโดดเด่นมีความสามารถ ทว่า สุดท้ายกลับต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียง

ขอบตาขององค์หญิงใหญ่ร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนเห็นภาพตอนที่คุณชายทั้งสิบเจ็ดของตระกูลไป๋สวมชุดเกราะเตรียมเดินทางไปออกรบ ทว่า บัดนี้…ไม่มีคุณชายทั้งสิบเจ็ดอีกต่อไปแล้ว!

เมื่อเห็นกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาด้านใน องค์หญิงใหญ่ใช้ผ้าเช็ดน้ำตา รวบรวมสติหมุนตัวกลับไปนั่งที่ม้าหินตามเดิม นางหยิบหมากในกล่องมากำไว้ในมือแน่น ดวงตาจ้องไปยังกระดานหมากนิ่ง…