ข้าขมวดคิ้วทั้งสองข้างเล็กน้อยขณะอ่านข่าวการศึกตรงหน้า นี่คือข่าวกรองที่สายข่าวของยงอ๋องส่งกลับมา รายงานทางการทหารอย่างเป็นทางการยังต้องรออีกสองสามวันจึงจะส่งมาถึง
“เดือนเจ็ดวันที่สิบหก ฉีอ๋องตรวจตราชายแดนมาถึงเจิ้นโจว กองทัพเป่ยฮั่นบุกโจมตีด่าน ฉีอ๋องนำทัพออกศึก ศึกแรกได้ชัย เดือนเจ็ดวันที่ยี่สิบเอ็ด แม่ทัพเฟยหู่สืออิงนำทัพมาประชิด ฉีอ๋องป้องกันแน่นหนาไม่ออกจากด่านโจมตี เมื่อสืออิงถอยทัพ ฉีอ๋องจึงออกจากด่านจู่โจมศัตรู กลับถูกแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้ซุ่มโจมตีจนพ่ายแพ้ถอยทัพ เดือนเจ็ดวันที่ยี่สิบหก สืออิงยกพลบุกด่าน ฉีอ๋องแสร้งทำอ่อนกำลังหลอกล่อให้ทัพศัตรูส่วนหนึ่งบุกเข้าเมือง จากนั้นรุมสังหาร เดือนแปดวันที่สาม สองทัพทำศึกอยู่ที่ด่านประตูเมือง หลิงอวี่แห่งสำนักเฟิงอี้ปลอมตัวเป็นองครักษ์ของแม่ทัพฝ่ายศัตรู ลอบสังหารถานจี้จนถานจี้บาดเจ็บหนัก เป่ยฮั่นพ่ายแพ้ถอยร่น เดือนแปดวันที่สิบสี่ ยืนยันแล้วว่าเป่ยฮั่นถอนทัพ ฉีอ๋องจึงส่งสาสน์รายงานชัยชนะ”
ข้าวางข่าวกรองลงแล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวล “คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะสยบศึกที่ชายแดนได้รวดเร็วเช่นนี้ ดูท่าไม่นานเขาคงจะกลับมาแล้ว”
ยงอ๋องสบตากับสืออวี้ หรือก็คือสือจื่อโยวผู้เพิ่งกลับมาถึงนครฉางอันเมื่อวาน สืออวี้เอ่ยว่า “องค์ชายย่อมกราบทูลให้ฉีอ๋องยังไม่ต้องกลับเมืองหลวงชั่วคราวได้ เหตุใดสุยอวิ๋นจึงกังวลเช่นนี้”
ข้าถอนหายใจ ตอบว่า “ฉีอ๋องคุมสถานการณ์ที่ชายแดนได้รวดเร็วเช่นนี้ สำนักเฟิงอี้ย่อมลงแรงไปมากโข การลอบสังหารแม่ทัพใหญ่ในกองทัพเป็นเรื่องอันตรายเพียงใด ยามนี้สองแคว้นเป็นศัตรูกัน ไม่เหมือนก่อนที่แย่งชิงความเป็นใหญ่ในจงหยวน ขอเพียงแม่ทัพตาย ทหารเกินกว่าครึ่งย่อมยอมแพ้ แต่แม่ทัพและทหารของทั้งสองทัพล้วนภักดีถวายหัว การจะทำให้แม่ทัพใหญ่บาดเจ็บได้ต้องแลกชีวิตเข้าจู่โจม ศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ผู้นี้แม้หนีรอดออกมาได้ก็น่าจะอาการร่อแร่ สำนักเฟิงอี้คงรีบร้อนจะให้ฉีอ๋องกลับมาเข้าร่วมการก่อกบฏแล้ว”
สืออวี้ขมวดคิ้วเป็นปม เอ่ยว่า “สุยอวิ๋นจะบอกว่าหากองค์ชายขัดขวางไม่ให้ฉีอ๋องกลับมา พวกนางจะเลือกยอมเสี่ยง”
ข้ายิ้มเจื่อนตอบว่า “หากพวกนางเลือกหนทางเสี่ยงอันตรายก็ยังพอว่า ปัญหาคือกลัวว่าพวกนางจะสงสัยว่ายามนี้ฝ่าบาทยังมิได้ตัดสินพระทัยแน่วแน่จะปลดรัชทายาท มีเรื่องหนึ่งที่พวกเราสองฝ่ายล้วนรู้ดี แม้ฉีอ๋องจะเป็นผู้สนับสนุนรัชทายาท แต่หากมิใช่ฝ่าบาทมีพระประสงค์เช่นนั้น ฉีอ๋องก็คงมิแน่วแน่กับการสนับสนุนรัชทายาท กล่าวในบางแง่มุม ฉีอ๋องก็เป็นขุนนางผู้ภักดีคนหนึ่ง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ครั้งนี้ยามฝ่าบาทเสด็จสุสานหวงหลิงจึงให้ฉีอ๋องคุ้มกันขบวน แม้การไม่มีฉีอ๋องอยู่จะสะดวกกับพวกเรามากกว่า แต่หากพวกเราได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นฉีอ๋องย่อมมิสร้างความยุ่งยากมากมายให้พวกเรา ดังนั้นหากพวกเรายืนกรานจะขวางมิให้ฉีอ๋องกลับเมืองหลวง เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่มีทางคิดเรื่องนี้ไม่ออก”
