ตอนที่ 469 ไม่ใช่น้องชายสุดที่รักของท่านอีกแล้ว
เจียงโม่หานยังไม่วางใจ เขาดึงดันจะไปตามหมอมาตรวจอาการของนาง หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธไม่ได้จึงยอมให้หมอมาตรวจอาการแต่โดยดี หลังจากที่หมอบอกว่านางไม่เป็นไรแล้ว เจียงโม่หานถึงได้วางใจ
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร ยังรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจอาการอีก ! ” หลินเว่ยเว่ยมองค้อนเขาไปหนึ่งที แต่ในใจของนางรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก “พวกเจ้าไปนอนพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด ข้าจะไปทำอาหาร ! ”
เจียงโม่หานเข้ามาขวางนางไว้แล้วกล่าวว่า “ข้าทำอาหารเย็นเอง เจ้าไปนอนพัก…”
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าเขาเป็นห่วงจึงตอบว่า “ถ้าเจ้าไม่เหนื่อยก็มาเป็นลูกมือข้าสิ ! ”
มื้อเย็นนี้นางหุงข้าวแล้วทำกับข้าวง่าย ๆ สองอย่าง จานหนึ่งเป็นผัดแฮม อีกจานคือผัดผัก ข้าวที่นางใช้หุงเป็นข้าวขาวที่เพิ่งเกี่ยวมาจากมิติน้ำพุวิญญาณจึงมีความสดใหม่ ดังนั้นจึงให้รสชาติอร่อยกว่าข้าวเก่าที่ซื้อมา
บัณฑิตทั้งสามกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย หลินจื่อเหยียนกินข้าวคำโตพลางกล่าวไปด้วยว่า “พี่รอง ข้าวนี้อร่อยมาก ! คงแพงมากเลยใช่ไหม ! ”
หลินเว่ยเว่ยตักข้าวให้บัณฑิตน้อยแล้วคีบแฮมใส่ชามของเขาพลางกล่าว “พวกเจ้าคงทำข้อสอบมาอย่างเหน็ดเหนื่อย อาหารที่ข้าทำให้ย่อมเลือกวัตถุดิบอย่างดีที่สุด ! สมแล้วที่เมืองเหอโจวเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งแดนเหนือ อยากซื้ออยากหาอะไรก็ล้วนมีครบครัน ! ”
หลินจื่อเหยียนกินข้าวหมดไปสามชาม หลังจากตักข้าวก้นหม้อกินจนเกลี้ยงแล้ว เขาถึงได้ลูบหน้าท้องอย่างพึงพอใจ “พี่รอง ที่พักในสนามสอบไม่เหมือนสถานที่ให้คนอยู่ได้เลย ส่วนเรื่องอาหารการกินยังดีที่มีบะหมี่สำเร็จรูปที่ท่านเตรียมให้ แค่ต้มน้ำร้อนใส่ก็กินอิ่มท้องได้แล้ว แต่ยามนอนหลับนี่สิ ขายาว ๆ ของข้าแทบจะไม่มีที่เหยียด สามคืนมานี้ข้านอนลำบากเหลือเกิน ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองค้อนน้องชาย “ขาของเจ้ายาวเท่าขาของบัณฑิตน้อยหรือเปล่า ? เขายังไม่บ่นสักคำ แต่เจ้าบ่นจุกจิกเสียแล้วหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนถอนหายใจออกมา “พี่รอง นับแต่ที่ท่านหมั้นหมายกับศิษย์พี่เจียง ข้าก็ไม่ใช่น้องชายสุดที่รักของท่านอีกแล้ว…”
“เดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะน้องชายสุดที่รักของข้าคือน้องสี่ต่างหาก ! ” หลินเว่ยเว่ยเตะขาของน้องสามเบา ๆ “ไปล้างจาน ! ”
หลินจื่อเหยียนมองนางอย่างน้อยใจ “พี่รอง ข้าคือผู้เข้าสอบ ผู้เข้าสอบเชียวนะ ! ”
“ผู้เข้าสอบแล้วอย่างไร ? ไม่ได้แขนหรือขาขาดเสียหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่ใส่ใจเขาเลยสักนิด
เผิงหยูเหยี่ยนดึงหลินจื่อเหยียนที่กำลังปฏิเสธการล้างจานเอาไว้…สำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว ไม่มีใครสู้นางได้ เจ้าเด็กแซ่หลินผู้นี้ก็รู้ดีว่าอาจไปกระตุกหนวดแม่เสือ แต่ก็ยังยอมโดนเสือตะปบ ?
