ตอนที่ 499 ไล่ออกจากบ้านเช่า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 499 ไล่ออกจากบ้านเช่า

ครอบครัวของหม่าเทาซ่อนตัวอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายวัน แม้แต่โรงแรมคุณภาพเลวที่สุดก็ยังต้องเสียเงินจ่าย

หม่าเทาถูกผู้จัดการโรงงานไล่ออกเพราะเขามีประวัติอาชญากรรม

พอตกงาน ก็เท่ากับสูญเสียรายได้หลักไป

เวินหงเหมยยังมาขโมยเงินเก็บของครอบครัวไปจนหมด ทำให้ทุกอย่างยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา สามพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในโรงแรมคุณภาพแย่ที่ทั้งสกปรกและทรุดโทรม ต้องทนหิวโหยมาหลายวันแล้ว

พวกเขารอให้ถึงช่วงพลบค่ำ จากนั้นก็แอบย่องกลับไปที่บ้านเช่าหลังเดิม สอบถามจากเพื่อนบ้านว่าเวินหงเหมยกลับมาหาพวกเขาบ้างหรือไม่

เพื่อนบ้านบอกว่าไม่ หม่าเทาเลยพาพ่อแม่ของเขากลับเข้าไปในบ้าน

แม่หม่าบ่นกับหม่าเทาด้วยใบหน้าที่ดำคล้ำ “นังแพศยาแซ่เวินนั่นขโมยเงินเก็บของครอบครัวเราไป เรายังไม่เอาเรื่องนี้ไปแจ้งความด้วยซ้ำ แล้วหล่อนจะกล้าแจ้งความเรื่องที่พวกเราทุบตีหล่อนได้ยังไง? ถ้าเอาแต่กลัวอยู่อย่างนี้ก็คงไม่พ้นต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่อื่นอีก!”

หม่าเทาได้ยินแล้วอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

ผู้หญิงที่เขาปักใจรักมากที่สุด กลับตั้งท้องกับผู้ชายอื่น แถมยังสวมหมวกเขียว(1)ให้เขาตั้งหลายใบ ทำให้เขาเป็นขี้ปากให้เพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะ

เท่านั้นยังไม่พอ หล่อนยังวางแผนจะให้เขาเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้อีกด้วย

แค่เลี้ยงลูกชาวบ้านก็เลวร้ายพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือหล่อนวิ่งโร่กลับมาหาเขาอย่างหน้าด้าน ๆ

ในสายตาหล่อน เขาเป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่สามารถเรียกให้มาหรือไล่ให้ไปอย่างไรก็ได้งั้นเหรอ?

พอได้ยินผู้เป็นแม่บ่นถึงหล่อนขึ้นมา เขาก็ตะคอกเสียงดังด้วยความหนวกหู “พอแล้ว! หุบปาก!”

แม่หม่าตัวสั่นด้วยความตกใจ หุบปากแน่นทันที

ตั้งแต่ลูกชายของหล่อนย้ายเข้ามาทำงานในเมือง สำหรับแม่หม่าแล้ว เขาเป็นเหมือนตัวนำโชคของครอบครัว

ดังนั้นหล่อนจึงเชื่อฟังคำพูดของลูกชายเสมอ

เมื่อครู่นี้หล่อนแค่ไม่สามารถอดกลั้นกับความลำบากที่ได้รับ จึงบ่นออกไปไม่กี่คำ พอรู้ว่าทำให้ลูกชายโกรธ ก็ถึงกับตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก

พ่อหม่าสูบบุหรี่ ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปสั่งแม่หม่าว่า “มัวพูดจาไร้สาระอยู่ได้ ไปทำกับข้าวซะ!”

ช่วงสองสามวันที่พวกเขาพักอยู่ในโรงแรม พวกเขากินข้าวมากที่สุดแค่สองมื้อต่อวันเท่านั้น แต่ละมื้อเป็นซาลาเปาคนละหนึ่งลูก

ตอนนี้เขาหิวจนหน้ามืดตาลาย เห็นดาวสีทองหมุนวนอยู่บนหัวแล้ว พ่อหม่าจึงคิดเพียงว่าขอกินข้าวให้อิ่มก่อน

แม่หม่าเพิ่งจุดเตาได้ไม่นาน เจ้าของบ้านเช่าที่ได้ข่าวว่าพวกเขากลับมาแล้วก็รีบมาจ่ออยู่หน้าบ้านทันที

ประโยคแรกที่เขาพูดคือขอให้หม่าเทาจ่ายค่าเช่าสามเดือนที่ค้างอยู่มาเสีย

หม่าเทาไม่รู้ตัวเลยว่าครอบครัวของเขาติดค้างค่าเช่าเจ้าของบ้านมาถึงสามเดือนแล้ว

ทั้งหมดเป็นเพราะเถาจืออวิ๋นยืนกรานว่าจะหย่าขาดกับเขาให้ได้

ถ้าทั้งสองไม่หย่ากัน พ่อแม่ของเขาจะติดหนี้ค่าเช่าบ้านในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาไหม?

ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ถูกเจ้าของบ้านกระตุ้นให้จ่ายค่าเช่า แม่ของเขาจะแบกหน้าไปขอให้เถาจืออวิ๋นช่วยจ่ายค่าเช่าให้เสมอ

มีบางครั้งเหมือนกันที่เถาจืออวิ๋นอิดออดไม่อยากจ่าย เขาเลยงัดไม้ตายมาด่าว่าหล่อนเป็นคนหัวสูง เห็นว่าพ่อและแม่สามีตัวเองเป็นคนบ้านนอกก็เลยดูถูกพวกเขา คิดจะอกตัญญูต่อพวกเขาหรืออย่างไร

ทุกครั้งที่คำพูดเหล่านี้ออกจากปาก ท้ายที่สุดเถาจืออวิ๋นก็ยอมจ่ายค่าเช่าให้อย่างเชื่อฟัง

หม่าเทาพยายามขอร้องให้เจ้าของบ้านผ่อนผันไปอีกสักสองสามวัน

เจ้าของบ้านพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันผ่อนผันให้มานานมากแล้ว ยังจะให้รอต่อไปถึงเมื่อไหร่?”

หม่าเทาแค่นเสียงพูดประชดประชัน “คุณกลัวว่าเราจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าหรือไง? ต่อให้ตอนนี้พวกเราไม่มีเงิน เดี๋ยวเมียผมก็หาเงินมาจ่ายให้คุณเองแหละ ช่วงนี้ลูกผมป่วย หล่อนต้องดูแลลูกเป็นพิเศษ รอให้อาการเขาดีขึ้นเมื่อไหร่ หล่อนต้องแวะมาจ่ายค่าเช่าให้คุณแน่นอน”

เจ้าของบ้านยกมือขึ้นเท้าสะเอวทันที “นายคิดว่าตัวเองกำลังโกหกใครอยู่? เมื่อเช้าพี่ชายของเมียเก่านายมาที่นี่ เพราะอยากเตือนให้นายจำใส่กะโหลกซะว่า นายกับน้องสาวของเขาหย่าขาดจากกันแล้ว ฉะนั้นอย่าได้ไปล่วงเกินน้องสาวของเขาอีก เขายังบอกด้วยว่าถ้านายยังไม่หยุดไปรังควานน้องสาวเขา นายจะได้เห็นดีกันแน่ นายกับเมียนายหย่าขาดจากกันไปแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้ามาโกหกฉันว่าหล่อนจะมาจ่ายค่าเช่าให้อีก คิดจะสรรหาคำโกหกปลิ้นปล้อนมาผัดผ่อนไปถึงเมื่อไหร่?”

ว่าแล้วหล่อนก็โบกมือ “ฉันไม่อยากได้เงินค่าเช่าจากนายอีกต่อไปแล้ว แต่ครอบครัวของนายต้องย้ายออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้!”

ตอนแรกบ้านหลังนี้มีแค่พ่อกับแม่ของเขาที่อาศัยอยู่ และพวกเขาไม่เคยจ่ายค่าเช่าตรงเวลาเลยสักครั้ง

พอมาทวงเป็นครั้งที่สามหรือสี่ เถาจืออวิ๋นจะเป็นฝ่ายมาจ่ายค่าเช่าให้พวกเขาตลอด

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเถาจืออวิ๋น สาวใหญ่เจ้าของบ้านคงไม่ยอมปล่อยให้ครอบครัวหม่าเช่าบ้านของตัวเองต่อแน่

แต่ตอนนี้เถาจืออวิ๋นไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลหม่าอีกต่อไป นั่นหมายความว่าไม่มีใครมาจ่ายค่าเช่าให้พวกเขาอีกแล้ว

การขับไล่ครอบครัวหม่าทั้งสามคนออกไป เท่ากับเป็นการหยุดความสูญเสียไม่ให้มากไปกว่านี้

หม่าเทาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมลดท่าทางหยิ่งยโสของตัวเองลง วิงวอนขอร้องเจ้าของบ้านเป็นเวลานาน แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของบ้านก็ไม่ยอมท่าเดียว ถึงกับสวนกลับด้วยถ้อยคำรุนแรง “อย่ามัวพิรี้พิไรซะให้ยาก ออกไปซะ! ถ้าอยากได้บ้านฟรีนักก็ไปสถานสงเคราะห์โน่น!”