ยงอ๋องขมวดคิ้วเป็นปม เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคาดว่าภายในไม่กี่วัน ฉีอ๋องก็คงนำทัพเคลื่อนที่เร็วกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว หากพวกเราขวางมิได้ ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ในเมืองหลวงคงบานปลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่ากองทัพคงเสียหายสาหัส”
ข้าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วเอ่ยอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยเทียนซิ่วใช้ช่องทางขององค์ชายแจ้งชิ่งอ๋องเรื่องที่ตนเองปลอดภัยดีแล้ว ทว่าชิ่งอ๋องกลับโกรธจัด ส่งลูกน้องจำนวนหนึ่งเดินทางมายังเมืองหลวง”
ยงอ๋องถอนหายใจ “ยุ่งยากจริงๆ ชิ่งอ๋องมักจะบุ่มบ่ามเช่นนี้เสมอ หากครั้งนั้นมิได้บุ่มบ่ามเช่นนี้ จะถูกเนรเทศไปอยู่ตงชวนได้เช่นไร”
ข้ายิ้มละไม เอ่ยว่า “ในความเห็นของกระหม่อม ชิ่งอ๋องกลับเป็นคนชาญฉลาด หากอยู่ในเมืองหลวง สำนักเฟิงอี้ย่อมสร้างความลำบากให้นานาประการ มิสู้หนีไปไกลโพ้น เป็นผู้ปกครองแคว้นแห่งหนึ่งจะดีกว่า”
ยงอ๋องกับสืออวี้สบตากันแล้วเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนปนรู้สึกผิด ข้าฉุกใจบางอย่างจึงเอ่ยขึ้นว่า “หรือมีสิ่งใดที่เจียงเจ๋อมิทราบ”
ยงอ๋องมองสืออวี้ สืออวี้จึงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่งที่องค์ชายกับข้าสงสัยมานานแล้ว วรยุทธ์ของชิ่งอ๋องคล้ายคลึงกับแนวทางของพรรคมารอยู่บ้าง”
ข้ารู้สึกตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “พรรคมารของเป่ยฮั่นเช่นนั้นหรือ”
ยงอ๋องเอ่ยตอบ “ความจริงแล้ว พรรคมารมิได้รวมเป็นหนึ่งเดียว กล่าวกันว่ายามจิงอู๋จี๋ไปจากจงหยวน มีศิษย์พรรคมารมากมายออกจากพรรคมารรั้งอยู่ต่อที่จงหยวน พวกเขาเชี่ยวชาญการซ่อนตัว อีกทั้งพวกเราก็มิคิดจะบีบคั้นพรรคมารจนเกินไปเพื่อไม่ให้จุดโทสะแก่จิงอู๋จี๋”
ข้ายิ้มบาง เอ่ยว่า “นี่จึงเป็นสาเหตุที่ฝ่าบาทกับองค์ชายมิกล้าเชื่อใจชิ่งอ๋องกระมัง”
ยงอ๋องยิ้มเจื่อนตอบ “เป็นเช่นนั้น ข้ามิกล้ามั่นใจว่าเพื่อการแก้แค้น เขาจะทำได้ถึงขั้นใด”
ข้าเอ่ยอย่างฉงน “หากเป็นเช่นนั้น ตงชวนก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ฝ่าบาทกับองค์ชายมิเป็นห่วงหรือ”
ยงอ๋องยิ้มละไมตอบ “หากชิ่งอ๋องมิคิดกบฏ อยู่ที่ตงชวนย่อมกระทำการได้ตามใจ แต่หากมีใจคิดกบฏ…”
ยงอ๋องอมยิ้มแต่มิเอ่ยคำใด ข้าเข้าใจความนัยจึงไม่ถามอีก ดูท่าข้างกายชิ่งอ๋องจะมีคนคอยสอดส่องควบคุมอยู่ นี่คงเป็นความลับภายในราชวงศ์ที่มีน้อยคนนักจะล่วงรู้ แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ ข้าถามขึ้นว่า “องค์ชายห้ามมิให้ชิ่งอ๋องมาเมืองหลวงได้หรือไม่”
ยงอ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้โก่วเหลียนนำไปห้ามปราม เขาต้องมีหนทางโน้มน้าวชิ่งอ๋องมิให้เข้าเมืองหลวงแน่”
ข้าถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดาย ฉีอ๋องคงห้ามมิง่ายเช่นนั้น”
