บทที่ 510 ข่าวลือมากมาย

ข่าวลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่ก็มาถึง เขาเคาะประตูบ้านอีกครั้ง ฮูหยินเฉินนั้นยังคงยืนยันว่าจะไม่ให้คนจากศาลต้าหลี่เข้าไปชันสูตรศพบุตรชายอย่างเด็ดขาด

“ปล่อยให้บุตรชายข้าจากไปเงียบๆ เถอะ อย่าได้รบกวนเขา” นางอ้อนวอน

“ฮูหยิน หากบุตรชายของท่านโดนฆาตกรรมจริง เขาจะจากไปได้อย่างสบายใจก็ต่อเมื่อพบคนร้ายตัวจริงแล้วเท่านั้น” เจ้าหน้าที่กล่าวอย่างอ่อนโยน แต่ฮูหยินเฉินยังคงต้องการจะปิดประตู ไม่ต้อนรับ

“ข้าจะหาตัวคนร้ายเอง ไม่ต้องรบกวนพวกท่าน…”

เจ้าหน้าที่รีบขวางประตูไว้

“ฮูหยิน มีคนมาแจ้งเรื่องคดีแล้ว พวกเรามีหน้าที่รับผิดชอบดังนั้นได้โปรดให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ด้วย” ท่าทีของเจ้าหน้าที่แข็งกร้าวมาก ฮูหยินเฉินจึงทำได้เพียงพูดว่า

“ข้าต้องการพาบุตรชายกลับบ้านที่ชิงเหอ เขาถูกเผาไปแล้ว”

ทุกคนได้ฟังก็ตกใจมาก เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยที่ได้ยินรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ การเสียชีวิตของเฉินเหวินหานค่อนข้างแปลกมาก เหตุใดนางเฉินจึงเผาศพของบุตรชายอย่างรีบร้อนเช่นนี้? เรื่องนี้มีกลิ่นไม่ชอบมาพากล

“เขาถูกเผาเมื่อไหร่” เจ้าหน้าที่ถาม

“เมื่อเช้านี้”

“ฮูหยิน เราขอเข้าไปดูหน่อย”

แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่คนเหล่านี้มาจากศาลต้าหลี่ นางจึงต้องเปิดประตู ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป เจ้าหน้าที่ค้นหาไปทั่วบ้านเช่าหลังเล็กๆ

เขาเห็นเถ้าและรอยไม้ที่ประตู จากนั้นก็พบคราบเลือดเก่าสีแดงเข้ม พวกเขาค้นข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของผู้ตายแต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไร

“บุตรชายข้าถูกวางยาพิษที่กั๋วจื่อเจี้ยน พวกท่านควรไปที่สำนักศึกษาไม่ใช่หรือ จะมาค้นหาหลักฐานที่บ้านของข้าได้อย่างไร?” ฮูหยินเฉินร้องไห้

เจ้าหน้าที่จากศาลต้าหลี่ไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนอีกครั้งเพื่อค้นห้องพักของเฉินเหวินหาน

“ห้องนี้ถูกเก็บกวาดแล้วหรือ?” เจ้าหน้าที่ซักถาม

“เมื่อวานนี้ตอนมารดาของเหวินหานมา นางก็เก็บข้าวของกลับไปหมด” สหายร่วมห้องที่อยู่กับเฉินเหวินหานให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม

สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งรออยู่ที่ด้านนอกของประตู ในเวลานี้พวกเขาไม่สนใจที่จะอ่านตำราอีกต่อไป

ในขณะนั้นเองมีคนผู้หนึ่งกระโดดโลดเต้นมาตามทาง เขาคือจ้าวจิ่งซวน เด็กหนุ่มเดินมาด้วยด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขาประหลาดใจเมื่อเห็นสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

“พวกเจ้าไม่เข้าเรียนหรือ เหตุใดจึงมาที่นี่?” จ้าวจิ่งซวนถาม สวี่เจวี๋ยกลอกตา เขาไม่อยากคุยกับจิ่งซวน

“เฉินเหวินหานเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามอย่างเป็นกันเอง

“เขาจากไปแล้ว” เว่ยจื่ออั๋งตอบ ทำให้จ้าวจิ่งซวนผงะ

ไปแล้ว?

หมายความว่าอย่างไรไปแล้ว?