สถานสงเคราะห์ในยุคนี้ใช้เป็นศูนย์พักพิงคนตาบอดเป็นหลัก

ถ้าครอบครัวของหม่าเทากำลังเข้าไปอยู่ที่นั่นจริง ๆ คงไม่พ้นถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดแน่ เพราะนอกจากพวกเขาจะต้องควักเงินจ่ายค่าที่พักให้กับสถานสงเคราะห์แล้ว ยังโดนบังคับให้เข้ารับการศึกษาอีก เป็นบ้านให้อยู่ฟรีตรงไหน!

นับตั้งแต่หม่าเทาย้ายเข้ามาทำงานในเมือง เขาแทบลืมพื้นเพเดิมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนชนบท

ทุกครั้งที่เขากลับไปบ้านเกิดเพื่อไหว้บรรพบุรุษ ทุกคนต่างก็ยกย่องเขาเหมือนเป็นเศรษฐี

ชีวิตในเมืองไม่ได้เลวร้ายอะไร

เถาจืออวิ๋นมีบ้านเป็นของตัวเอง แถมยังได้รับเงินเดือนจำนวนมาก เวลาออกไปไหนมาไหนข้างนอกเขามักจะเชิดหน้าขึ้นสูงเสมอ ไม่เคยโดนดูถูกเหมือนกับวันนี้!

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ดวงตากลอกกลิ้งไปมาหลายครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ย้ายก็ย้ายวะ ใครจะสนบ้านเช่าโทรม ๆ ของคุณกัน!”

จากนั้นก็หันไปหาพ่อหม่าและแม่หม่าแล้วพูดว่า “พ่อแม่ลองนับของมีค่าในบ้านดูซิ อยากรู้ว่าตอนที่พวกเราไม่อยู่ มีอะไรหายไปบ้าง!”

เจ้าของบ้านตกตะลึง เห็นแก่สภาพบ้านที่ทรุดโทรม หล่อนเลยตัดสินใจไม่เรียกเก็บเงินค่าเช่าบ้านที่อีกฝ่ายค้างจ่ายอยู่สามเดือน แต่ผู้ชายแซ่หม่ากลับทำแบบนี้กับหล่อน!

ไม่ใช่คนพวกเดียวกัน คงสุมหัวอยู่ในบ้านหลังเดียวกันไม่ได้

พ่อและแม่ของหม่าเทาเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าหม่าเทาหมายถึงอะไร จึงแกล้งทำเป็นเดินเข้าไปในบ้านเพื่อตรวจสอบทันที

หลังจากนั้นพวกเขาก็ตะโกนลั่น

พ่อหม่าบอกว่า เงินห้าร้อยหยวนที่เก็บเอาไว้ในบ้านหายไป

แม่หม่าบอกว่า แหวนทองที่หล่อนซ่อนอยู่ใต้หมอนก็หายไปเหมือนกัน

ชาวบ้านที่มามุงดูความโกลาหลต่างหันขวับไปหาสาวใหญ่เจ้าของบ้าน

เจ้าของบ้านโกรธมาก

หล่อนชี้หน้าหม่าเทากับพ่อแม่ของเขา “ครอบครัวของนายยากจนขนาดนี้ ถ้าในบ้านนายมีเงินถึงห้าร้อยหยวนจริง ๆ จะไม่มีปัญญาจ่ายแม้แต่ค่าเช่าเชียวเรอะ? หาเรื่องโกหกมาใส่ร้ายกันชัด ๆ แหวนทองนั่นก็อีก ถ้าตัวเองมีแหวนทองจริง ๆ ก็งัดหลักฐานออกมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะถือว่าพวกคุณสร้างเรื่อง!”

