ตอนที่ 507 ขนลุกชัน

ลุงเฉินกลับมาแล้ว โจวเถี่ยจื่อกลับมาพร้อมกัน โจวเถี่ยจื่อเห็นลุงเฉินถูกคนของสำนักชะตาสวรรค์ลากออกมาด้วยตาตัวเอง

เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าลุงเฉินไปทำเรื่องที่ยั่วโทสะสำนักชะตาสวรรค์อันใดเข้า รู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

ตั้งแต่ไปจนกลับมา อันที่จริงก็ใช้เวลาไม่ได้เท่าไรเลย หยวนกังที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาสอบถามโจวเถี่ยจื่อครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับลุงเฉิน

หนิวโหย่วเต้าคอยอยู่ในสวน ยันกระบี่เฝ้ากระดานหมากที่สะเปะสะปะนั้นอยู่ภายในศาลา หมากขาวหมากดำปนกันวุ่นวาย

ทั้งสองเดินเข้ามาในศาลา หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือ”

ลุงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จัดการตามที่ท่านบอกแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ไม่ได้พบเหวินซินจ้าวกระมัง?”

ลุงเฉินตอบว่า “ไม่ได้พบ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ตู้อวิ๋นซางมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”

“ไม่มีปฏิกิริยาใด…” ลุงเฉินเล่าสถานการณ์ในขณะนั้นออกมาอย่างละเอียด

“ลำบากเจ้าแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตามมารยาท ผายมือสื่อให้เขากลับไปพักผ่อนได้

ลุงเฉินเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน หันหลังเดินกลับออกไป เพียงแต่ความฉงนในใจยังคงไม่คลี่คลาย

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการทำอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือ หนิวโหย่วเต้ารู้ถึงความเคลื่อนไหวของเฉินถิงซิ่วในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้อย่างไร แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าตนจะไม่พบกับเหวินซินจ้าวเข้า ราวกับอีกฝ่ายคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตู้อวิ๋นซางจะไม่ลงมือกับเขาด้วยความโมโห

เฉินถิงซิ่วไปตั้งแต่เมื่อไร ไปพบกับผู้ใดของทางฝั่งนั้น ตนไปแล้วจะไม่พบผู้ใดบ้าง ราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเต้าเหยี่ยคนนี้ทั้งหมด ราวกับเขาจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว

ยังมีโจวเถี่ยจื่อของสำนักหมื่นสรรพสัตว์คนนั้นอีก เมื่อดูจากสถานการณ์ในระยะนี้ ไหนจะท่าทางมีลับลมคมนัยตอนคุยกับหยวนกังเมื่อครูอีก เหตุใดถึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกหนิวโหย่วเต้าซื้อตัวไปแล้วเล่า?

เต้าเหยี่ยคนนี้อยู่ที่นี่ อีกทั้งไม่เห็นความเคลื่อนไหวอื่นใดมากไปกว่านี้เลย ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง แต่กลับดูเหมือนควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือแล้ว

เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ชาพิษ’ ก่อนหน้านี้นั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ให้ตนไปด่าทอตู้อวิ๋นซางยกหนึ่ง

ตอนนี้ลุงเฉินตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ถูกจากพฤติกรรมของตนเอง และเนื่องด้วยเหตุนี้ เขาจึงยิ่งรู้สึกตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งตระหนักได้เรื่อยๆ แล้วว่าเต้าเหยี่ยคนนี้ช่างลึกล้ำยากจะคาดเดานัก

ภายในศาลา หนิวโหย่วเต้ายกกระบี่สะกิดกระดานหมากเล็กน้อย ดีดหมากสีดำตัวหนึ่งออกไป ตัวเบี้ยกระเด็นตกลงพื้น เกิดเสียงดังชัดเจน ตามมาด้วยเสียงของเขา “สองเฉินไปพร้อมกัน ลุงเฉินรอดกลับมาได้ ชีวิตเฉินถิงซิ่วมาถึงจุดจบแล้ว”

