บทที่ 453 นี่คือโอกาส (2)

บทที่ 453 นี่คือโอกาส (2)

ศิษย์ลับรับมาจากตอนอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่หรือ? ถ้ามาจากที่นั่น ทำไมถึงมาลานบ้านแห่งนี้ได้ล่ะ?

อีกฝ่ายตอบเบา ๆ “เราสนิทกันมากี่ปี คิดว่าฉันจะโกหกด้วยเรื่องแค่นี้หรือ?”

ถึงจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ก็ต้องเชื่อแล้ว

เขาตอบสนองในทันทีก่อนเลี้ยวรถจักรยานแล้วพุ่งกลับไปทางเดิม

แต่พอกลับมาถึง บริเวณตรงนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว มีแค่ทหารยามสองคนเท่านั้น

“พลาดอีกแล้ว…” ผู้อำนวยการหลี่ว์ตบแฮนด์จักรยานด้วยโมโห

กริ่งลั่นโดยไม่ตั้งใจ ปลุกสติทหารทั้งสองที่อยู่ตรงนั้น

พวกเขากล่าวเตือนด้วยสายตา หลี่ว์หรูหยาจึงไม่กล้าอยู่ต่อ จึงรีบเข็นไปที่หัวมุมข้าง ๆ แทน

ผู้อำนวยการหูตามมาด้วย

“เธอไปแล้ว สหายหูบอกที ฉันจะไปตามหาเธอได้ที่ไหน?”

ผู้อำนวยการหลี่ว์กลั้นใจ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว

“หออีหมิง เคยได้ยินชื่อนี้ไหม?”

ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนสนิทกัน เขาทนไม่ได้ที่อีกฝ่ายผิดหวังจึงแนะนำให้

“หมายถึงร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองช่วงนี้หรือ?”

เขาเคยได้ยิน แต่ไม่เคยไป

แต่เขากำลังตามหาศิษย์ของฉือเก๋อ แล้วจะให้ไปทำอะไรที่หออีหมิง?

“หออีหมิงเป็นของครอบครัวเธอน่ะ” เมื่อเห็นความสงสัยบนใบหน้าอีกฝ่าย จึงบอกว่า “ได้ยินว่าเด็กคนนั้นเก่งภาษาต่างประเทศมาก พูดตามตรง เอกสารโรงงานเราก็ได้เธอเป็นคนแปลให้”

ถึงจะเห็นแค่แวบเดียว แต่ก็จำได้ราง ๆ ว่าเธออายุไม่เยอะ

เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทำไมเธอถึงมีความสามารถเยอะจัง

ครั้งนี้พวกเราหาคนไว้เยอะมาก แต่ไม่มีใครยินดีรับงานเลย แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังบอกว่ามีแต่ศัพท์เฉพาะที่ไม่เข้าใจ

บางคนแนะนำฉือเก๋อ แถมยังบอกว่าถ้าพาเขาออกมาได้อาจจะแก้ปัญหาก็ได้นะ

“สหายหลี่ว์ อะไรที่ควรบอกก็บอกไปหมดแล้วนะ คุณจะทำยังไงก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”

ผู้อำนวยการหูตบไหล่เพื่อน เขาเอ่ยอย่างไม่มีทางเลือก

“กลัวว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ที่อยากให้เขาออกมาช่วยพวกคุณเนี่ยสิ”

เพราะผู้อำนวยการหม่าไปทำเขาเคืองเอาน่ะสิ!

ประโยคหลังเขาไม่ได้เอ่ยออกไป แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจได้ไม่ยาก

สหายหม่านิสัยเสียมาพอแล้ว!

คิดว่าถ้าได้พบคุณฉือ เขาจะทำตัวดีกว่านี้เสียอีก แล้วปัญหาเราก็จะได้รับการแก้ไข

ถ้าเรื่องนี้เขาเป็นคนจัดการได้ มันอาจจะเป็นโอกาสก็ได้นะ

ณ ลานบ้านหลังกว้าง

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่ามีคนพูดถึงอยู่

ตอนนี้เธอเดินตามหลังต่งหยวนจง และฟังปู่ทั้งสองสนทนากันอยู่

ส่วนฟ่านชูฟางจับมือคุณย่าซูและกระซิบอย่างสนิทสนม

ตอนที่สองสามีภรรยาต่งออกมารับแขกด้วยตัวเอง พวกทหารยามตรงประตูตกใจมาก

ไม่คิดว่าครอบครัวหัวหน้าจะออกมาพบคนพวกนี้ด้วยตัวเอง

ภูมิหลังของคนพวกนี้เป็นใครกันแน่? หรือเป็นผู้อาวุโสของหัวหน้า?

