บทที่ 379 พิชิตแผ่นดิน!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 379 พิชิตแผ่นดิน!

“ตั้งใจล่ะ มีโอกาสอยู่แล้ว!” เหล่าเหอยิ้มพลางตบๆ ลงบนบ่ากู้เจียว

ล้อเล่นอะไรอยู่น่ะ จะไปมีโอกาสได้อย่างไร

เรียกได้ว่าตนเป็นคนพาเด็กคนนี้เข้ามา ไม่โอ้อวด ไม่ทำให้ตนเสียความน่าเชื่อถือ ไม่ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยความทะเยอทะยานของผู้อื่น หากพยายามหนักขึ้นอีกหน่อย ก็ยังพอมีหวังจะได้ที่เจ็ดสิบแปดสิบอยู่บ้าง

ทว่าไอ้เรื่องการขายฝันเพื่อกระตุ้นความพยายามของคนอื่นน่ะ เสียหายไม่น้อย!

เหล่าเหอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ท่าทางมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม กำลังจะเอ่ยกับนางว่าหากได้ขึ้นอันดับไม่ใช่จะได้ส่วยง่ายๆ เท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่รอให้เขาได้เอ่ยกู้เจียวก็เดินไปยังเวทีประลองของตัวเองอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว

สังเวียนจะถูกจัดสุ่มตามโอกาส ไม่ได้มีเวทีไหนตายตัว

นางถูกจัดให้ขึ้นเวทีตะวันตก

สิ่งที่กู้เจียวจดจำได้ติดตาในตอนที่มาโรงประลองใต้ดินครั้งแรกก็คือการประลองบนเวทีตะวันตก เพราะต่อสู้กันอย่างโหดเหี้ยมทารุณเลยทีเดียว กู้เจียวสงสัยยิ่งว่าชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบนคนนั้นตีคู่ต่อสู้ตายทั้งเป็น

กู้เจียวขึ้นเวทีไปก่อน

กฎของโรงประลองใต้ดิน เมื่อขึ้นเวทีจะมีคนยกแผ่นสี่เหลี่ยมสองแผ่นทั้งสองด้านของเวทีเหมือนยกธง บนนั้นจะแขวนป้ายชื่อและอันดับของผู้เข้าประลอง โดยปกติแล้วจะใช้ฉายานามหรือไม่ก็นามแฝง

อย่างป้ายของกู้เจียวนี้เขียนไว้ว่า ‘พิชิตแผ่นดิน ยังไม่มีอันดับ’

เดิมทีกู้เจียวกะจะใช้ชื่อมังกรผยองฟ้า แต่เหล่าเหอบอกว่าคำว่ามังกรมันเหมือนกับกษัตริย์ จึงให้กู้เจียวถอยก้าวหนึ่ง เปลี่ยนเป็นพิชิตใต้หล้าแทน

เมื่อเหล่าเหอเห็นชื่อนี้ มุมปากเขาพลันกระตุกยิกๆ อย่างแรง

ชื่อพิชิตใต้หล้าตั้งได้ไม่เลว ทุกคนต่างคิดว่าเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ หนวดเคราเต็มหน้า แต่ปรากฏว่าพอขึ้นเวทีมากลับเป็นเด็กหนุ่มสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง

รูปร่างกู้เจียวนับว่าสูงโปร่งเมื่อเทียบกับสตรี แต่เมื่ออยู่ในโรงประลองใต้ดินที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์แข็งแกร่งกลับดูตัวเล็กเตี้ยอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีอันดับและเป็นมือใหม่

ความสนุกก็พลันลดฮวบลงครึ่งหนึ่ง พากันย้ายไปเวทีอื่น

สถานการณ์เช่นนี้เปลี่ยนไปเมื่อป้ายชื่อของคู่ต่อสู้ของกู้เจียวถูกยกขึ้น บนป้ายสี่เหลี่ยมแขวนไว้ว่า ‘นักดาบ ยอดฝีมืออันดับสอง’