หยวนกังจ้องมองหมากสีดำที่ถูกเขี่ยกระเด็นลงบนพื้นเม็ดนั้น

ฝักกระบี่เขี่ยตัวเบี้ยบนกระดานหมากอีกสองสามที หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ฉันคิดว่าอีกไม่นานเซ่าผิงปอ น่าจะก่อเหตุบางอย่างขึ้น แจ้งไปทางเป่ยโจว ให้รักษาการติดต่อเอาไว้ หากเกิดความผิดปกติขึ้นให้มารายงานทันที ครั้งนี้ต้องไม่ปล่อยให้เจ้านี่มันหนีรอดไปได้อีก!”

….

ขุนเขาสูงเส้นทางทอดยาวไกล ลึกเข้าไปในพงป่าริมถนน ขบวนเดินทางสิบกว่าคนนั่งพักผ่อนอย่างสงบ เป็นกลุ่มคนที่มุ่งหน้ามาเพื่อดำเนินตามแผนการขั้นที่สองของสำนักหยกสวรรค์

ปีกทองตัวหนึ่งโฉบลงมาจากบนท้องฟ้า มุดเข้าสู่ป่าดง

ไม่นานนักศิษย์คนหนึ่งนำจดหมายลับที่ถอดความแล้วเดินเข้ามาหา ประคองส่งให้ชายชราคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสองมือ “ผู้อาวุโสรอง จดหมายจากทางสำนักขอรับ!”

ชายชรามีนามว่าเฉิงหย่วนตู้ อายุร้อยกว่าปีแล้ว แต่ยังดูเหมือนอายุห้าสิบกว่า ผมเผ้ายังดำขลับ ผิวพรรณผ่องใส

สำนักหยกสวรรค์มีผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่ยังคงเหลืออยู่เพียงสองคนเท่านั้น ต่างมีลำดับอาวุโสอยู่ในชั้นอาจารย์ลุงของพวกเผิงโย่วไจ้ สภาวะลึกล้ำ ได้รับการเกื้อหนุนจากทั้งสำนักหยกสวรรค์ เป็นอาวุธทรงพลังที่สุดที่สำนักหยกสวรรค์จะใช้ต่อกรกับภายนอกได้

สองผู้อาวุโสได้สละอำนาจให้แก่ชนรุ่นหลังในสำนัก ทำงานเพื่อสำนักมานานหลายสิบปี มีสิทธิ์ที่จะได้เสพสุขสำราญ ได้รับการปรนเปรอโดยไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ใดๆ อีกต่อไป ทางสำนักก็จะทุ่มเททรัพยากรทุกชนิดให้อย่างเต็มที่ด้วย แค่เพียงตั้งใจบำเพ็ญเพียรไปเท่านั้น หากไม่มีเรื่องใหญ่ร้ายแรงอันใดของสำนัก ศิษย์ในสำนักจะไม่ไปรบกวนผู้อาวุโสทั้งสองให้ออกหน้าง่ายๆ

หลังจากเฉิงหย่วนตู้รับจดหมายไปอ่านก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยไปว่า “มีข่าวมาจากทางสำนัก สถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลง ให้เร่งเดินทางไปถึงจุดหมายโดยเร็ว”

ที่บอกว่าสถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลง ก็หมายถึงข่าวที่เฉินถิงซิ่วส่งกลับมายังสำนักหยกสวรรค์ บอกว่าหนิวโหย่วเต้าไปเข้าพบกับสามเจ้าสำนักใหญ่แห่งแคว้นเยี่ยนแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นบ้าง ขณะนี้ทางเฉินถิงซิ่วก็จนปัญญาจะจัดการหนิวโหย่วเต้าได้ สำนักหยกสวรรค์จึงเร่งดำเนินการตามแผนขั้นที่สองในทันที สั่งให้ทางนี้รีบมุ่งหน้าไป เตรียมตัวหาโอกาสลอบสังหาร!