เมื่อผู้ชมรอบข้างได้ยินว่ามันสมเหตุสมผล พวกเขาทั้งหมดก็ผินหน้าไปทางตระกูลหม่าอีกครั้ง

แต่สมาชิกตระกูลหม่าทั้งสามยังยืนเถียงคอเป็นเอ็น ยืนยันว่าเงินห้าร้อยหยวนและแหวนทองของพวกเขาหายไปจริง ๆ

หม่าเทาถึงกับขู่ว่าถ้าเจ้าของบ้านไม่ยอมชดใช้เงินห้าร้อยหยวนและแหวนทองที่หายไปให้กับครอบครัวเขา เขาจะไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความทันที

ถือคติว่าความไร้ยางอายเท่านั้นที่ครองโลก

เจ้าของบ้านพ่นลมหายใจออกด้วยความโกรธ “พวกนายเห็นว่าฉันเป็นหม้าย ถึงคิดจะรังแกยังไงก็ได้ใช่ไหม? งั้นฉันจะแสดงให้พวกนายดูเองว่าฉันใช่คนที่สมควรจะรังแกง่าย ๆ หรือเปล่า!” หลังจากพูดจบ หล่อนก็เดินจากไปด้วยความโกรธ

แม่หม่าถามอย่างเป็นกังวล “ผู้หญิงคนนั้นจะเรียกใครมาที่นี่งั้นเหรอ?”

หม่าเทาแสยะยิ้มเหยียดหยาม “ดูสารรูปของหล่อนสิ จะไปเรียกใครมาได้? ต่อให้เรียกมาจริง ๆ คนคนนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก”

เจ้าของบ้านเช่าหลังนี้แตกต่างจากเจ้าของบ้านคนอื่น ๆ

เจ้าของบ้านของคนอื่น ๆ มักจะแต่งตัวดี ดูแลตัวเองดีตลอดเวลา แค่มองแวบแรกก็คาดเดาได้เลยว่าต้องมีฐานะ

แต่เจ้าของบ้านเช่าหลังนี้มีภาระต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ห้าคน สถานะทางครอบครัวหรือก็ไม่ค่อยดีนัก แถมยังเป็นคนเรียบง่าย มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าหล่อนไม่ใช่คนน่ากลัวอะไร

นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว หล่อนยังเป็นคนใจอ่อน

ตอนที่หม่าเทาพาพ่อแม่มาขอเช่าบ้าน พวกเขาก็พยายามต่อรองอย่างน่าสงสาร

เนื่องจากราคาที่ตกลงกันต่ำเกินไป เจ้าของบ้านจึงไม่เต็มใจปล่อยเช่า

แต่เพราะพวกเขาสามคนวิงวอนอย่างน่าสังเวช ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ตกลงปล่อยบ้านเช่าให้พวกเขาในราคาถูก

หลังจากนั้นต่อให้พวกเขาผิดนัดจ่ายค่าเช่าเกินหนึ่งสัปดาห์ หล่อนก็ไม่เคยอารมณ์เสีย นับประสาอะไรกับไล่พวกเขาออกไป

ครั้งนี้พวกเขาคงค้างค่าเช่านานเกินไป จึงทำให้เจ้าของบ้านโมโห

หล่อนขู่ว่าจะไปเรียกคนมา ก็เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองเท่านั้น คนอย่างหล่อนหรือจะกล้าทุบตีพวกเขา?

ในเมื่อหล่อนไม่กล้า แล้วพวกเขาต้องกลัวอะไรล่ะ!

นอกเหนือจากความกลัวตำรวจแล้ว ครอบครัวของหม่าเทายังกลัวการถูกทุบตีเป็นที่สุด นอกจากนี้ก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

หม่าเทาอาจคิดแบบนั้น แต่ชาวบ้านรอบ ๆ ทุกคนกลับมองพวกเขาทั้งสามคนด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ

สมาชิกทั้งสามของตระกูลหม่าคงไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านเช่าตัวเองนั้นทรงพลังแค่ไหน ในขณะที่พวกเขาต่างรู้ดี

ภายนอกเจ้าของบ้านอาจดูเหมือนเป็นแค่หญิงม่ายทั่วไป แต่สามีของหล่อนเป็นอันธพาลที่ตระเวนเก็บค่าคุ้มครอง แถมหล่อนยังมีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ

นับตั้งแต่สามีเสียชีวิต บวกกับการปราบปรามอันธพาลอย่างเข้มงวด ทำให้ชื่อเสียงของหล่อนค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

ตระกูลหม่าไม่เคยเห็นเสือแสดงพลัง พวกเขาจึงมองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่แมวป่วย

เกรงว่าพวกเขาอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้ตัวเองต้องเผชิญความตายอย่างไร!

………………………………………………………………………………………………………………………….

สวมหมวกเขียว หมายความว่า สวมเขา

สารจากผู้แปล

เดี๋ยวได้เจอแม่เสือแสดงพลังแน่ เห็นเขาใจดีหน่อยก็เอาเปรียบซะน่าเกลียดเลย ไม่รู้เสียแล้วว่าคนที่ดูหงิมๆ น่ะเวลาโมโหขึ้นมาทีน่ากลัวที่สุด

ไหหม่า(海馬)