คนที่เดินหนีไปพลันกลับมาอย่างรวดเร็ว

กู้เจียวร้องเอ๋ออกมาอย่างฉงน บนเวทีใต้มีผู้ประลองระดับสี่นะ เหตุใดพวกเขากลับชะงักเท้าให้กับอันดับเล็กๆ อย่างอันดับสองคนหนึ่งด้วย

เพียงไม่นานนักดาบก็ขึ้นเวทีมา กู้เจียวพลันกระจ่างทันทีว่าเพราะเหตุใด

นักดาบคนนี้ก็คือชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบนที่นางเห็นบนเวทีตะวันตกเมื่อคราก่อน เขารุนแรงยิ่งนัก ทุกหมัดที่ปล่อยออกมาล้วนเรียกเสียงกู่ร้องจากล่างเวทีให้ดังขึ้นได้

คนที่มาที่นี่มาดูความเร้าใจกันทั้งนั้น จะตายหรือไม่ตายนั้นไม่สน ขอแค่ได้เห็นคนอะดรีนาลีนพลุ่งพล่านก็พอ

ชั่วขณะที่เหล่าเหอเห็นนักดาบสีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนทันที “เกิดอะไรขึ้น เป็นเขาได้อย่างไรกัน บอกไว้แล้วมิใช่หรือไรว่าให้จัดมือใหม่มาน่ะ!”

“ไอ้คนแซ่จู! ไสหัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

เหล่าเหอพุ่งเข้าห้องบัญชีไปหาชายหนุ่มแซ่จู

จูอวิ๋นกำลังจดบัญชีอยู่ ไม่เงยหน้าขึ้นมามองสักนิด “เอะอะโวยวายอะไร”

เหล่าเหอโมโหจนตัวสั่น “จะ…เจ้ามันพูดจาเชื่อถือไม่ได้! เจ้าจัดคู่ต่อสู้คนนี้มาให้เขาได้อย่างไร ตกลงกันแล้วดิบดีว่าให้จัดมือใหม่มานี่! เจ้าเก็บเงินไปแล้วด้วย!”

จูอวิ๋นเอ่ยอย่างเนิบๆ “ขอแก้หน่อยนะ เงินน่ะให้โรงประลองไปแล้ว ข้าไม่ได้เอาเข้ากระเป๋าสักนิด อีกอย่างในบรรดาพวกอันดับสามล้วนประลองด้วยกันได้ ข้าไม่ได้ผิดกฎของโรงประลอง”

เหล่าเหอกำหมัดแน่น “แต่เจ้าบอกเรียบร้อยแล้ว…”

จูอวิ๋นเอ่ยอย่างผู้บริสุทธิ์ “ข้าบอกแล้ว แต่คนผู้นั้นมีธุระมาไม่ได้ เขาผิดนัดข้าแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ยามนี้คนที่พอจะเอาขึ้นได้ก็มีแค่นักดาบคนเดียว หากเจ้ากลัวว่าเขาจะแพ้ก็ให้เขารีบโดดลงจากเวทีเสีย นักดาบไม่มีทางลงเวทีไปไล่ตีเขาหรอก โรงประลองย่อมห้ามเขาไว้อยู่แล้ว”

การต่อสู้ทั้งหมดของโรงประลองจะเกิดขึ้นแค่บนเวทีเท่านั้น พอลงจากเวทีแล้ว การประลองจะสิ้นสุดลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และฝ่ายที่ยังคงอยู่บนเวทีจะได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้เหล่าเหอโมโหจูอวิ๋นจนเลือดขึ้นหน้าก็หมดหนทางจะไปโต้แย้งได้ เขาต้องรีบไปเตือนท่านชายน้อยกู้ว่าอย่าได้สู้กับนักดาบ

ให้รีบยอมแพ้ไปเสีย

เงินที่แพ้เดี๋ยวเขาออกเอง!

