บทที่ 455 ทำไมไม่เคยพูดเลยล่ะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 455 ทำไมไม่เคยพูดเลยล่ะ

บทที่ 455 ทำไมไม่เคยพูดเลยล่ะ

เสี่ยวเถียนมองท่าทางจริงจังของย่ารอง เธอไม่ได้ตอบตกลง หากแต่ก็ไม่ตอบปฏิเสธ

เรื่องของอนาคตไว้ว่ากันทีหลังแล้วกัน! เพราะมันตั้งอีกสักพัก ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ

หลังอาหารเย็น เด็ก ๆ ในบ้านล้อมวงฟังต่งหยวนจงเล่าเรื่องในช่วงสงคราม

ตอนชายชราเล่า เขาดูตื่นเต้นและมีความสุขมาก ถงซิงอันก็ฟังเรื่องเหล่านั้นเช่นกัน และเขาก็มีท่าทางหลงใหลเหมือนเด็กบ้านซูเลย

ฟ่านชูฟางมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางสนอกสนใจเหมือนเด็ก ๆ ก่อนยิ้มออกมาพร้อมส่ายหัว

เสี่ยวหยวนคนก่อนหน้านี้คิดเยอะเกินไป จึงโดนหมออู๋เอาเปรียบ

ส่วนถงซิงอันอายุยังน้อยไป ความเป็นเด็กของเขาเลยยังคงอยู่

ช่างเถอะ บนโลกใบนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก

ด้วยสถานะของเหล่าต่ง ความภักดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด! ส่วนคนอื่น ๆ ผ่อนปรนได้นิดหน่อย!

จนกระทั่งผู้อาวุโสเรียกกลับบ้าน พวกเด็ก ๆ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร แม้แต่ต่งหยวนจงเองก็เหมือนกัน

อุตส่าห์มีคนยอมฟังเรื่องเก่า ๆ ทำไมถึงต้องไปแล้วล่ะ?

เสี่ยวเถียนคิดว่าปู่ต่งไม่ใช่แค่เล่าเรื่องเก่งเท่านั้น แต่ยังมีพล็อตที่ชัดเจนอีกด้วย ไว้กลับมาเรียบเรียงหน่อยแล้วกัน

เสี่ยวเถียนยังคิดชื่อเรื่องไว้อีกด้วย ชื่อว่า ‘คุณปู่ต่งเล่าเรื่อง’

เพราะพวกเขาออกมาช้าเล็กน้อย พวกเสี่ยวเถียนจึงกลับบ้านทันที ไม่ได้ตรงไปที่ร้านอาหาร

พวกเขาคลาดกับหลี่ว์หรูหยาที่รออยู่ร้านอาหารมาตลอดช่วงบ่ายด้วย

หลี่ว์หรูหยารออยู่ที่นั่นกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน แต่พวกเสี่ยวเถียนก็ยังไม่กลับมา

พนักงานมองเขาด้วยความสงสัย เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่าผู้อำนวยการหูเข้าใจผิดหรือเปล่า

สาวน้อยคนนั้นเป็นศิษย์ของฉือเก๋อ แต่ไม่ใช่เจ้าของร้านนี้

หลี่ว์หรูหยาเห็นว่านอกจากตัวเองที่รอมาทั้งบ่าย ก็ยังมีอีกคนที่รออยู่ด้วยเหมือนกัน ทว่าเขาไม่ได้ดื่มแค่ชา แต่ยังกินข้าวด้วย

และหลังจากคนผู้นั้นกินข้าวเย็นเสร็จก็จากไปทันที

วันจันทร์

เด็ก ๆ บ้านซูไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่

พวกคุณปู่ส่งหลานเสร็จก็ไปที่ร้านต่อ

พอมาถึงประตู เหลียงซิ่วเห็นคนคนหนึ่งกำลังเข็นจักรยานมายืนอยู่ที่ประตูร้าน

เมื่อวานได้ยินพนักงานในร้านบอกว่ามีคนรออยู่ที่ร้านตอนบ่ายด้วย เธอเลยออกมาดู เหมือนว่าจะเป็นคนท่าทางแปลก ๆ ที่มาเมื่อวานนะ

เหลียงซิ่วตื่นเต้นทันที

เมื่อวานคนคนนี้อยู่ที่นี่นานที่สุด แต่ว่าทำไมวันนี้ถึงยังมาอีกล่ะ?