“เจ้าหมายความว่า เฉินเหวินหานตายแล้วหรือ?” จ้าวจิ่งซวนถามอย่างยากลำบาก จื่ออั๋งพยักหน้ารับ

เสียชีวิตแล้ว?

เหตุใดจึงตายกระทันหันแบบนี้?

จ้าวจิ่งซวนหน้าซีด เขานั่งลงที่ข้างๆ เว่ยจื่ออั๋งด้วยท่าทีอ่อนแรง

เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ค้นหาตามห้องอีกครั้ง เขาพบศิษย์ของคนที่ใกล้ชิดกับเฉินเหวินหาน และพวกเขาก็เรียกคุยตามลำพังเพื่อสืบหาเบาะแส เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเองก็อยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย โดยที่สวี่เจวี๋ยเป็นคนเข้าไปให้ปากคำก่อน

“พี่เฉินยังดูสบายดีเมื่อวันก่อน จู่ๆ เช้าวานนี้เขาก็เป็นลมในชั้นเรียน ข้ากับจื่ออั๋งจึงช่วยพาเขาไปที่ห้อง ประมาณหนึ่งเค่อต่อมาหมอก็มาล้างยาพิษให้เขา เหวินหานอาการดีขึ้นมาก วันนี้หมอบอกว่าจะกลับมาดูอาการเขาอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่า…”

“ในกั๋วจื่อเจี้ยนมีคนที่ไม่ถูกกับเฉินเหวินหานไหม?”

“ไม่ พี่เฉินเป็นคนที่ตั้งใจเรียน ไม่สร้างศัตรูกับใคร”

“เจ้าคิดว่ามีใครน่าสงสัยไหม?”

สวี่เจวี๋ยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังก่อนจะส่ายศีรษะ หลังจากที่สวี่เจวี๋ยเดินออกไปเว่ยจื่ออั๋งก็เข้ามาแทน คำตอบทั้งหมดเกือบจะเหมือนของสวี่เจวี๋ย หลังจากนั้นอีกห้าคนก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนวันที่เฉินเหวินหานจะถูกวางยาพิษเขาทะเลาะกับจ้าวจิ่งซวน และจ้าวจิ่งซวนก็เพิกเฉยกับเขา

จ้าวจิ่งซวนเป็นองค์ชาย และถ้าองค์ชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ล่ะก็…

คราวนี้ศาลต้าหลี่จึงให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นอย่างมาก พวกเขารีบรายงานกลับไปที่ศาลทันทีโดยมีกู้หวนเนี่ยนรับผิดชอบคดีนี้ไว้เป็นการส่วนตัว

คดีนี้หาหลักฐานได้ยากมาก…

เนื่องจากไม่มีศพทำให้ไม่สามารถชันสูตรศพได้ ที่พักของผู้ตาย ถูกทำลายจนแทบไร้ร่องรอยใดๆ

ไม่สามารถระบุได้ว่าเขาได้ยาพิษมาจากไหน อีกทั้งคนในครอบครัวของผู้ตายก็ไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้การสืบสวนครั้งนี้เป็นไปอย่างคลุมเครือ ในช่วงนั้นจึงได้เกิดข่าวลือขึ้นมากมาย

“เจ้าได้ยินไหมว่าศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนถูกวางยาพิษจนตาย”

“ว่ากันว่าองค์ชายหกเป็นคนวางยาเขา ทั้งสองไม่ค่อยถูกกัน ก่อนหน้าที่เขาจะถูกวางยาพิษพวกเขาทะเลาะกัน!”

“ข้าได้ยินมาว่า องค์ชายหกมีชื่อเสียงด้านดื้อรั้น และไม่ชอบเรียนหนังสือ ทั้งยังโง่เขลาอีกด้วย”

“เหตุใดองค์ชายหกถึงไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวงเล่า โดยปกติแล้วองค์ชายควรได้เรียนอยู่ในวังหลวงไม่ใช่หรือ?”