แต่ต่งหยวนจงไม่ได้สนใจ ทั้งยังไม่เขินอายใด ๆ ด้วย เขาเรียกพี่ใหญ่พี่สะใภ้ออกมาตรง ๆ แถมยังแสดงความสนิทสนมต่อกันอีกด้วย

กระทั่งคุณปู่คุณย่าซูผ่านเข้าประตูหน้ามา ก็พบว่าลานบ้านแห่งนี้เหมือนชุมชนการผลิตหงซินไม่มีผิด เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่จะมีหลาย ๆ ครอบครัวอาศัยอยู่

ไม่แปลกใจที่ต้องให้คนออกมารับ ไม่งั้นก็คงหาไม่เจอ

ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงปัจจุบัน เสี่ยวเถียนเคยมาที่แบบนี้ครั้งหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพวกไม่เคยเห็นโลกมาก่อนเลย

ถึงภายนอกจะดูสงบ แต่จริง ๆ เธอมองไปรอบ ๆ อยู่ตลอด

แม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันในลานบ้านขนาดกว้าง แต่ก็มองออกเลยว่าสถานะ ตำแหน่งที่อาศัย และอาคารที่อยู่ไม่เหมือนกันเลย

และด้วยความสามารถของเธอในตอนนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละคนมีพื้นเพมายังไง

และในตอนนั้นเองที่คนอื่น ๆ ในลานบ้านเห็นต่งหยวนจงกับภรรยาเดินมาพร้อมกับแขก จึงถามด้วยรอยยยิ้ม

“นี่คือพี่ใหญ่พี่สะใภ้ แล้วก็เด็ก ๆ น่ะ พวกเขามาเป็นแขก เพิ่งมาเป็นครั้งแรกด้วยเลยหาไม่เจอ พวกเราเลยออกไปรับน่ะ!”

ฟ่านชูฟางยิ้มตอบกับคำถามที่กระตือรือร้น

สองสามีภรรยาซูไม่ค่อยสบายใจ แต่บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าการรายล้อมไปด้วยผู้คนช่างอึดอัดจริง ๆ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ?

ก็ทำได้แค่รักษาสีหน้าให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ปู่ต่งขายหน้าไง!

พอได้ยินว่าเป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจมาก

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเป็นเด็กกำพร้า แล้วจะมีพี่น้องได้ยังไง?

แต่ฟ่านชูฟางเป็นคนพูดเอง อาจจะหลอกก็ได้นะ?

ทว่าบางคนก็คิดว่าคงเป็นญาติฝั่งหญิงชรา

“พวกเรากลับบ้านก่อนนะคะ พี่เขาพาเด็ก ๆ มาด้วย เดินทางมาลำบาก ต้องกลับไปพักผ่อนก่อนน่ะ!”

ฟ่านชูฟางไม่อยากคุยต่อจึงหาข้ออ้าง

สองสามีภรรยาต่งอาศัยอยู่ในอาคารตะวันตกหลังเล็กตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของลานบ้าน

ในบริเวณนั้นมีตัวอาหารพร้อมสวนขนาดย่อม ทว่ามันไม่ได้ปลูกดอกไม้ แต่ปลูกเป็นผักแทน

“เพราะเป็นตาเฒ่าต่งนั่นแหละ แทนที่จะมีสวนดอกไม้ดี ๆ กลายเป็นสวนผักไปแล้ว!” ฟ่านชูฟางบ่น แต่น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิเลย

สองสามีภรรยาซูเห็นสวนผักแล้วชื่นใจ

บ้านเราก็มีสวนผัก เคยคิดจะปลูกต้นหอมกับกระเทียมด้วย แต่ยุ่งมากจนไม่ต้องล้มเลิกไป

“มะเขือเทศพวกนี้โตดีจัง!” คุณปู่ซูซาบซึ้งนัก “เห็นได้เลยว่าทุ่มเทมาก!”

“ปลูกผักต้องออกแรง ก็เหมือนได้ออกกำลังกายนั่นแหละ!”

ต่งหยวนจงยิ้มแล้วก้าวเข้าไปในสวนผัก แล้วเด็ดมะเขือเทศและแตงกวาออกมา

ผู้เป็นภรรยาบ่น “พี่ใหญ่พี่สะใภ้เพิ่งจะมา แทนที่จะให้ไปพักก่อน ดันพามาสวนเนี่ยนะ!”

“วันนี้เรากินผักที่ปลูกเองเป็นมื้อเย็นกันเถอะ!” ต่งหยวนจงยื่นผักในมือให้บอดีการ์ดพร้อมรอยยิ้ม

“พี่คะ ไม่ต้องสนใจเหล่าต่งหรอกค่ะ เราเข้าบ้านกันดีกว่า”

พอเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ในห้องนั่งเล่น มันดูไม่เข้ากับอาคารหลังนี้เลย

“มันมีมาก่อนอยู่แล้วน่ะ พอเหล่าต่งย้ายมา เขาบอกว่าโซฟามันนั่งไม่สบายเลยเปลี่ยนเป็นไม้แทน”

เห็นเสี่ยวเถียนพินิจพิเคราะห์ หญิงชราจึงอธิบายให้ฟัง

บอกตรง ๆ ว่าเธอยังโกรธอยู่นะ โซฟาตัวนั้นมันสวยมากเลย แถมยังนั่งสบายมาก ตาแก่นี่ไม่รู้จักความรื่นรมย์เสียเลย

หลังจากพูดคุยกัน คุณปู่ซูส่งยาให้ต่งหยวนจง

ชายชรามองกล่องไม้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เยอะขนาดนี้เลยหรือ?”

