บทที่ 471 สร้างอารยธรรมกำแพงแห่งความตระหนักรู้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 471 สร้างอารยธรรมกำแพงแห่งความตระหนักรู้

บทที่ 471 สร้างอารยธรรมกำแพงแห่งความตระหนักรู้

หลังจากความปรารถนายิ่งใหญ่ของไป๋ชิวหรานล้มเหลว เขาก็เก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานานหลายวัน

หากเพียงแค่ล้มเหลวก็ยังพอถูไถ แต่ที่สำคัญคือถังรั่วเวยผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นลูกศิษย์ที่เชื่อฟังมาโดยตลอดของตัวเอง มาบัดนี้กลับก้าวไปก่อนเขาแล้วหนึ่งก้าว นางไปสู่ฟากฝั่งของความใฝ่ฝันแล้ว ความรู้สึกแบบที่ได้เห็นคู่หูมุ่งมั่นทรยศหักหลังเช่นนี้ทำให้หัวใจของไป๋ชิวหรานรู้สึกเจ็บแปลบยิ่งกว่าเดิม

จนกระทั่งผ่านไปประมาณสามเดือนกว่า จู่ ๆ เซียนหงเฉินก็มาหาถึงสำนัก ทั้งยังนำบางอย่างที่ไม่ได้พบมานานติดมือมาด้วย

“อ้าว ท่านบรรพชนกระบี่!”

เพลิงวิญญาณในเบ้าดวงตาของจักรพรรดิเซียนองค์แรกสั่นระริก จนแตกสะเก็ดขึ้นด้านบนเป็นจุดดาวเล็ก ๆ ก่อนกล่าวถามขึ้นมาให้ผู้มาเยือนรับรู้สถานการณ์ไปด้วย

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสร้างรากฐานล้มเหลวอีกแล้ว เป็นอย่างไร?ความสามารถสร้างอาจารย์อสูรใช้กับเจ้าไม่ได้ผลเหมือนกันใช่หรือไม่”

ไป๋ชิวหรานโบกมือเพื่อให้เซียนหงเฉินเบี่ยงตัวหลบ จากนั้นก็ถีบเตะจักรพรรดิเซียนองค์แรกกระเด็นออกไป!

ไม่รู้เช่นกันว่าลูกถีบของเขาเตะจักรพรรดิเซียนองค์แรกลอยไปไกลแค่ไหน …อย่างไรเสีย จักรพรรดิเซียนองค์แรกก็ต้องรีบออกเดินกลับมา… ใช้เวลาถึงสามวันจึงกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้อีกครั้ง

“ไม่ล้อแล้ว! ไม่ล้อแล้ว!”

เห็นไป๋ชิวหรานยกขาขึ้นมาอีกครั้ง จักรพรรดิเซียนองค์แรกก็รีบร้องขอ

“ข้ามาหาเจ้าก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน จักรพรรดิเซียนหงเฉิน”

“ข้าฟังอยู่”

เซียนหงเฉินล้วงกระดาษหนาเตอะออกมาจากแขนเสื้อปึกหนึ่ง แล้วยื่นไปให้ไป๋ชิวหราน

“สิ่งนี้คืออะไรกัน?”

ไป๋ชิวหรานรับมาด้วยความสงสัย

“ตอนที่ท่านเพิ่งเข้าสู่ดินแดนแห่งความตระหนักรู้ ได้พบเมืองอารยธรรมโบราณที่สูญสิ้นไปแล้วในโลกวัตถุรกร้างทางนั้นไม่ใช่รึ?”

จักรพรรดิเซียนองค์แรกลอยตัวขึ้น บินรอบตัวไป๋ชิวหรานช้า ๆ

“ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในแดนเซียน ข้าเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อถอดความสิ่งนี้ออกมา ความลับที่ถูกบันทึกไว้ในนี้สามารถตอบสนองจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นของข้าได้!”

ไป๋ชิวหรานถือต้นฉบับที่ได้รับการแปลมาแล้วปึกนี้เดินไปนั่งที่กลางสวน ก่อนตั้งใจอ่านอย่างมีสมาธิ

ผลการถอดความบนกระดาษปึกนี้ บันทึกถึงเรื่องที่ว่าด้วยแผนการขั้นสุดท้ายของอารยธรรมหนึ่งเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ไม่อาจต้านทานได้ จากบันทึกฉบับนี้ไป๋ชิวหรานเข้าใจคร่าว ๆ ถึงที่มาของความนึกคิด