“ขอรับ!” ศิษย์ทั้งหมดลุกขึ้นยืนประสานมือรับคำสั่งพร้อมกัน

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว เซ่าซานเสิ่งเร่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือ มอบจดหมายลับให้แก่เซ่าผิงปอที่ก้มหน้าขีดเขียนอยู่บนโต๊ะหนังสือ“คุณชายใหญ่ขอรับ มีข่าวมาจากทางสำนักหยกสวรรค์”

เซ่าผิงปอไม่ได้เงยหน้าขึ้น ขีดเขียนไปตามเรื่องราวของตนต่อไป ถามไปประโยคหนึ่ง “รู้แล้วหรือว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปที่ไหน?”

เซ่าซานเสิ่งส่ายหน้า “ยังไม่มีวี่แววเลยขอรับ ไม่รู้ว่าไปไหน ทั้งสำนักเหมือนจะตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไปแล้ว”

เมื่อเขียนจบและวางพู่กันลงแล้ว เซ่าผิงปอก็รับจดหมายลับไป แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนเปิดอ่าน กลับใคร่ครวญพลางเอ่ยกับตัวเองว่า “หนิวโหย่วเต้าจัดให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอยู่ที่ใดกันแน่?”

“หนิวโหย่วเต้าจะสนใจความเป็นความตายของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือขอรับ?”

“เขาไม่อยากสน แต่จ้าวสยงเกอออกหน้าแล้ว ในเมื่อจ้าวสยงเกอสั่งให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มุ่งหน้าไปหาเขาที่เมืองวั่นเซี่ยง แสดงว่าจะต้องเตรียมการไว้แล้วแน่นอน หาไม่แล้วคงไม่ต่างกับเรื่องเด็กเล่น จ้าวสยงเกอต้องมอบคำตอบให้สำนักสวรรค์พิสุทธ์ได้แน่นอน เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับนี้ของโลกบำเพ็ญเพียร ทั้งยังเป็นสำนักที่อีกฝ่ายห่วงใยอีก หนิวโหย่วเต้าไม่กล้าทะเลาะแตกหักด้วยง่ายๆ แน่นอน เกรงว่าคงยากจะปฏิเสธได้ จ้าวสยงเกอคนนี้มีเยื่อใยผูกพันกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาโดยตลอด น่าเสียดายที่ข้านำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้”

เซ่าซานเสิ่งลองเอ่ยเตือนไปประโยคหนึ่ง “ฐานกำลังของหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่มณฑลหนานโจว หรือว่าจะจัดให้ไปอยู่ที่หนานโจวอย่างลับๆ ขอรับ”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ข้าก็หวังให้หนิวโหย่วเต้าจัดแจงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอยู่ที่หนานโจวเช่นกัน แต่เขาไม่มีทางรนหาที่ตายใส่ตัว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย สำนักหยกสวรรค์ต้องฉวยโอกาสก่อเรื่องขึ้นมาก่อนแน่นอน คนผู้นี้ปล่อยให้ภรรยาที่เข้าพิธีด้วยกันอยู่ข้างกายข้ามาได้นานหลายปี ทั้งที่ทราบชัดเจนว่าข้าคิดจะลงมือกับถังอี๋แต่ก็ยังไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เย็นชาไร้อาลัย คนประเภทนี้มีเหตุมีผลไม่ใช่อารมณ์ ไม่มีทางทำเรื่องที่จะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง หากมีเพียงความตายที่รออยู่ ต่อให้จ้าวสยงเกอบีบคั้นเขาก็ไม่มีประโยชน์ น่าจะจัดแจงให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอยู่ที่อื่น แต่จะจัดให้ไปอยู่ที่ใดกันเล่า? จินโจวหรือว่าแคว้นฉี? จ้าวสยงเกอไม่กล้าเข้าไปคลุกคลีกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างเปิดเผย แต่หากพูดถึงสถานที่ที่หนิวโหย่วเต้าคุ้นเคยมีเส้นสายอยู่ มันก็ไม่พ้นไปจากสองที่นี้ ยังมีจะมีที่ไหนได้อีก? เจ้าให้คนคอยจับตามองสองที่นี้ไว้ให้มากหน่อย”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งตอบรับ จากนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอ่ยไปว่า “คุณชายใหญ่ ท่านจะไม่อ่านจดหมายจากสำนักหยกสวรรค์ก่อนหรือขอรับ”