“กินสามเม็ดต่อวันค่ะ แต่ว่าไม่ต้องกินนาน ปู่ต่งลองกินก่อนสักครึ่งเดือนนะคะ แล้วค่อยให้หนูตรวจชีพจรเพื่อปรับยาให้” เด็กสาวยิ้ม

“ให้คนมาตรวจก่อนเถอะ เด็กคนนี้หาญกล้าเหลือเกิน” คุณปู่ซูเอ่ยอย่างเชื่องช้า

เขาพูดไปด้วย มองไปรอบ ๆ ด้วย แล้วทำไมถึงไม่เห็นหมอที่เข้มงวดคนนั้นเลยล่ะ?

“ให้หมออู๋ดูก่อนดีกว่า ถ้าเขาว่าไม่เป็นไรก็ค่อยกินนะ!”

สีหน้าของต่งหยวนจงเปลี่ยนไปในทันตา

หลังจากกลับมาวันนั้น เขาได้ตรวจสอบคนข้างกายอย่างละเอียดโดยเฉพาะหมออู๋

ถ้าไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ แต่แล้วก็ต้องตกใจ

หมออู๋ที่ติดตามอยู่ข้างกายกลับเป็นคนที่หมายเอาชีวิต

ตอนแรกสุดอีกฝ่ายระวังตัวมาก พอได้รับความไว้วางใจก็เริ่มใช้กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ

คนรอบตัวก็โดนหมออู๋หลอก เสี่ยวหยวนก็ด้วย

แถมคนคนนั้นยังให้ยาที่ไม่สมควรกินกับเขาอีก ผ่านไปสักระยะ สุขภาพถึงได้แย่ลง

ถ้าไม่ไปบ้านซูก็คงไม่รู้

ตอนไปตรวจร่างกาย หมอที่โรงพยาบาลยังบอกเลยว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักปีครึ่ง ชีวิตได้พังแน่ ๆ

ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาชีวิตรอดตอนอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือได้ แต่พอมาเมืองหลวงดันเกือบชะตาขาด

หลังจากเหตุขึ้น หมออู๋คิดจะหนีแต่ไม่ทันการ เขาถูกจับกุมและส่งตัวไปสอบปากคำ

ผลยังไม่ออกมา แต่ตามข่าวที่ได้ยินเหมือนว่าจะมีคนอยู่เบื้องหลัง และเป้าหมายไม่ใช่แค่เขาคนเดียว

เดิมทีทางองค์กรคิดจะส่งแพทย์มาอีกคน แต่จากประสบการณ์หมออู๋ทำให้ต่งหยวนจงปฏิเสธ

ตลกหรือเปล่า เขาสู้มาทั้งชีวิต ดูแลตัวเองมาตลอด แต่ตอนที่ชีวิตตกอยู่ในกำมือคนอื่นกลับไม่ปลอดภัย

หลังจากนี้ ถ้าป่วยอาจจะต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้นจึงจะวางใจ

แต่เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพี่ชาย กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตกใจ

“พี่สะใภ้ หมออู๋มีเรื่องต้องทำเลยไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ เดี๋ยวจะให้เสี่ยวถงส่งยาไปตรวจให้นะคะ” ฟ่านชูฟางหยิบกล่องยาด้วยรอยยิ้ม

คุณปู่ซูสบายใจเมื่อได้ยินคำตอบ

“น้องสะใภ้ ต้องให้หมอตรวจละเอียด ๆ เลยนะ ยาที่หยวนจงกินเราจะประมาทไม่ได้!” คุณปู่ซูจำต้องพูดเท่านั้น

อีกฝ่ายยิ้ม “ถึงเราจะไม่ไว้ใจคนอื่น แต่จะไม่ไว้ใจพวกพี่ได้ยังไงคะ?”

ต่งหยวนจงหัวเราะ “ฉันว่าจากนี้ไปให้เสี่ยวเถียนจับชีพจรทุก ๆ ครึ่งเดือนแล้วกัน หลานสาวพึ่งพาได้ดีกว่าคนที่ใช้เครื่องมือเสียอีก!”

หญิงชราจ้องสามี “คุณนี่ เสี่ยวเถียน เสี่ยวจิ่ว ไม่ต้องนั่งแล้ว มากินผลไม้นี่มา เมื่อเช้าให้คนมาส่งโดยเฉพาะเลยนะ”

อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว และก็มีผลไม้ส่งออกตลาดมากยิ่งขึ้น พวกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะก็เป็นของคุณภาพสูงทั้งนั้น!

ฟ่านชูฟางชวนเด็ก ๆ มากินลูกแพร์

พวกเราสนทนากันตลอดทั้งบ่าย

พอตกเย็น ฟ่านชูฟางก็เตรียมตัวทำอาหารเย็น

บ้านเรามีคนทำอาหาร หญิงชราจึงไม่ต้องลงแรงทำเอง ส่วนใหญ่เธอเป็นคนจัดอาหารมากกว่า