อันที่จริงหลังจากรู้ว่ามีกำแพงแห่งความตระหนักรู้ในตอนนั้น ไป๋ชิวหรานเคยครุ่นคิดถึงที่มาของมัน ทว่าปัญหานี้ ในทางเดียวกัน ไป๋ลี่ จักรพรรดิ์เซียนองค์แรกกับเล่อเจิ้นเทียนจักรพรรดิ์เซียนซู่หัวก็เคยคิดตรึกตรองเช่นกัน

เพียงแต่ว่าเวลานั้น ภัยใกล้ตาของพวกเขายังคงเป็นพวกอสูรแห่งความปรารถนาที่ออกมาจากฝั่งตรงข้ามกำแพงแห่งความตระหนักรู้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเวลาให้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทว่าแดนเซียนในตอนนี้มีวิธีกำจัดอสูรแห่งความปรารถนาแล้ว ดังนั้นงานการตรวจสอบและไขความลับจึงเริ่มแผ่ขยายตามไปด้วย

“ตามบันทึกที่เขียนไว้ คืนก่อนที่อารยธรรมนี้จะสูญสิ้น ได้สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้อะไรบางอย่างขึ้นเพื่อเป็นการต่อต้านเป็นครั้งสุดท้าย”

หลังจากที่อ่านเสร็จ ไป๋ชิวหรานก็ยื่นเอกสารการแปลฉบับนี้ให้เซียนหงเฉิน

“แต่บันทึกฉบับนี้พูดถึงเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น ส่วนใหญ่บันทึกความรำลึกในอารยธรรมของตัวเอง ภัยพิบัติคืออะไร กำแพงแห่งความตระหนักรู้คืออะไร แต่เรื่องอารยธรรมของพวกเขากลับไม่ได้เอ่ยถึงเลย อีกทั้งบันทึกฉบับนี้ยังมีส่วนที่ขาดหายไป ลำพังเพียงแค่นี้พวกเราไม่อาจมั่นใจได้ว่ากำแพงแห่งความตระหนักรู้ที่พวกเขาพูดถึงนั้นคือกำแพงที่ตัดขาดสายธารแห่งความว่างเปล่า ที่ล้อมรอบดินแดนแห่งความตระหนักรู้ทั้งหมดนั้นหรือไม่ เพราะว่าสำหรับอารยธรรมหนึ่งเท่านั้น แล้วกำแพงแห่งความตระหนักรู้อาจจะเป็นกำแพงธรรมดาบางอย่างก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่กำแพงเมืองเท่านั้นก็เป็นได้”

“เป็นเช่นนี้จริง ๆ แต่พวกเขาตรวจสอบจนมั่นใจในเบื้องต้นแล้วว่า อารยธรรมที่เขียนบันทึกฉบับนี้ก็คืออารยธรรมที่สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้”

จักรพรรดิเซียนองค์แรกกล่าวด้วยความมั่นใจ

“แน่ใจได้อย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานยังคงสงสัย

“ตอนที่เจ้าอยู่ในโลกวัตถุแห่งนั้นคุยโม้ต่อข้าเสียดิบดีว่าใช้เวลาไม่นานเท่าไรก็สามารถแปลออกมาได้ นี่ก็เกือบร้อยปีเข้าไปแล้ว เจ้าเพิ่งจะแปลบันทึกฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์”

“ข้าก็กำลังจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี อันที่จริงในช่วงเวลาร้อยปีมานี้ ข้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เพียงที่เดียว หลังจากที่จักรพรรดิเซียนหงเฉินมาแล้ว ข้าขอให้เขาพาข้าไปดูที่อื่น จักรพรรดิเซียนเล่อเจิ้นเทียนมอบคณะตรวจสอบให้พวกเราคณะหนึ่ง พวกเราจึงตรวจสอบรอบ ๆ กำแพงในดินแดนแห่งความตระหนักรู้และพบซากอารยธรรมที่พังพินาศไปแล้วจำนวนไม่น้อย”

จักรพรรดิเซียนองค์แรกกล่าวอธิบาย

“ในช่วงเวลาเกือบร้อยปีมานี้ ข้าศึกษาซากร่องรอยเหล่านั้นอยู่ตลอด ตามผลการตรวจสอบของพวกเรา มั่นใจได้ว่าซากร่องรอยเหล่านี้กับซากที่ตกค้างในโลกวัตถุบริเวณใกล้ ๆ กับช่องโหว่ตอนที่พวกเราเข้ามานั้น มาจากอารยธรรมเดียวกัน! และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าคาดเดาว่าอารยธรรมนี้ก็คืออารยธรรมที่สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้”

“งั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าตรวจสอบเจออะไรบ้างหรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“คืนก่อนที่อารยธรรมจะสูญสิ้น เลือกที่จะสร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้ขึ้น หากอารยธรรมนี้ไม่ได้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งภายนอกเข้าสู่ดินแดน ก็ต้องเพื่อป้องกันสิ่งที่อยู่ในดินแดนแห่งความตระหนักรู้หนีออกไป… สิ่งที่พวกเขาต้องระวังคืออสูรแห่งความปรารถนาเช่นนั้นรึ?”