เซ่าผิงปอระงับความคิดลง สายตามองไปยังจดหมายลับ หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายลับที่สำนักหยกสวรรค์ส่งมาจบ เขารู้สึกตกใจจนขนลุกชันไปทั้งตัว ลุกพรวดขึ้นมาเบิกตากว้าง ตัวงอในทันใด ยกแขนเสื้อปิดปากไอ “แค่กๆ” ไม่หยุด ไอจนหน้าเปลี่ยนสี

เซ่าซานเสิ่งรีบเดินเข้าไปหา ช่วยลูบแผ่นหลังให้เขา สีหน้ากังวลใจ

เนื้อความในจดหมายบอกว่า หนิวโหย่วเต้าอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตระเวนไปคารวะสามสำนักหลักของแคว้นเยี่ยนและสามสำนักหลักของแคว้นหาน เข้าพบผู้นำของหกสำนัก ใช้เวลาพบปะพูดคุยกับผู้นำแต่ละคนค่อนข้างนาน อย่างต่ำก็ครึ่งชั่วยามขึ้นไป

สำนักหยกสวรรค์บอกว่านี่มิใช่สัญญาณที่ปกติเลย หากไม่มีเรื่องใดที่สะกิดใจหกสำนักใหญ่ได้ ด้วยสถานะของผู้นำหกสำนักแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะพูดคุยกับหนิวโหย่วเต้าตามลำพังได้นานขนาดนี้ เผิงโย่วไจ้ประเมินจากตำแหน่งสถานะของตนดูแล้ว ต่อให้เป็นตัวเขาก็ไม่มีทางได้พูดคุยกับผู้นำสำนักใหญ่เหล่านั้นได้นานขนาดนั้น

ข่าวที่สำนักหยกสวรรค์ส่งมานับว่าเป็นการตอบแทนที่ทางนี้ช่วยแจ้งข่าวไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนฝั่งนี้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต้าอาจจะเตรียมเล่นงานมณฑลเป่ยโจวหรือเปล่า?

ตอนนี้สำหรับสำนักหยกสวรรค์แล้ว พวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้หนิวโหย่วเต้าได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต้าอาศัยประโยชน์จากมณฑลเป่ยโจวมาเอาใจหกสำนักใหญ่ หากทำให้สามสำนักหลักฝั่งแคว้นเยี่ยนพอใจได้จริง สำนักหยกสวรรค์กังวลว่าตนจะตกที่นั่งลำบาก จึงรีบแจ้งเตือนทางนี้หวังให้เตรียมการป้องกันโดยเร็ว

กระทั่งสำนักหยกสวรรค์ก็ยังมองออกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แล้วตอนที่เซ่าซานเสิ่งได้อ่านจดหมายลับ มีหรือที่เขาจะมองไม่ออก มณฑลเป่ยโจวถูกหนีบไว้ตรงกลางระหว่างหกสำนักใหญ่ ใต้หล้านี้มีสำนักใหญ่มากมายปานนั้น หนิวโหย่วเต้าไม่ไปหาสำนักอื่นแต่ดันไปหาหกสำนักใหญ่เหล่านี้ จะไม่ให้สงสัยว่าพุ่งเป้ามาทางนี้ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว

ว่ากันตามตรง หลังจากเซ่าซานเสิ่งได้อ่านจดหมายก็ขนหัวลุกเช่นกัน กังวลว่าจะกระทบต่อเซ่าผิงปอ ไม่ค่อยกล้าให้เขาเห็น แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ให้เซ่าผิงปอรับรู้ก็คงไม่ได้ ตอนนี้กระทบถูกจิตใจอย่างที่คาดไว้ ทำให้โรคเก่าของคุณชายใหญ่กำเริบขึ้นมาอีก!

