ภาค 3 บทที่ 123 ไม่มีที่ให้หนี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 123 ไม่มีที่ให้หนี
Ink Stone_Romance
เพื่อนาง

ประโยคนี้ วิเคราะห์ได้หลายทางนัก

เพื่อให้นางมีชีวิตอยู่ดี ก็เป็นเพื่อนาง เพื่อให้นางอยู่อย่างลำบาก ก็เป็นเพื่อนางเหมือนกัน

แต่นางที่ว่านี้ สำหรับองค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีก็วิเคราะห์ได้หลายทางนักเช่นกัน

“ใต้เท้าลู่” องค์หญิงจิ่วหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ท่านดูแลข้ากับจิ่วหรงเพื่อนาง ท่ามกลางความเป็นไปไม่ได้ให้ความเป็นไปได้มากที่สุดแก่พวกเรา ข้าไม่มีคุณสมบัติและไม่อาจตำหนิท่าน เพียงแต่นางไม่อยู่แล้ว นางไม่ใช่นาง ท่านปล่อยนางและปล่อยตัวท่านเองไปเถิด”

นางทั้งสองคนในหนึ่งประโยคนี้ หมายถึงใคร องค์หญิงจิ่วหลีรู้ ลู่อวิ๋นฉีก็ย่อมรู้

แต่เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ

นางใช่นางหรือไม่ สำหรับเขาแล้ว ขบคิดไปไม่มีความหมาย

เขาเพียงต้องรู้ว่าตนเองต้องการทำสิ่งใด นี่คือความหมายเพียงอย่างเดียวในการคงอยู่ทุกวันนี้ของเขา

“ปล่อย หลายครั้งเป็นเพราะไม่อาจไม่ปล่อย” เขาว่า “ความหมายของข้าก็คือตอนนี้ข้าไม่ปล่อยได้ย่อมไม่มีเหตุผลให้ปล่อยไป”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน

“แผ่นดินนี้เหนือใต้ บนฟ้าใต้ดิน องครักษ์เสื้อแพรอยู่ทั่วทุกหนแห่ง อยู่ที่เมืองหลวงก็ดี อยู่ที่หยางเฉิงก็ดี อยู่ที่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ดี สำหรับข้าแล้วมีสิ่งใดแตกต่างกัน”

องค์หญิงจิ่วหลีมองเขา

คนผู้นี้บ้าไปแล้ว คุยด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่องแล้ว

“นั่นแล้วอย่างไร เจ้าจะทำอันใดนางอีก?” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หรือเจ้าไม่รู้สึกว่านางร้ายกาจมาก?”

นางมาถึงเมืองหลวงเวลาสั้นๆ ก็ชื่อเสียงลือลั่น นอกจากนี้นี่ไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอม นางทำให้หมอทั้งหลายยอมรับ ทำให้บรรดาชาวบ้านยำเกรง บุตรชายเฉิงกั๋วกงออกหน้าให้นาง จอหงวนหนิงก้าวออกมาเพื่อนาง

ความคลางแคลงไม่อาจขวางนางได้ การกลั่นแกล้งของบรรดาหมอหลวงก็ไม่อาจขวางนางได้ การข่มเหงก่อกวนของท่านก็ไม่อาจทำให้นางอับจนได้

วันนี้แม้นางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว แต่โรงหมอจิ่วหลิงยังคงอยู่ นอกจากนี้กลับไปถึงหยางเฉิงแล้ว มีตระกูลฟางตระกูลหนิงปกป้อง

เด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ ท่านยังรู้สึกว่าท่านคิดอยากทำอะไรก็ทำเช่นนั้นได้จริงหรือ?

ลู่อวิ๋นฉีก้าวไปก้าวหนึ่ง คนยืนอยู่ใต้โคมไฟ แสงโคมตกต้องบนใบหน้าของเขาแล้วพริบตาก็มืดลง

“บิดาของข้าไร้ความสามารถ นอกจากกินเหล้า ตีข้า ชีวิตนี้ก็ไม่มีความสำเร็จอื่นใดอีก” เขาเอ่ย

ทว่ากินเหล้ากับตีเด็กก็ไม่ใช่ความสำเร็จอันใด

องค์หญิงจิ่วหลีมองลู่อวิ๋นฉี ภูมิหลังที่มาของลู่อวิ๋นฉีนางรู้กระจ่างนัก เพราะภูมิหลังความเป็นมาของเขาเรียบง่ายเหลือเกิน