ข้าวขาวที่ปลูกในมิติน้ำพุวิญญาณไม่เพียงอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วย ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกว่าตนกลับมามีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้พลันมลายหายไปจนสิ้น ไม่มีท่าทีอ่อนล้าเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ในที่สุดเจียงโม่หานก็วางใจได้เสียที เด็กน้อยผู้นี้บอกว่าเหนื่อยทั้งที่นางมีพละกำลังซึ่งคนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ต่อให้นางทำงานหนักสามวันสามคืนก็ไม่เคยมีสภาพเช่นนี้มาก่อน เขาจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าช่วงสามวันนี้นางไปทำอะไรมา
หลินเว่ยเว่ยถามไถ่ถึงการสอบสนามแรกของพวกเขา เจียงโม่หานย่อมมีความมั่นใจในตนเองอยู่แล้ว ทว่าหลินจื่อเหยียนถอนหายใจออกมา เขาคิดว่ายังตอบคำถามได้ไม่ดีพอ ส่วนเผิงหยูเหยี่ยนคิดว่าตนตอบได้ตรงตามเกณฑ์ ไม่ได้น่ากังวลอะไรมากนัก
แต่การจะสอบผ่านหรือไม่นั้น ความชื่นชอบในการตอบคำถามของผู้ตรวจข้อสอบ ผู้วิจารณ์และผู้ควบคุมการสอบทุกท่านเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นก่อนสอบเจียงโม่หานได้วิเคราะห์รูปแบบการเขียนคำตอบของผู้เข้าสอบหลายคน รวมถึงรูปแบบการเขียนคำตอบของบัณฑิตหยวนซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งใจเขียนคำตอบอย่างจริงจังและเคร่งครัด โดยเฉพาะบัณฑิตหยวนผู้นั้น ปกติมักจะเขียนบทความอย่างระมัดระวังและเคร่งครัดมากจนแทบไม่มีช่องโหว่เลย ในยามที่ต้องชี้แนะพวกหลินจื่อเหยียนแล้วเจียงโม่หานจึงละทิ้งเรื่องวาทศิลป์ไปและเน้นย้ำเรื่องความจริงจังของข้อความที่สื่อลงไปแทน
…
การสอบสนามที่สองและสนามที่สามก็จบลงด้วยความทรมานของผู้เข้าสอบนับไม่ถ้วน ในที่สุดการสอบระดับเซียงซื่อก็จบลงเสียที ยามที่พวกเขาออกจากสนามสอบมานั้นก็พบว่าฝนกำลังตกหนัก เจียงโม่หานยังคงเป็นผู้เข้าสอบกลุ่มแรกที่เดินออกมา ขณะเดียวกันหลินเว่ยเว่ยได้เบียดฝูงชนเข้ามาหาแล้วยื่นร่มให้เขา
และในยามนี้เอง ด้านนอกของกลุ่มคนที่มากับผู้เข้าสอบก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น หลินเว่ยเว่ยเงี่ยหูฟังจึงได้ยินเสียงคนตะโกนมาว่า ‘ชนะแล้ว ! ชนะแล้ว ! ’ ท่ามกลางเสียงฝนที่โหมกระหน่ำลงมา
เจียงโม่หานดึงตัวนางมาข้างกาย เขากางร่มให้นางแล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูว่า “กองทัพชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือได้รับชัยชนะ สามารถขับไล่พวกตงหูกลับไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าได้แล้ว…”
“ที่แท้ก็รบชนะ สมควรแล้วที่พวกเขาจะโห่ร้องอย่างยินดี วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ นอกจากเหล่าบัณฑิตได้ผ่านพ้นวันแห่งความมืดมนช่วงการสอบเซียงซื่อแล้ว ยังมีข่าวดีเรื่องชัยชนะศึกอีก กลับไปต้องจัดงานฉลองใหญ่ให้พวกเจ้าแล้ว” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยได้เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่รู้ว่าหมินอ๋องซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ? ทหารในกองทัพของราชวงศ์จะบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากหรือไม่…”