หรือว่าเขาจะชอบอาหารร้านเราก็ได้

แต่เหลียงซิ่วคิดว่ามันไม่น่าจะใช่อย่างนั้นนะ

แต่ต่อให้ชอบมากขนาดไหนก็ไม่น่ากินติดต่อกันได้นะ!

ตอนที่คนที่สามเดินมาเจอผู้อำนวยการหลี่ว์ อีกฝ่ายก็มองเห็นพวกเราแล้วเช่นกัน

หลี่ว์หรูหยาเห็นแล้วแต่ไม่รู้จัก ส่วนผู้อาวุโสทั้งสองเขาจำได้ตั้งแต่ครั้งแรก

ยิ่งเปิดประตูร้าน ความทรงจำยิ่งแจ่มแจ้ง

เขาลูบหัวตัวเอง แล้วเอ่ยทักทายข้าง ๆ จักรยาน

“สหาย สวัสดีครับ ขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นปู่ของซูเสี่ยวเถียนหรือเปล่า?” เขาถามอย่างสุภาพ

ในเมื่อเหล่าหูพูดแล้ว มันจะต้องเป็นเรื่องจริงแน่ ๆ

พิจารณาจากอายุของเด็กคนนั้น เธอน่าจะยังเรียนอยู่ ไม่มีทางอยู่ร้านตอนนี้หรอก

เขาโง่เอง เมื่อวานน่าจะถามไว้

ตอนที่กำลังจะเดินเข้าประตู เขามองผู้อำนวยการหลี่ว์ด้วยความประหลาดใจ

แต่หลังจากพิจารณาแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนนะ

ชายแปลกหน้าหน้าตาดูดีมาตามหาหลานของเขาทำไมกัน?

ตั้งแต่เสี่ยวเถียนเกือบโดนคนทำร้าย คุณปู่ซูระมัดระวังเรื่องพวกนี้มาก

“คุณคือ…”

เขายึดหลักที่ว่าเราจะไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง จึงเอ่ยถามด้วยท่าทีสุภาพ

จากนั้นผู้อำนวยการหลี่ว์นึกได้ว่าเขาลืมแนะนำตัวเองไป

ปกติก็คิดว่าตัวเองฉลาดนะ ทำไมถึงทำผิดพลาดในเวลาคับขันเสมอเลย?

เขารีบแนะนำตัวตัวและบอกจุดประสงค์ในการมา และเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ หลี่ว์หรูหยาหยิบนามบัตรออกมาด้วย

คุณปู่ซูครุ่นคิด “หลานสาวฉันไปโรงเรียนแล้วน่ะ ฉันไม่รู้ว่าเธอทำเรื่องนี้ได้หรือเปล่านะ”

“สหาย จริง ๆ แล้ววันนี้ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมารบกวนให้เสี่ยวเถียนแนะนำเรื่องนี้ให้คุณฉือเก๋อครับ”

ผู้อำนวยการหลี่ว์ดูร้อนรนเป็นอย่างมาก

เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว ถ้าหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผมบนหัวผู้อำนวยการได้หายหมดแน่

และฉือเก๋อก็เป็นคนที่เหมาะที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนจะเหมาะกว่าเด็กสาวที่ดูพึ่งพาไม่ได้นั่นอีก

“ฉือเก๋อหรือ!” คุณปู่ซูพึมพำ

“ใช่ครับ ผมอยากพบคุณฉือ” ผู้อำนวยการหลี่ว์ด้วยความตื่นเต้น

“แต่เขาไม่ค่อยยินดีเจอคนนอกเท่าไรนะ!” ชายชราไม่แน่ใจว่าสหายยินดีจะพบคนไม่รู้จักหรือเปล่า

“สหาย ผมไม่ปิดบังคุณหรอกนะ แต่คุณฉือเป็นคนเดียวที่ช่วยโรงงานของเราได้ในตอนนี้ครับ!”