สมมุติว่าสิ่งที่ทำให้อารยธรรมโบราณที่สร้างกำแพงแห่งความตระหนักรู้สูญสิ้นคืออสูรแห่งความปรารถนา สำหรับแดนเซียนแล้ว… ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด อสูรแห่งความปรารถนาทั้งหกในตอนนี้นอกจากตนที่กำลังหนี ตนอื่น ๆ ล้วนถูกแดนเซียนฆ่าหมดแล้ว ตนที่เหลือไม่อาจสร้างผลกระทบอะไรได้อีก อสูรแห่งความปรารถนาดับสิ้นต้องเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

“น่าเสียดาย ไม่ใช่แบบนั้นเลย”

เซียนหงเฉินก็คิดแบบเดียวกับไป๋ชิวหราน

“ดูจากผลการตรวจสอบของพวกเราแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องระวังคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือกำแพงแห่งความตระหนักรู้”

“ถ้าเช่นนั้น… การตรวจสอบนี้ยังไม่สามารถวางใจได้”

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจยาว

“น่าเสียดายเสียจริง! ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีเวลาว่างอยู่กับบุตรสาว”

“ไม่ต้องกังวลไป เราเพียงแค่งานตรวจสอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องรบกวนให้ท่านออกโรงเอง”

เซียนหงเฉินหัวเราะหึ ๆ พลางกล่าว

“จักรพรรดิเซียนองค์แรกกับผู้เชี่ยวชาญของพวกเราได้ทำแผนเปรียบเทียบตัวอักขระของอารยธรรมแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เทียบกับแผนนั้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญในแดนเซียนของพวกเราสามารถแกะรอยบันทึกของอารยธรรมแห่งนี้ได้ ถึงแม้จะมีอักขระที่ไม่รู้จักก็สามารถดูแผนประกอบ และแกะออกมาได้เช่นกัน”

“คงจะได้ บางทีอาจเป็นเพราะระยะนี้ข้าเพิ่มผนึกความคิดของตัวเอง”

ไป๋ชิวหรานทอดถอนใจ

“ข้าก็อยากจะหาอะไรทำเช่นกัน จะได้บรรเทาความซึมเศร้าของตัวเอง… แล้วอีกอย่าง พวกเจ้าคิดว่า อารยธรรมที่สามารถสร้างกำแพงกับดินแดนแห่งความตระหนักรู้ขึ้นมาได้… สุดท้ายถูกบีบจนสูญสิ้นเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้แดนเซียนของพวกเราไปดูแลอย่างสุดความสามารถหรอกรึ?”

“ที่ท่านบรรพชนกระบี่สั่งสอนนั้นมีเหตุผล”

เซียนหงเฉินก้มหน้ารับคำ

“ถ้าเช่นนั้น งานการตรวจสอบของพวกเจ้า ระยะนี้ไปถึงไหนกันแล้ว?”

“ตอนนี้อยู่บนดินแดนดั้งเดิมของหนึ่งในหกอสูรแห่งความปรารถนาอีกตนแล้ว ศิษย์พี่สะใภ้ก็มาช่วยเหลือพวกเราบ้างเช่นกัน นางชี้แนะเรื่องสัญลักษณ์ในดินแดนแห่งความตระหนักรู้ให้พวกเราบ้าง… ตรงนั้นใกล้พรมแดนอีกด้านหนึ่งของดินแดนแห่งความตระหนักรู้แล้วขอรับ”

ศิษย์พี่สะใภ้ก็คือโหลวเยว่หมิง ตอนที่จักรพรรดิเซียนซู่หัวเคยพเนจรอยู่ในดินแดนแห่งความตระหนักรู้ เขาพบพรมแดนอีกด้านหนึ่ง จึงไม่แปลกที่นางจะรู้

“พรมแดน? พรมแดนอีกด้านหนึ่ง… พูดขึ้นมา ดูเหมือนว่ามีหนึ่งในหกอสูรแห่งความปรารถนาหนีไปทางนั้นเช่นกัน”

ไป๋ชิวหรานปรบมือ

“ไม่เช่นนั้น…ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย! ถือโอกาสเรียกเจียงหลานให้ตามไปด้วย นางยังคงค้างคาใจเรื่องที่ตัวนางปล่อยให้มันหนีไปได้ ครั้งนี้ ดูซิว่าจะสามารถหาเบาะแสของอสูรแห่งความปรารถนาตนนั้นได้หรือไม่”