เซ่าผิงปอที่สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีดอ้าปากหอบหายใจ ปล่อยแขนเสื้อออก ใช้ขอบแขนเสื้อเช็ดคราบเลือด ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “ครานี้ไอ้สวะแซ่หนิวมันคิดจะเล่นงานข้าให้ตาย!”

พอมองเห็นคราบเลือดตรงมุมปากเขา เซ่าซานเสิ่งก็รีบยกน้ำชายื่นให้เขา “คุณชายใหญ่สงบใจไว้ก่อนขอรับ เพียงไปพบหน้าเท่านั้น เรื่องราวอาจจะไม่ได้ไปถึงขั้นนั้นก็ได้”

เซ่าผิงปอยกแขนข้างที่ถือจดหมายลับอยู่ดันถ้วยน้ำชาออก ส่ายหน้ากล่าวไปว่า “ไม่น่าสั่งให้ลู่เซิ่งจงผลีผลามลงมือเลย แหลกหญ้าให้งูตื่นไปเสียแล้ว เกรงว่าเขาคงรู้แล้วว่าเป็นข้าที่คิดสังหารเขา รู้แล้วว่าข้าฉวยโอกาสแทรกแซงเข้าไปในหนานโจว เขารู้ซึ้งดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น หากฆ่าไม่ตายก็ต้องเป็นเขาที่ตาย แล้วเขาจะไม่คิดจัดการข้าได้อย่างไร? เขาเข้าพบหกสำนักใหญ่ ย่อมมิใช่เพียงเยี่ยมคารวะแน่ ต้องมีเป้าหมายอยู่แน่นอน”

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “อาจจะพุ่งเป้าไปที่สำนักหยกสวรรค์หรือเปล่าขอรับ?”

เซ่าผิงปอหันไปเอ่ยถามอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วที่ไปเข้าพบสามสำนักใหญ่แห่งแคว้นหานมันหมายความว่าอย่างไร? ไยต้องหลอกตัวเองอีก! ทางหนานโจวนั่น สำนักหยกสวรรค์แค่ถูกข้าปลุกปั่นเท่านั้น ต่อให้หนิวโหย่วเต้าต้องการสะสมกำลังเพื่อจัดการกับสำนักหยกสวรรค์ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะมีอำนาจในมือมากพอจะเข้าครอบครองหนานโจวแทนสำนักหยกสวรรค์ได้ เขาไม่มีทางลงมือกับสำนักหยกสวรรค์ เพราะแบบนั้นมันไม่สอดคล้องต่อผลประโยชน์ของเขา! ครั้งนี้เขาพุ่งเป้ามาที่ข้าแน่นอน”

เซ่าซานเสิ่งก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาแล้วเช่นกัน เอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ หกสำนักใหญ่ปกครองแคว้นเยี่ยนและแคว้นหาน มีตำแหน่งในหอเรือนสลัว ไหนเลยจะเชื่อฟังคำพูดเขา?”