ผู้อำนวยการหลี่ว์พูดอย่างจริงใจ และในไม่ช้าคุณปู่ซูก็เข้าใจปัญหาของโรงงานผ้าไหมด้วยคำบอกเล่าอันกระชับ

คุณปู่ซูเป็นชายชราหัวไว หลังจากได้ยินเรื่องราวก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจริง ๆ

เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้ารู้ก็คงไม่ตอบตกลงที่จะช่วยหรอก!

“ตอนบ่ายเขาน่าจะมานะ ไม่งั้นไว้ค่อยมาอีกรอบไหม?” ในที่สุดคุณปู่ก็แนะนำไปจนได้

เป็นบุญคุณกับผู้อำนวยการหลี่ว์เหลือเกิน

แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าคุณปู่คำนวณไว้แล้ว

เพราะจากมุมมองของคุณปู่ซู แทนที่จะปล่อยชายแปลกหน้าคนนี้ให้เจอเสี่ยวเถียน มันจะเป็นการดีกว่าถ้าให้เขาเจอฉือเก๋อตรง ๆ

คุณปู่ซูคิดว่าการที่ตนทำแบบนี้มันไม่ผิดปกติอะไร

ส่วนหลี่ว์หรูหยาไม่คิดว่ามารอบนี้จะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์กลับไปด้วย

ตอนนี้เขามองเห็นแสงตะวันอันเจิดจ้า

คุณปู่ซูมองอีกฝ่ายที่หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าทำไมผู้อำนวยการโรงงานในเมืองหลวงถึงโง่เขลาเช่นนี้

สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงผละตัวออกมา

มีคนยืนขวางอยู่หน้าประตู จะทำธุรกิจได้ยังไง?

ไม่ได้รู้เรื่องเลย!

ผู้อำนวยการหลี่ว์ไม่รู้ว่าตัวเองโดนดูแคลนสักนิด เขารีบขอบคุณแล้วจากไปอย่างพึงพอใจ

แถมยังคิดขณะเดินอีกว่าวันนี้ราบรื่นจริง ๆ

ทั้งยังคิดด้วยซ้ำว่าวันนี้เราอาจจะได้พบกับเขา และได้เกลี้ยกล่อมจนเขาตอบตกลงอย่างราบรื่นก็ได้

ผู้อำนวยการหลี่ว์กลับไปยังโรงงานผ้าไหมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ท่าทางร่าเริงนั้นทำให้คนไม่ชอบใจ โดยเฉพาะผู้อำนวยการหม่าที่ไม่ชอบอีกฝ่ายอยู่แล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งโมโห

และผลจากความโกรธทำให้เขามายืนหน้านิ่งขวางที่หน้าประตู

โชคดีที่ตอนนี้คนงานในโรงงานยุ่งกันอยู่ ไม่งั้นคงได้เห็นชายทั้งสองกำลังเผชิญหน้าอยู่ตรงนั้น

“นาฬิกาของผู้อำนวยการหลี่ว์ของเราพังหรือเปล่าเนี่ย?” ผู้อำนวยการหม่าถามด้วยความโมโห

ผู้อำนวยการหลี่ว์ฟังเข้าใจว่ามันหมายถึงเขามาสาย

“ผู้อำนวยการหม่า ดูสิ่งที่คุณพูดซี่ นาฬิกาผมเป็นแบรนด์เซี่ยงไฮ้แท้ ๆ เลยนะ ใช้ง่ายมากเลย!”