ผ่านไปไม่กี่วัน ด้วยข้อเสนอของรัชทายาทกับขุนนางใหญ่จำนวนหนึ่ง ฉีอ๋องจึงได้รับบัญชาให้กลับเมืองหลวงมารายงานเรื่องราว นี่เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว ดังนั้นยงอ๋องจึงไม่ขัดขวาง ทว่ายงอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต่อให้เป็นการจุดความสงสัยให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ต้องขัดขวางฉีอ๋องจากการเข้าเมืองหลวงให้ได้ ในใจข้าวางแผนลอบสังหารเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้ฉีอ๋องมิอาจเข้าร่วมการแย่งชิงราชบัลลังก์ได้ชั่วคราว แม้จะทำให้เกิดข้อสงสัยอยู่บ้างก็พูดอันใดมิได้ อย่างไรก็ดีกว่าการที่กองทัพของฉีอ๋องกับกองทัพของยงอ๋องเปิดศึกกันมากนัก
ขณะที่ข้า ยงอ๋องกับสืออวี้กำลังหารือว่าจะวางแผนลอบสังหารอย่างไร องครักษ์นายหนึ่งกลับเข้ามารายงานว่า “องค์ชาย ฉีอ๋องส่งผู้ส่งสารลับมาขอพบองค์ชาย” พวกเราฟังแล้วต่างตกตะลึง ไฉนฉีอ๋องจึงส่งผู้ส่งสารลับมาเล่า แต่มิว่าอย่างไร ทูตของฉีอ๋องย่อมมิอาจไม่พบ ยงอ๋องจึงให้มาพบในห้องหนังสือ สืออวี้กับข้ายืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวา
เพียงครู่เดียวองครักษ์คนสนิทผู้หาญกล้าของฉีอ๋องก็เดินเข้ามา หลังคารวะเสร็จก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ ยงอ๋องอ่านจบสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีแล้วส่งจดหมายให้ข้า ข้ารับมาอ่าน เนื้อความในนั้นกล่าวว่าเดือนแปดวันที่สอง ฉีอ๋องเชิญยงอ๋องมาพบกันอย่างลับๆ ในวัดแห่งหนึ่งห่างจากฉางอันร้อยลี้ ยงอ๋องเอ่ยราบเรียบ “จงบอกฉีอ๋อง ข้าจักไปตามนัด”
หลังคนส่งสารจากไป สืออวี้ก็เอ่ยอย่างลังเล “การกระทำของฉีอ๋องมิค่อยปกติ องค์ชายจะไปจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ยงอ๋องเอ่ยว่า “หากมีโอกาสทำให้น้องหกเปลี่ยนจุดยืนได้ แม้ข้าเสี่ยงอันตรายก็คุ้มค่า”
ข้ากลับสะบัดพัดเอ่ยว่า “องค์ชาย นิสัยของฉีอ๋องมิใช่ผู้ที่จะยอมถอยเมื่อพบความยากลำบาก เกรงว่าเขาคงจะไม่เปลี่ยนจุดยืน แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีครั้งหนึ่ง หากคนของรัชทายาททราบว่าองค์ชายลอบพบกับฉีอ๋อง ถ้าเช่นนั้นพวกเขาย่อมมิกล้าเชื่อใจฉีอ๋องเต็มที่แล้ว นั่นย่อมลดทอนแรงกดดันของพวกเราได้”
ยงอ๋องลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “กลยุทธ์ยุให้แตกแยกเช่นนี้จะใช้ก็ใช้ได้ แต่ข้ากังวลว่าน้องหกจะคิดแค้นข้า”
ข้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฉีอ๋องเดิมทีก็เป็นอริกับองค์ชายอยู่แล้ว มีความแค้นเพิ่มมาเล็กน้อยก็ไม่มีอันใด รัชทายาทกับฉีอ๋องเดิมทีมีรอยบาดหมางกันอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นวิธีการอันดีที่จะทำลายผลประโยชน์ผู้อื่น สร้างประโยชน์ให้ตนเอง”
ยงอ๋องขบคิด “แต่คงต้องทำให้ข่าวหลุดไปถึงหูรัชทายาทอย่างลับๆ”
ข้ายิ้มละไม เอ่ยว่า “ด้วยความสามารถของสำนักเฟิงอี้ ขอเพียงองค์ชายแสร้งทำเป็นระวังยิ่งยวด จะต้องมีคนเฝ้าจับตาแน่นอน ถึงเวลาพวกเราก็ให้พวกนางเฝ้าดูจากไกลๆ เมื่อมิอาจทราบเรื่องราว ถึงเวลาย่อมคิดไปในทางร้าย”