“เพราะอาจารย์ที่กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นท่านลุงขององค์ชายหกนั่นแหละ”

“เป็นไปได้ว่าองค์ชายหกไม่ได้ปฏิบัติอยู่ในระเบียบวินัยของกั๋วจื่อเจี้ยนเลย”

“ข้าว่าการถามหาความยุติธรรมให้ศิษย์คนนั้นคงเป็นไปอย่างยากลำบาก”

“แต่ต่อให้เป็นองค์ชายทำผิดก็ต้องโทษเหมือนคนทั่วไป การเป็นองค์ชายใช่ว่าจะฆ่าคนได้นะ”

ภายใต้ข่าวลือที่แพร่ออกไป ทุกคนเอาแต่จินตนาการถึงเรื่องที่เกิด ประมาณว่าองค์ชายที่ร้ายกาจทำเรื่องชั่วร้ายในสำนักศึกษาและมีท่านลุงเป็นคนหนุนหลัง ศิษย์ทุกคนที่ถูกเขารังแกไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับเท่านั้น กั๋วจื่อเจี้ยนที่ทรงเกียรติแห่งราชวงศ์โจวถูกทำลายชื่อเสียงลงอย่างย่อยยับ

“ใต้เท้า ควรทำอย่างไรดีขอรับ” เจี้ยนเฉิงถาม

“ข้าคิดว่ามีคนจงใจพุ่งเป้ามาที่กั๋วจื่อเจี้ยน”

พวกเขารู้ว่าถึงแม้องค์ชายหกจะศึกษาในสำนักก็ใช่ว่าจะได้รับการยกเว้น อีกทั้งท่านลุงของเขายังเข้มงวดมากอีกด้วย

“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปชื่อเสียงของกั๋วจื่อเจี้ยนโดนทำลายแน่นอน” ซื่อเย่กล่าว

เหลียงหยูไม่มีแรงที่จะพูดแล้ว ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ ความคิดของผู้คนจะไปไกลถึงเพียงนี้

“ใต้เท้าเราควรทำอย่างไรดี” เจี้ยนเฉิงถามอีกครั้ง

“เมื่อศาลต้าหลี่หาความจริงได้ ความยุติธรรมจะคืนแก่เราเอง” เหลียงหยูกล่าว

“แล้วเมื่อไหร่ที่การสืบสวนจะเสร็จ ตอนนี้ใกล้จะสอบชุนเหวยแล้ว สภาพจิตใจของศิษย์ในสำนักได้รับผลกระทบแล้ว” ซื่อเย่พูด

“สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือต้องปลอบโยนศิษย์ทั้งหลาย พวกเขาเรียนมาอย่างหนักหลายปี ดังนั้นต้องไม่ให้มีผลกระทบกับพวกเขาได้”

สำหรับคนอื่นแล้วพวกเขาทำได้แค่รอคำตัดสินจากศาลต้าหลี่เท่านั้น แต่จ้าวซิ่งจวนดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าเรียนตรงเวลาทุกวัน ในตอนที่ฟังอาจารย์บรรยายก็จะง่วงงุนเหมือนเช่นปกติ

ศิษย์หลายคนตีตัวออกห่างจากจ้าวซิ่งซวน ไม่เว้นแม้แต่เกาเฉิงที่มักจะคอยประจบประแจงเขา ทันทีที่เห็นเขาก็จะเลี่ยงตลอด ตรงกันข้ามกับสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย พวกเขาเยาะเย้ยเมื่อตอนที่สมควรจะเยาะเย้ย

“น้องสวี่ น้องเว่ยอย่ายั่วโมโหเขาเลย พวกท่านไม่เห็นหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเหวินหาน” คนอื่นๆ โน้มน้าวเขา

“ผลคำตัดสินจากศาลต้าหลี่ยังไม่ออกมาเลย พี่จูอย่าเพิ่งคาดเดาไปเลย” สวี่เจวี๋ยกล่าว

“เฮ้ ข้าเตือนเพื่อตัวพวกเจ้านะ”

“ความตั้งใจของพี่จูนั้นน่าชื่นชมมาก แต่ทว่าในฐานะศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว พวกเราไม่ควรฟังความข้างเดียวหรือเชื่อในสิ่งที่คนอื่นกล่าว เราควรเชื่อหลักฐานจึงจะถูกต้อง” สวี่เจวี๋ยพูดต่อ

ชายคนนั้นรู้สึกว่าสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งนั้นพูดไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงไม่สนใจที่จะพูดคุยกับพวกเขาอีก เขาจึงได้หันหลังเดินจากไป