ถูกต้องแล้ว สิ่งที่แตกต่างจากโรงประลองไท่เหอก็คือผู้ประลองที่นี่ชนะจะได้เงินส่วนแบ่ง หากแพ้ก็จะมีค่าปรับ

เงินค่าปรับจะหักจากมัดจำที่จ่ายมาตอนแรก เมื่อหักเสร็จก็จะหมดสิทธิ์ในการต่อสู้ในโรงประลอง

เงินมัดจำของกู้เจียวนั้นเหล่าเหอเป็นคนให้ เหล่าเหอไม่ได้คิดจะไปทวงกับกู้เจียวอยู่แล้ว

ส่วนเพราะเหตุใดเหล่าเหอจึงได้ร้อนรนเช่นนี้ คงต้องเริ่มเล่าจากศักยภาพของนักดาบคนนี้ก่อน เขามาที่โรงประลองใต้ดินเมื่อเดือนที่แล้ว เวลาเพียงสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน ก็เอาชนะยอดฝีมือไปแล้วยี่สิบกว่าคน

เขาเหลือแค่การประลองอีกยกเดียวก็จะเลื่อนอันดับขึ้นไปได้อีกขั้นแล้ว

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการประลองยกนี้เขาจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดเท่าใด

นักดาบพลังเปี่ยมล้นยิ่ง เรียกอารมณ์ของทุกคนรอบเวทีตะวันตกให้พุ่งสูงขึ้น เหล่าเหอพยายามทุ่มสุดแรงเกิดก็ไม่อาจเบียดเข้าไปได้เลย

เขาร้อนใจจะแย่แล้ว กระโดดเหยงๆ โบกมือให้กู้เจียวอยู่ท่ามกลางฝูงชน

กู้เจียวเห็นเขาแล้ว และโบกมือให้เขาเช่นกัน

“ลงมา!” เหล่าเหอเปลี่ยนเป็นกวักมือแทน เห็นกู้เจียวไม่เข้าใจ เขาจึงชี้ไปที่นักดาบ แล้วชี้ไปที่กู้เจียว ก่อนจะทำท่าปาดคอตัวเอง

ความหมายก็คือ ‘เขาฆ่าเจ้าแน่! รีบลงมา!’

กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา แล้วทำมือ OK ไปให้เขา ก่อนจะรีบ KO เอาชนะนักดาบคนนี้ แล้วรีบลงเวที

อื้อ นางเข้าใจอยู่แล้ว

เหล่าเหอไม่เข้าใจมือ OK ของนาง แต่กู้เจียวพยักหน้าให้เขาแล้ว คงจะเข้าใจในความหมายของเขาแล้วกระมัง

เสียงฆ้องดังขึ้น เริ่มการประลอง!

ทุกคนต่างตะโกนกันอย่างดุเดือด “นักดาบ! นักดาบ! นักดาบ!”

นักดาบขยับคอไปมา พร้อมกับกำหมัดลั่นกร๊อบๆ เดินไปหากู้เจียวอย่างเหยียดหยาม

เหล่าเหอร้อนใจจะแย่แล้ว “เหตุใดยังไม่ลงมาอีกเล่า เจ้าลงมาสิ! ลงมา! รีบลงมา…”

เอ๋

เหตุใดจึงได้รีบร้อนเพียงนั้นล่ะ

เอาเถอะ จะจัดให้สมใจเจ้าเลยแล้วกัน

กู้เจียวปลายเท้าแตะพื้น ร่างพลันทะยานขึ้นมาแผ่วเบาราวกับห่านป่า ซัดหมัดไปยังนักดาบ!

นักดาบก็ยกกำปั้นดุจค้อนของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน…

เมื่อเสียงฆ้องดังขึ้น ก็มีคนล้มลงกับพื้นทันที!

เสียงตะโกนพลันเงียบลง ล่างเวทีพากันสูดหายใจลึกเฮือกใหญ่!

คนที่ล้มลงหาใช่เด็กหนุ่มผอมเตี้ยผู้นี้ แต่เป็นนักดาบกำยำแข็งแกร่ง!

หมัดเดียว…

เขาต่อยไปเพียงหมัดเดียว!