ยงอ๋องยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หากทำให้น้องหกเอาตัวออกไปได้ ถ้าเช่นนั้นสิ่งใดล้วนคุ้มค่า น้องหกเป็นแม่ทัพผู้มากความสามารถ”
เดือนเก้าวันที่สองยามพลบค่ำ ยงอ๋องนั่งรถม้าออกจากนครฉางอัน ผู้ที่ติดตามมา นอกจากองครักษ์ร้อยกว่านายที่ทยอยออกจากเมืองมาสมทบ ก็มีข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อ ข้ายืนยันจะติดตามมาด้วยเพราะความจริงสงสัยใคร่รู้เจตนาของฉีอ๋องอยู่เล็กน้อย และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน อาจต้องให้ข้าตัดสินใจ ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อ หากไม่มีเขาปกป้อง ข้าจะวางใจเดินทางไกลเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมิใช่เจ้าสำนักเฟิงอี้ลงมือเอง ข้ามั่นใจว่าจะปลอดภัย
สถานที่นัดพบซึ่งฉีอ๋องกำหนดไว้เป็นวัดร้างเปล่าเปลี่ยวที่ไร้ผู้ดูแลแห่งหนึ่ง ยามที่พวกเรามาถึงฟ้าก็สางแล้ว องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องเก็บกวาดที่แห่งนี้จนสะอาดสะอ้าน รอบด้านเฝ้าระวังเข้มงวด ทว่าแต่ละคนล้วนแต่งกายธรรมดา นอกจากรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านข้างวัดก็ไม่มีจุดใดดึงดูดความสนใจของผู้คนแม้แต่น้อย
องครักษ์คนสนิทของยงอ๋องรีบเร่งเดินทางมาถึงก็วางการป้องกันอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอย่างแฝงความเป็นอริ เกิดเป็นสถานการณ์ที่กองกำลังคุมเชิงกันล้อมที่แห่งนี้ไว้จนน้ำมิอาจลอดผ่าน ข้าเหลือบมองเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาเข้าใจความนัยจึงไปประจำอยู่ตรงตำแหน่งที่เห็นทุกสิ่งในวัดน้อยในสายตา เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ปล่อยให้ผู้ใดบุกเข้ามาจนถึงตำแหน่งที่จะมองเห็นสถานการณ์ภายในวัดได้
ข้าติดตามยงอ๋องเดินเข้าไปในวัดน้อย ภายในอุโบสถของวัดที่เก็บกวาดจนไม่เหลือฝุ่นสักเม็ด เบื้องหน้าพระพุทธรูปเก่าทรุดโทรม บุรุษผู้สวมอาภรณ์งดงามคนหนึ่งยืนเอามือไหล่หลัง เชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนงมองดูพระพุทธรูปอยู่ ข้าหยุดฝีเท้า ฉีอ๋องในยามนี้แตกต่างจากที่ข้าเคยเห็นก่อนหน้านี้
สี่ปีก่อนยามพบหน้ากันครั้งแรกที่หนานฉู่ เขาเป็นชินอ๋องแห่งต้ายงผู้มีความโอหังสูงเทียมเมฆา ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไอสังหารชวนให้คนหนีห่าง พบหน้ากันครั้งที่สองเขาต้องพิษบาดเจ็บหายใจรวยริน แต่กลับเปิดเผยด้านที่ตรงไปตรงมาของเขา ครั้งที่สามพบหน้ากันที่เมืองหลวงต้ายง เขาเปี่ยมความจริงใจ หากมิใช่รู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ไฉนข้าจะเตรียมอาศัยเขาเพื่อหนี
วันเวลาหลังจากนั้นข้าอยู่ที่จวนยงอ๋องต่อสู้กับฝ่ายรัชทายาทไม่ได้หยุดหย่อน แม้ฉีอ๋องอยู่ฝ่ายเดียวกับรัชทายาทแต่กลับถูกกดเอาไว้ มิอาจกลับไปยังกองทัพ แม้กำแหงโอหังก็ยากหนีพ้นความผิดหวัง ความโอหังก่อนหน้านี้จึงค่อยๆ ลดทอน วันนี้ได้พบพาน อาจเป็นเพราะถูกสงครามที่ชายแดนขัดเกลา ฉีอ๋องผู้อยู่ในวัยสามสิบปีจึงมีความโอหังที่เก็บงำไว้ใต้ความสง่างามบ้างแล้ว คล้ายคลึงกับยงอ๋องในอดีตอยู่บ้าง
ตอนต่อไป