ประชากรชาวเมืองหลวงทายาทน้อย บิดารับราชการทหาร ต่อมามีโชคบังเอิญได้เข้ามารับตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพร บิดามารดาภรรยาตายจากไปเร็ว เหลือเพียงลู่อวิ๋นฉีบุตรชายคนเดียว

เพียงแค่นี้เท่านั้น เรียบง่ายจนอ้างว้างไปอยู่บ้าง

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้รู้สึกว่าอ้างว้าง บนหน้าเขาถึงกับปรากฏรอยยิ้ม

“แต่เขาทิ้งงานที่เอาไว้หาข้าวกินให้ข้างานหนึ่ง ยังทิ้งชื่อดีๆ ชื่อหนึ่งให้ข้า” เขาเอ่ยต่อ “อวิ๋นฉี อวิ้นชี่[1] โชคของข้าไม่เลวมาเสมอ”

เขาพูดพลางหมุนตัว เดินไปข้างนอกช้าๆ

ไม่เช่นนั้นเขาจะพบนางได้อย่างไร ยังสู่ขอนางได้อีก

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านนอกประตู ในเรือนแสงโคมสว่างไสว ความมืดของราตรีล่าถอย หญิงรับใช้สาวใช้บนทางเดินคำนับพร้อมเพรียง

“ใต้เท้า ดึกดื่นแล้ว ควรพักผ่อนแล้ว” หญิงรับใช้นางหนึ่งทำใจกล้าก้าวเข้ามาเอ่ยขึ้น

หลายวันนี้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ไปคฤหาสน์ข้างนอกอีก ส่วนองค์หญิงจิ่วหลีดูไปแล้วก็ดีใจยิ่งนัก มีคุยมีหัวเราะกับใต้เท้า

คุณหนูจวินคนนั้นกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เรื่องนี้ในที่สุดก็จบลงได้แล้วกระมัง

ได้ยินคำพูดของหญิงรับใช้ ลู่อวิ๋นฉีส่งเสียงตอบทีหนึ่ง

ดึกดื่นแล้ว ควรพักผ่อนแล้ว แต่บ้านหลังนี้ใหญ่ปานนี้ เขากลับไม่รู้ควรไปที่ไหนพักผ่อน

เขายกเท้าก้าวลงบันได

หญิงรับใช้ที่ได้ยินเสียงขานตอบกำลังดีใจอย่างยิ่งอยู่เงยหน้าอึ้งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่เข้าใจมองลู่อวิ๋นฉีเดินเข้าไปในความมืดของราตรี

แสงท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น องครักษ์เสื้อแพรที่หยางเฉินครึกครื้นขึ้นมา

องครักษ์เสื้อแพรหลายคนคุยเล่นหัวเราะเดินเข้ามาในเรือน แลกเปลี่ยนข่าวน่าสนใจของขุนนางสักคนหรือคหบดีผู้ดีชนบทสักคนที่ได้มาใหม่ล่าสุด แต่ทุกสิ่งที่เป็นปกติในวันวานกลับถูกองครักษ์เสื้อแพรสองคนที่ยืนอยู่ในเรือนขวางไว้แล้ว

“นายท่านจินมาแล้ว” พวกเขาชี้ในห้องเอ่ยขึ้น

จินสือปาแห่งกองพันองครักษ์เสื้อแพรซานซี เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่ควบคุมดูแลองครักษ์เสื้อแพรแห่งซานซี เป็นลูกน้องคนสำคัญที่ลู่อวิ๋นฉีปั้นขึ้นมา

องครักษ์เสื้อแพรหลายคนเงียบเสียงทำหน้าขรึมทันที มองดูบุรุษสี่คนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง

สี่คนนี้คือลูกน้องคนสำคัญของจินสือปา มือดีในการพิสูจน์ทรมานเค้นให้สารภาพ

จินสือปาเดินทางไม่เป็นหลักแหล่ง มาหยางเฉิงกะทันหันไม่รู้มีเรื่องอันใด?

หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรของหยางเฉิงด้านในห้องสีหน้าก็เคร่งขรึมอยู่บ้าง

“ความหมายของนายท่านจินข้าเข้าใจแล้ว แม้ตระกูลฟางกับตระกูลหนิงอำนาจมาก ขุนนางบนล่างของหยางเฉิงก็ยำเกรงพวกเขาสามส่วน แต่ควบคุมคนผู้หนึ่งก็ไม่ใช่ทำไม่ได้” เขาเอ่ย “เรื่องนี้พวกเราทำเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากนายท่านจินท่านลงมือ”

จินสือปายิ้มโบกมือ

“หัวหน้ากองเกา ไม่ ไม่ ไม่ใช่ควบคุม แต่เป็นจับคน” เขาเอ่ย “เรื่องนี้ข้าทำเอง”

หัวหน้ากองเกาได้ยินกลับเคร่งเครียดแล้ว

“นายท่านจิน ท่านก็น่าจะรู้ว่าคุณหนูจวินคนนี้เป็นผู้ใด” เขาเอ่ย “นี่ฟังดูแล้วร้ายกาจมากแล้ว สัมผัสชัดยิ่งร้ายกาจ นางยังไม่ทันกลับมา หยางเฉิงบนล่างล้วนยกย่องนางเป็นเทพเซียน วันนั้นที่นางกลับมาสถานการณ์นั่นครึกครื้นยิ่งกว่าวันสิ้นปี ทุกการกระทำทุกความเคลื่อนไหวของนางที่หยางเฉิง คนนับไม่ถ้วนจับจ้อง ตอนนี้นางเหมือนกับภิกษุเนี่ยนจื้อ ไม่สิ ร้ายกาจเสียยิ่งกว่าภิกษุเนี่ยนจื้อ เอ่ยวาจาไม่เคารพประโยคหนึ่ง หากนางกวักมือเรียกให้กบฏ ชาวบ้านของหยางเฉิงแห่งนี้กว่าครึ่งล้วนจะติดตามไป”

จินสือปาหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“คุณหนูจวินคนนี้น่ะหรือ ข้าไม่ใช่แค่เคยได้ยินมาจริงๆ” เขาว่า ลูบเคราสั้นๆ ดวงตายิบหยี “ข้าเคยเห็นกับตามาสองครั้งเชียว”

เวลานั้นคุณหนูจวินยังไม่ใช่หมอเทวดา ปะปนอยู่ท่ามกลางแม่นางน้อยกลุ่มหนึ่ง ในร้านเครื่องประดับเล่นลิ้นก็ทำให้คนที่ขุดกับดักตนกระโดดลงหลุม หลังจากนั้นก็ที่หอจิ้นอวิ๋น แม้ยังคงเป็นการทะเลาะยุ่งเกี่ยวกับหมู่แม่นางน้อยกลุ่มหนึ่งอีก แต่การทะเลาะครั้งนี้กลับไม่เพียงแพ้เสียเงินไม่กี่ตำลึง

ครั้งนี้แขนเสื้อยาวของนางร่ายรำ ยืมแรงโจมตี ควบคุมกลุ่มอำนาจหลายฝั่งไว้ในมือ ทำลายทั้งชีวิตของแม่นางน้อยคนหนึ่ง นอกจากนี้ทำให้ครอบครัวของขุนนางผู้ดีชนบทท้องถิ่นตระกูลหนึ่งเสียท่าไม่กล้าเอ่ยวาจา

เวลานั้นเขาก็รู้แล้ว คุณหนูจวินคนนี้ร้ายกาจ

แต่เพราะตอนนั้นนางยังช่วยเหลือประกาศข่าวแต่งงานของใต้เท้าลู่กับองค์หญิง เขาจึงพอใจกับแม่นางน้อยคนนี้มาก ดังนั้นเรื่องที่หอจิ้นอวิ๋นจึงไม่ได้สอดมือเข้ายุ่ง

ไม่คิดว่าปล่อยมือคราวนี้จะปล่อยแม่นางน้อยคนนี้ไปถึงเมืองหลวง แล้วยังกลายเป็นคู่ต่อสู้ของหัวหน้ากองพันลู่อีก

ในเมื่อเป็นเขาปล่อยมือตั้งแต่แรก ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ก็ให้เขาลงมือเองเถอะ

ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นไหม หัวหน้ากองพันลู่ต้องการ สนรึว่านางเป็นเทพเซียนหรือภูตผี

“ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของนางถูกจับจ้อง จะลงมืออย่างลับๆ โอกาสยากมาก” หัวหน้ากองเกาเอ่ยเสียงเบาอีกครั้ง

จินสือปาขานตอบ ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือโจ่งแจ้งแล้วกัน” เขาเอ่ย

โจ่งแจ้ง?

หัวหน้ากองเกาก็รีบลุกขึ้นยืนด้วย สีหน้าประหลาดใจ

ลับๆ ยังไม่ได้ โจ่งแจ้งจะได้อย่างไรเล่า?

……………………………………….

[1] อวิ้นชี่ (运气) แปลว่าโชค