นักดาบล้มลง ร่างกู้เจียวก็ทะยานลงมาคุกเข่าข้างเดียวกับพื้นอย่างแผ่วเบา หมัดกดพื้นเวทีข้างกายนักดาบ

รอบเวทีเงียบเป็นเป่าสาก แม้แต่เหล่าเหอก็ใบ้บึ้งไป

นะ…นี่เขาตาฝาดไปรึ

ความจริงแล้วคนที่ล้มลงไปคือท่านชายน้อยกู้กระมัง

นักดาบล้มลงไปได้อย่างไรกันน่ะ เขายังไม่ทันชกเลย ขะขะขะเขาไม่ออกมาแล้ว เหล่าเหอหยิกตัวเองทีหนึ่ง เจ็บเสียจนน้ำตาไหล

ในที่สุดเขาก็รับความจริงที่นักดาบโดนกู้เจียวชกล้มด้วยหมัดเดียวได้แล้ว

เขาอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังนิ่งอึ้งกันอยู่นั้น เบียดฝูงชนไปข้างเวที แล้วเอ่ยกับกรรมการที่ตีฆ้อง “ยังไม่รีบตีฆ้องอีก ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!”

เหล่าเหอกลัวว่านักดาบจะแค่สะดุดล้มไป อีกเดี๋ยวจะลุกขึ้นมาชกกู้เจียวล้ม จึงรีบจบการประลอง แบบนี้แล้วนักดาบก็ไม่อาจลงมืออีกได้แล้ว

ความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่าเหล่าเหอคิดมากเกินไป

หลังเสียงฆ้องจากกรรมการดังขึ้นไม่ว่าจะเรียกอย่างไรนักดาบก็ไม่ฟื้นขึ้นมา สุดท้ายต้องเรียกพนักงานสองคนของโรงประลองให้มาหามลงไป

เหล่าเหอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นท่วมร่าง

นี่มันช่างเร้าใจเกินไปแล้ว

หลังจากนี้กู้เจียวประลองไปอีกสองยก คู่ต่อสู้ที่สู้ด้วยมีศักยภาพไม่เท่านักดาบ จึงชนะไปอย่างง่ายดาย

คนหนึ่งสู้ได้สูงสุดแค่สามยกต่อวันเท่านั้น กู้เจียวประลองต่อไม่ได้อีกแล้ว จึงต้องทอดถอนใจลงเวทีไป

นางไม่ได้ชอบการต่อสู้ เพียงแต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะฟื้นฟูศักยภาพของชาติก่อน อีกอย่างก็จะได้ถือโอกาสหาเงินด้วย

ครานี้มีคนลงเดิมพันข้างนางน้อย อัตราเดิมพันสูงมาก แต่เนื่องจากนางอยู่อันดับต่ำ เงินที่แบ่งได้น้อย ดังนั้นจึงได้เงินมาแค่สิบตำลึงเท่านั้น

กู้เจียวไม่รีบร้อน

นางเก็บเงินเรียบร้อยแล้วก็ประคองหน้ากากบนหน้า แล้วหันหลังเดินออกจากห้องบัญชี

“เด็กคนนี้ฝีมือไม่เลว” จูอวิ๋นยิ้มพลางเอ่ย

กู้เจียวไม่คิดจะรั้งอยู่ที่โรงประลองต่อ นางรับปากเสี่ยวจิ้งคงไว้แล้วว่าตอนบ่ายจะไปรับเขาที่กั๋วจื่อเจียน

นางสาวเท้าเดินไปทางด้านนอกโรงประลอง เมื่อใกล้จะถึงประตู กลับมีชายหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนองครักษ์มาขวางหน้านางไว้ “พิ…”

เขาคงจะเรียกพิชิตใต้หล้า แต่ก็รู้สึกกระดากปาก

เขากัดฟันแล้วเอ่ย “ท่านชายสยง ท่านชายของข้าให้มาเชิญ”

กู้เจียวกำลังจะบอกว่าไม่ไป คำพูดติดอยู่ปลายลิ้น มานึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำตัวเป็นใบ้อยู่ จึงต้องล้วงสมุดเล่มน้อยออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ยามนี้นางเริ่มอิจฉาทักษะการเปลี่ยนเสียงของกู้เฉิงเฟิงขึ้นมาแล้ว หากนางก็สามารถเลียนเสียงบุรุษได้ คงจะประหยัดแรงไม่น้อย