หลี่ว์หรูหยาพูดพร้อมจงใจโชว์หน้าปัดนาฬิกาให้ดู

นี่คือนาฬิกาแบรนด์เซี่ยงไฮ้รุ่นล่าสุด สวยกว่านาฬิการูปแบบเก่าบนข้อมือของหม่าว่านกั๋วเสียอีก

เดิมทีก็ไม่ชอบใจอยู่แล้ว ยิ่งเห็นมาอวดนาฬิกาเรือนใหม่ต่อหน้าอีก เขาก็ยิ่งทนไม่ได้

“มีอะไรก็พูด อย่ามาทำหน้ายิ้มแย้ม พวกเรากำลังคุยเรื่องที่คุณมาสายนะ!” ผู้อำนวยการหม่าผลักแขนตรงหน้าออก

“ผู้อำนวยการหม่า เมื่อเช้าผมออกไปธุระมา ผู้อำนวยการใหญ่เขาก็รู้!”

เพราะโดนผลักแขนจึงรีบชักกลับมาอย่างรวดเร็ว

เขาโดนผลักแขนได้ แต่จะให้นาฬิกาพังไม่ได้

หลี่ว์หรูหยาเหลือบมองผู้อำนวยการหม่าด้วยแววตาเยือกเย็น ลอบนึกในใจว่าไอ้คนแซ่หม่ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ รู้ดีแต่ทำตัวอวดเบ่งชาวบ้าน

โอกาสดี ๆ ก็ไม่รู้จักคว้าไว้ ดูสิ ทำกี่คนเขาเดือนร้อนขนาดไหนน่ะ?

“นี่ใช้ความเป็นรองผู้อำนวยการมาข่มขู่หรือ?” หม่าว่านกั๋วเอ่ยเสียงเย็น

“ไม่เลย ๆ ผมจำไว้เสมอว่าคุณเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานอันดับหนึ่ง!”

ปกติผู้อำนวยการหม่าจะเป็นคนพูดประโยคนี้ ทว่าหลี่ว์หรูหยากลับเอามาพูดแทน

“อย่าลืมเสียล่ะ ระเบียบวินัยของโรงงานอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน!”

“ถูกต้องแล้วครับที่รองผู้อำนวยการหม่ามีหน้าที่ดูแล แต่คุณก็อย่าลืมนะครับว่าผมก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรองผู้อำนวยการโรงงานอันดับหนึ่งเช่นคุณเหมือนกัน!”

ปกติถ้ารู้สึกหม่าว่านกั๋วทำผิดหรือคิดว่าตนต้องทำอะไรสักอย่าง เขาจะทำทันทีและก็มีความมั่นใจมากเลยด้วย

แต่ปกติไม่เผชิญหน้าแบบนี้หรอกนะ ทว่าตอนนี้กลับทำมันออกมา

คาดไม่ถึงเลยว่าผู้อำนวยการหลี่ว์จะดูหมิ่นขนาดนี้

โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนงานสองสามคนเดินผ่านไป หม่าว่านกั๋วใบหน้าดำมืด

“ผู้อำนวยการหม่า ผมขอเตือนคุณหน่อยแล้วกัน พ่อค้าชาวเยอรมันกำลังจะมาในอีกสี่วันข้างหน้า ทางคุณหาล่ามได้หรือยังล่ะ?” ผู้อำนวยการหลี่ว์ไม่คิดต่อเถียงจึงเข้าประเด็นทันที

ผู้กำนวยการหม่า “….”

“ถ้าหาไม่พบคงต้องเลื่อนการประชุมออกไปนะ และพวกเราก็ไม่สามารถรับผิดชอบได้ด้วย!”