เจียงโม่หานมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึมแล้วถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นห่วงเขาหรือ ? ”
“ห่วงใคร ? ” หลินเว่ยเว่ยชะงักเล็กน้อยแล้วย้อนถามเขา “เจ้าหมายถึงหมินอ๋องซื่อจื่อหรือ ? ถึงอย่างไรเขาก็มีวาสนาต่อเรา ได้พบหน้ากันอยู่หลายครั้ง…อีกอย่างก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะช่วยเขาจากมนุษย์โอสถ ! ยิ่งไปกว่านั้นคือหมินอ๋องซื่อจื่อเป็นวีรบุรุษของแผ่นดินและราษฎร เป็นผู้ที่ทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง หากคนสำคัญเช่นเขาต้องมีอันเป็นไปในสนามรบ การที่คนผมขาวต้องมาฝังร่างของคนผมดำผู้เป็นบุตรหลาน คงน่าปวดใจไม่น้อย ! ”
“เจ้าถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ? คงไม่คิดว่าข้าชอบเขาใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยจ้องอีกฝ่าย “แม้จะบอกว่าหมินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นมีรูปโฉมไม่เลว อีกทั้งยังมีฐานะสูงส่งและยังเป็น ‘ชายโสดเพชร’ แต่ก็แค่นั้น…เพราะเมื่อเทียบกับรูปโฉมของเจ้าแล้ว เขายังตามหลังอยู่มากโข ! เมื่อเทียบกันแล้วข้าชอบ ‘หุ้นที่น่าลงทุน’ แบบเจ้ามากกว่า ! ”
“ชายโสดเพชร ? หุ้นที่น่าลงทุน ? ” เจียงโม่หานยกยิ้ม น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความสงสัย เด็กน้อยมักจะชอบพูดจาประหลาด แต่ยังดีที่นางรู้จักวางท่าทีต่อหน้าผู้อื่น
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเสียงแห้ง “ไม่มีอะไรหรอก มันก็ความหมายเดียวกับ ‘เขยเต่าทองคำ1’ อะไรทำนองนั้น…หืม ? ต้าฮว๋ากับพี่เขยใหญ่ออกมาแล้ว ข้ายังมีร่มอีกคัน รีบเอาไปให้พวกเขาเถิด…”
หลินจื่อเหยียนก็เห็นพวกนางแล้วเช่นกัน…ด้วยความสูงและรูปโฉมที่โดดเด่นของเจียงโม่หาน ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนก็ล้วนทำให้ผู้คนยากที่จะเมินเฉยได้ ในตอนที่แหวกฝูงชนมาหาหลินเว่ยเว่ยได้แล้ว หลินจื่อเหยียนก็ตัวเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำ
“ฝนตกหนักมาก ! ” หลินจื่อเหยียนรับร่มมาถือไว้ เขาเช็ดน้ำฝนบนใบหน้าแล้วกล่าวว่า “โชคดีเหลือเกินที่ฝนตกหลังสอบเสร็จ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องมีกี่คนที่เจ็บปวดใจจนน้ำตาไหลออกมา ! ”
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น ? ” เจียงโม่หานคอยปกป้องหลินเว่ยเว่ยจากผู้คนที่เดินเบียดสวนกันไปมา วันนี้ฝนตกหนักมาก ผู้คนถือร่มเดินเบียดกัน หากไม่ระวังก็อาจทำให้น้ำที่ไหลลงมาจากร่มโดนเสื้อผ้าผู้อื่นได้
หลินจื่อเหยียนตัวเปียก อีกทั้งยังตัวไม่สูงมากนัก การถือร่มท่ามกลางฝูงชนอาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องยาก สุดท้ายเขาจึงหุบร่มแล้วเอามือป้องศีรษะวิ่งฝ่าสายฝนไป จนกระทั่งมาเจอชายคาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาถึงได้ตอบคำถามของพี่รอง
“ห้องพักในสนามสอบทรุดโทรมมาช้านานแล้ว ต่อให้นำผ้าใบกันฝนไปด้วยก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะกันฝนได้หรือเปล่า พี่รอง ท่านลองคิดสิ ถ้ากระดาษคำตอบที่เราเฝ้าเขียนมาอย่างยากลำบากต้องขาดเพราะเปียกฝน เช่นนั้นได้น้ำตาตกในแน่นอน ! ”
[i]
1 เขยเต่าทองคำ หมายถึง สามีที่มีฐานะร่ำรวย