ทว่าในช่วงที่กำลังล่าช้าเช่นนี้กู้เจียวกลับเปลี่ยนความคิดไป

นางพลันเขียนอย่างรวดเร็วว่า ‘เงิน’

องครักษ์ชะงักไป

กู้เจียวเขียนอย่างจริงจังยิ่งว่า ‘ไม่ให้เงินก็ไม่ไป ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการปรากฎตัวสิบตำลึง’

องครักษ์ “…”

เจ้านายสั่งไว้ว่าต้องพาตัวไปให้ได้ องครักษ์จึงล้วงเงินสิบตำลึงออกมาอย่างเจ็บปวด

กู้เจียวเก็บเงินไป แล้วเดินตามไปอย่างไว้หน้า

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นห้องที่แขวนน้ำเต้าอีกแล้ว

กู้เจียวไปสืบมาแล้วว่าห้องที่แขวนด้วยน้ำเต้านั้นโดยปกติแล้วเป็นของยอดฝีมือสามสิบอันดับแรก แน่นอนว่าห้องพวกนี้สามารถได้รับมาโดยวิธีการพิเศษได้

อย่างเช่นหากซื้อตัวยอดฝีมือคนนั้น ก็สามารถได้รับสิทธิ์การใช้ห้องนี้ได้เช่นกัน

กู้เจียวนึกถึงกู้ฉังชิงขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาเป็นประเภทไหน

กู้เจียวเข้ามาในห้อง บุรุษภายในห้องสวมชุดไหมสีน้ำตาลตลอดร่าง สวมหน้ากากหยก

หน้ากากประเภทนี้สวยน่ะสวยอยู่หรอก แต่หนักยิ่งนัก เวลาต่อสู้แล้วร่วงง่ายมาก

ดูท่าแล้วบุรุษผู้นี้จะไม่ได้มาที่โรงประลองเพื่อต่อสู้ เป็นไปได้มากที่เขาจะได้ห้องนี้มาด้วยการซื้อยอดฝีมือ

“จอมยุทธ์สยง เชิญนั่งก่อนสิ” ชายคนนั้นชี้เก้าอี้ตำแหน่งล่างตนอย่างเกรงใจ

พอเขาเอ่ยปากขึ้นกู้เจียวก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

คิดไม่ถึงว่าโรงประลองแห่งนี้จะซุกซ่อนผู้มีความสามารถไว้เช่นนี้ ซื่อจื่อแห่งจวนโหวอย่างกู้ฉังชิงมา องค์ชายแห่งแคว้นเจาอย่างฉินฉู่หันก็มาเช่นกัน

ฉินฉู่หันก็คือหนิงอ๋องนั่นเอง

กู้เจียวจำหนิงอ๋องได้ แต่หนิงอ๋องยังจำนางไม่ได้

กู้เจียวนั่งลงเงียบๆ

“จอมยุทธ์น้อยจะดื่มสุราหรือชาดี” หนิงอ๋องถามอย่างสุภาพ

กู้เจียวหยิบสมุดเล่มน้อยออกมาเขียนอย่างตั้งใจว่า ‘ข้ายังเด็ก ดื่มสุราไม่ได้’

หนิงอ๋องชะงักไป แววตาคล้ายกำลังบอกว่า…เจ้ายังเด็กก็มาประลองในที่ที่อันตรายเช่นนี้ได้แล้วรึ

อย่างไรเสียหนิงอ๋องก็เห็นอะไรมาเยอะ เด็กน้อยเช่นนี้น่ะเขารับมือได้อยู่แล้ว เขาจึงยิ้มเอ่ย “ได้สิ ยกชามา!”