ข้อมูลที่ทราบมีจำกัด แม้แต่เฉินถิงซิ่วที่อยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด เซ่าผิงปอจึงไม่สามารถวิเคราะห์ตัดสินได้เช่นกัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้ “คนผู้นั้นไม่มีทางทำเรื่องไร้ประโยชน์ ที่ไปเข้าพบหกสำนักใหญ่จะต้องมีความมั่นใจบางอย่างแน่นอน! ต้องตายกันไปข้างแล้วจริงๆ ครั้งนี้เขายังไม่ลงมือ แต่หากลงมือล่ะก็ มันจะต้องเป็นการจู่โจมที่ไม่ให้ข้าได้ตั้งตัวแน่!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ว่าพลางยันกำปั้นทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ ก้มหน้าหลับตาเอ่ยไปว่า “เหล่าเซ่า มีสองสามเรื่องที่เจ้าต้องไปเตรียมการ เรื่องแรก เตรียมการอพยพเหล่านักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นหลังผ่านการฝึกฝนมาแล้วเหล่านั้น ในยุคสมัยที่ใต้หล้าโกลาหลวุ่นวาย การมีบุคลากรที่สามารถวางแผนพัฒนาการปกครองได้อยู่ในมือนับเป็นต้นทุนสำหรับตั้งตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เรื่องที่สอง เจ้าไปตรวจสอบลู่ทางอพยพของพวกเราด้วยตัวเองอีกครั้ง เรื่องราวเกี่ยวพันถึงทางรอดสุดท้ายของพวกเรา ไม่สามารถยืมมือคนอื่นได้ เรื่องที่สาม ทางฝั่งเมืองหลวงแคว้นฉี สมัยที่พี่จ้าวยังอยู่ วิเคราะห์จากเบาะแสบางอย่างแล้ว ข้าคิดว่าการจัดการงานที่เมืองหลวงแคว้นฉีของหอจันทร์กระจ่างไม่ธรรมดา… ติดต่อไปหาหอจันทร์กระจ่าง ให้พวกเขาส่งยอดฝีมือมารับตัว บอกว่าต้องการให้มาคุ้มกันเพื่อส่งตัวบุคคลสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์โดยรวมของเมืองหลวงแคว้นฉี หอจันทร์กระจ่างจะต้องจัดการอย่างใส่ใจแน่นอน”

พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ เซ่าผิงปอก็โบกมืออย่างอ่อนแรง “ไปจัดการซะ!”

นี่เท่ากับเตรียมการไว้เผื่อกรณีเป่ยโจวถูกทำลาย! เซ่าซานเสิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “คุณชายใหญ่ สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ไฉนต้องจัดการถึงขั้นนี้ด้วยขอรับ?”

เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “ข้าทุ่มเทกายใจเพื่อเป่ยโจวมานานหลายปี แล้วจะให้ข้ายอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร! แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เตรียมการเผื่อไว้ในกรณีเลวร้ายที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”

เซ่าซานเสิ่งคิดตามก็พบว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า จึงพยักหน้ารับ จากนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลอีกครั้ง “ต้องแจ้งให้ทางนายท่านทราบด้วยหรือไม่ขอรับ?”

เซ่าผิงปอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้อง จะปล่อยให้ท่านพอรู้ไม่ได้ หากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น ถ้าอยากหนีรอดอย่างราบรื่น ก็จำเป็นต้องให้ท่านพ่อช่วยสกัดพวกเขาเอาไว้”

ดวงตาของเซ่าซานเสิ่งเบิกกว้างขึ้นมาหลายส่วน กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “จะ…จะสังเวยนายท่านหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอพลันหันขวับไปมอง “พูดเหลวไหลอะไรอยู่? หรือว่าในสายตาเจ้าข้าก็เป็นคนเช่นนั้นหรือ? ท่านพ่อควบคุมอำนาจทางการทหารของเป่ยโจว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ต้องการให้เป่ยโจวตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย ไม่ว่าท่านพ่อจะตกไปอยู่ในกำมือของผู้ใด คนเหล่านั้นก็ยังต้องพึ่งพาท่านพ่อทั้งสิ้น ไม่มีทางเกิดอันตรายใดขึ้นกับท่านพ่อแน่ แต่ลองนึกภาพดูสิ! หากข้าหนีไม่รอด ทั้งพ่อทั้งลูกก็จะไม่มีผู้ใดหนีรอด เจ้าพอจะเข้าใจหรือยัง?”

………………………………………………………………………..