ความโอหังของผู้อำนวยการหม่าถูกสกัดไว้ทันที เขาได้แต่กัดฟันด้วยความจงเกลียดจงชัง ทั้งยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้ยังไงดีด้วย

แววตาขุ่นมัวจ้องเหม็งไปยังใบหน้าอิ่มเอมใจ แทบจะกัดฟันตายแล้ว

เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องไปหาผู้อำนวยการใหญ่ และส่งไอ้คนแซ่หม่ามันออกไปให้ได้

คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือ? งั้นทำให้ดูหน่อยสิ

อยากจะเห็นนักว่าไอ้คนมากความสามารถมันจัดการเรื่องนี้ได้น่ะ

เขาหาคนเก่ง ๆ ในเมืองให้วุ่น ถามกี่คน ๆ ขอความช่วยเหลือกี่คน ๆ แต่ไม่สำเร็จสักคนเลย

หลี่ว์หรูหยาได้ใช้ปากแล้ว เขาอารมณ์ดีขึ้นมาก ชายหนุ่มฮัมเพลงอย่างภูมิใจและเดินไปยังห้องทำงาน

ตอนเดินผ่าน จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเดินเข้าไปในห้องนั้น

ผู้อำนวยการโรงงานเป็นชายชราวัยห้าสิบเศษ มีผมบาง ๆ บนศีรษะขาวล้วน เขาทำงานหนักเพื่อโรงงานผ้าไหมมาหลายปี

“เสี่ยวหลี่ว์ มีอะไรหรือ?” ผู้อำนวยการกำลังปวดหัวเลยอารมณ์ไม่ดีสักนิด

หลี่ว์หรูหยานั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม และรายงานความคืบหน้าของงานในช่วงสองวันที่ผ่านมา

ตอนนั้นเขาขยับเข้าไปใกล้แล้วบอกเสียงเบา ๆ ว่า ตอบบ่ายจะไปพบคุณฉือเก๋อ

“ฉือเก๋อ? แน่ใจนะว่าจะได้พบเขาน่ะ?” ผู้จัดการโรงงานก็ตื่นเต้นเช่นกัน

เพราะปัญหาเรื่องล่าม หลายวันนี้ผมของเขาแทบจะร่วงจนล้านแล้ว

แต่คนที่ไปช่วยหาต่างก็บอกว่าตอนนี้ฉือเก๋อไม่พบปะคนภายนอก ส่วนคนอื่น ๆ ไม่เก่งพอจะเป็นล่ามหน้างานได้เลย ความสามารถอยู่ในเกณฑ์ต่ำกันทั้งนั้น

พอได้ยินว่าจะให้ไปเป็นล่ามหน้างานก็ปฏิเสธแถมยังบอกอีกว่า ถ้ารับงานนี้ สู้ให้คุณฉือออกจากบ้านมาคงจะดีกว่า แต่อีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งยังปิดประตูรับแขกแล้วด้วย ไม่ยอมพบใครเลย

เขาถามตัวเองว่าตนมีความสามารถพอจะเชิญเขามาหรือเปล่า

หลายวันนี้มาชายวัยกลางคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กังวลมากจนต้องไปขอความช่วยเหลือจากแผนกการแปล

“ผู้อำนวยการครับ ผมได้ยินว่าคุณฉือจะไปสถานที่นึงตอนบ่าย! ผมว่าจะลองเสี่ยงดู เผื่อว่าจะมีโชคก็ได้นะ?” หลี่ว์หรูหยายิ้ม

“ลองเสี่ยงดูเลย!” ชายวัยกลางคนที่เดิมทีหมดความสนใจไปแล้ว ตอนนี้ได้กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง

หลี่ว์หรูหยาหยุดไปครู่หนึ่ง “ผู้อำนวยการ ผมได้ยินมาว่าเหมือนรองผู้อำนวยการหม่าจะเคยพบคุณฉือนะครับ!”

พูดแค่ครึ่งเดียวก็พอแล้ว

ผู้อำนวยการโรงงานแปลกใจมาก หม่าว่านกั๋วเคยพบคุณฉือหรือ?

แล้วทำไมเขาไม่เคยพูดออกมาเลยล่ะ?