คนรับใช้คนหนึ่งยกชามาให้กู้เจียว

เพียงไม่นานกู้เจียวก็เจอปัญหาเข้า หน้ากากนี้ไม่มีช่องปาก ซึ่งหมายความว่านางต้องปลดหน้ากากเพื่อดื่มชา

ช้าก่อน

หนิงอ๋องผู้นี้สุภาพกับนางเพราะอยากจะลองหยั่งเชิงให้นางถอดหน้ากากใช่หรือไม่

กู้เจียวเขียนว่า ‘ข้าไม่ชอบดื่มชาชนิดนี้’

หนิงอ๋องหัวเราะ “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยชอบชาอะไรรึ”

คงจะคิดว่าไม่ว่ากู้เจียวจะบอกชื่อชาสูงค่าเท่าใด เขาก็ล้วนยกมาให้หมด

กู้เจียวจึงเขียนด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า ‘ผักพลูคาว’

หนิงอ๋อง “…”

“ข้าต้อนรับได้ไม่พรั่งพร้อม คราหน้าจะให้คนเตรียมไว้แน่นอน…” หนิงอ๋องมองคำสามคำนี้แล้วสงสัยเล็กน้อยว่ามีไอ้สิ่งที่เรียกว่าผักพลูคาวอยู่จริงหรือไม่

สีหน้าเขากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล “จอมยุทธ์น้อยขึ้นเวทีประลองครั้งแรกรึ สู้ได้ไม่เลวทีเดียว ข้าชื่นชมจอมยุทธ์น้อยยิ่งนัก อยากจะผูกมิตรกับจอมยุทธ์น้อย ลืมบอกไปเลยว่าข้าแซ่ฉู่”

กู้เจียว ข้าเชื่อเจ้าก็โง่แล้ว

หนิงอ๋องน้ำเสียงสบายๆ สีหน้าอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยเป็นเจ้าถิ่นชาวเมืองหลวงหรือไม่”

กู้เจียวเลิกคิ้ว ก่อนเขียนอย่างรวดเร็วว่า ‘ทำไมรึ หากไม่ใช่เจ้าจะซื้อบ้านให้ข้าหรือไร’

หนิงอ๋องสำลักอ้ำอึ้งพูดไม่ออก

แม้ว่าไม่ถึงขั้นที่ว่าเขาจะซื้อบ้านสักหลังให้ไม่ได้ แต่ถูกคนเอ่ยเช่นนี้…ทำเอากระอักกระอ่วนนัก

หนิงอ๋องดื่มชาคำหนึ่งแล้วหลบตาลงหัวเราะ “หากจอมยุทธ์พิชิต…ใต้หล้า…” เขาแทบจะเรียกชื่อนี้ออกมาไม่ได้ “หากไม่มีพัก ก็มาอยู่ที่จวนข้าก่อนได้”

กู้เจียวเขียนว่า ‘ข้าไม่ยืมรังคนอื่นนอน’

หนิงอ๋องหัวเราะ “นี่เรียกว่ายืมรังคนอื่นนอนได้อย่างไรเล่า หากจอมยุทธ์น้อยยินดีมาเป็นองครักษ์ข้า ก็ย่อมเป็นคนในจวนข้าอยู่แล้ว ข้าจะให้เรือนแยกเดี่ยวๆ กับเจ้าหลังหนึ่งเลย จวนข้าทิวทัศน์งดงามนัก รบกวนจอมยุทธ์น้อยพิจารณาเสียหน่อย”

ได้เป็นองครักษ์จวนหนิงอ๋องนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างใฝ่ฝัน ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์ก็มีการแบ่งอันดับขั้นเช่นกัน ประการแรกนั้นไม่เคยมีใครได้เรือนพักแยกเดี่ยวๆ มาก่อนเลย

หนิงอ๋องรอกู้เจียวถามตัวตนของเขา

ทว่า…ตาฝาดรึนี่

เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าแววตาอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างดูถูกเล่า

กู้เจียวเบ้ปาก คุยกันมาตั้งนานได้แค่เรือนแยกหลังเดียว

ตำหนักเหรินโซ่วหลับได้ทุกที่อย่างสบายใจ ใครจะไปอยากได้จวนหนิงอ๋องของเจ้ากัน

กู้เจียวลุกขึ้นจะจากไป

องครักษ์ขวางกู้เจียวไว้ “ท่านชายข้ายังพูดไม่จบเลย!”

กู้เจียวโบกมือขึ้นเขียนอย่างรวดเร็วว่า ‘หมดเวลาสำหรับสิบตำลึงแล้ว หากให้ฟังเขาต่อต้องเพิ่มเงิน!’