บทที่ 457 ระบายความโกรธ
บทที่ 457 ระบายความโกรธ
หลี่ว์หรูหยาปั่นจักรยานจนเหงื่อท่วมร่าง และในที่สุดก็มาถึงร้านอาหารเสียที
เวลานี้ภายในหออีหมิงเต็มไปด้วยลูกค้ามากมาย และเนื่องจากพวกเขาไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า จึงได้แต่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้าประตู
โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้คิดจะมารอคุณฉือ กินข้าวช้าหน่อยคงไม่เป็นไร
แต่อาหารที่หออีหมิงอร่อยจริง ๆ นะ
เขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
หลี่ว์หรูหยาเริ่มหิวมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นอาหารถูกนำออกมาจากครัวทีละจาน ๆ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะเข้าไปแย่ง
ทำยังไงดี?
หลี่ว์หรูหยาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
ถึงจะมองไม่เห็น แต่จมูกยังได้กลิ่นหอมที่โชยมา เข้าใจแล้วว่าหนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปีมันเป็นยังไง
เขารอนานกว่าหนึ่งชั่วโมงอยู่บนเก้าอี้หน้าประตู และในที่สุดก็มีโต๊ะว่างสำหรับพวกเขา
หลี่ว์หรูหยาท้องร้องโครกครากเพราะกลิ่นหอมกรุ่นของอาหาร เขารีบสั่งอาหารมาสองจาน เป็นอาหารจานเนื้อหนึ่งจาน จานผักหนึ่งจาน และข้าวสองถ้วยใหญ่
ตอนนี้เขารู้สึกหิวเหมือนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว
ถ้าตอนนั้นให้วัวมาหนึ่งตัว เขาคงกินเกลี้ยงจนไม่เหลือซากแน่นนอน
หออีหมิงเสิร์ฟอาหารไวมาก ในไม่ช้าอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ
หลี่ว์หรูหยาไม่สนใจภาพลักษณ์อีกต่อไป เขาหยิบถ้วยขึ้นได้ก็ตักข้าวคำโตทันที
กินไปได้ครึ่งทาง เขาเหลือบมองมาเห็นชายชราที่พบในร้านเมื่อวานนี้
เป็นคนที่เปล่งประกายไปด้วยความรู้และดูทรงพลัง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการกิน เขาจึงไม่ได้สนใจอะไร
กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายทักคุณปู่ซูอย่างเป็นกันเอง!
และคุณปู่ซูก็คุยอย่างเป็นกันเองกับเขามากเช่นกัน และพวกเขาก็เริ่มสนทนากัน
หลี่ว์หรูหยากำลังคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายน่าสนใจจริง ๆ ที่มาหออีหมิงทั้งทีแต่ไม่กินข้าวเลย
ยังไม่ทันกลืนลงไปก็ได้ยินคุณปู่ซูพูดขึ้น
“สหายฉือ แกเห็นคนนั้นไหม เขากำลังตามหาแกอยู่น่ะ!”
ชายชราคนนี้คือฉือเก๋องั้นหรือ?
ตะเกียบในมือของหลี่ว์หรูหยาร่วงหล่นจากมืออย่างแรง เมื่อวานชายผู้นี้นั่งดื่มชาข้าง ๆ โต๊ะเขานี่ แถมยังเผชิญหน้ากันตลอดทั้งบ่ายเลยด้วย!
หลี่ว์หรูหยาอยากจะถามตัวเองนักว่าเมื่อวานพลาดอะไรไป?
เขานั้นอยากจะหลั่งน้ำตาออกมา คนที่ตามหาคือคนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ เมื่อวานนี้แท้ ๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
พอนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ ชายหนุ่มไม่สนใจเรื่องข้าวอีกต่อไปแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น
“คุณคือคุณฉือเก๋อหรือครับ?”
“ถ้าคุณฉือที่ว่าหมายถึงฉือเก๋อ เธอก็มาหาถูกคนแล้วล่ะ!” ฉือเก๋อพูดช้า ๆ ขณะถือถ้วยชา
ชาของตระกูลซูรสชาติดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไร
อันที่จริงพวกเขาเปลี่ยนที่ไหนล่ะ อารมณ์ของฉือเก๋อต่างหากที่เปลี่ยนไป
ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ความขุ่นมัวในใจของเขาพลันน้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งดีขึ้นมาก
โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ ฉือเก๋อได้ยินข่าวคราวของลูกชายและลูกสาวที่อยู่ต่างประเทศ อารมณ์ของเขาเลยดีขึ้นมาเยอะ
เป็นผลให้แม้แต่ใบชาที่ไม่ชอบมาก่อนยังอร่อยขึ้นเป็นกอง
ส่วนหลี่ว์หรูหยาไม่รู้ว่าฉือเก๋อคิดอะไรอยู่
แต่พอเห็นรอยยิ้มในดวงตา ก็ทนรออีกต่อไปไม่ไหว
“สวัสดีครับคุณฉือ ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่…”
ไม่ทันได้พูดจบ ฉือเก๋อตัดบทด้วยใบหน้าเย็นชาทันที
“เดี๋ยวก่อนนะ คุณบอกว่ามาจากโรงงานไหนนะ?”
หลี่ว์หรูหยาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาแนะนำตัวเองต่อด้วยท่าทีจริงจัง
“คุณฉือ ผมมาจากโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่…”
“คนของโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่นี่เอง! คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ฉือเก๋อปฏิเสธ
หลี่ว์หรูหยาสับสน ทำไมไม่ให้เขาพูดให้จบก่อนล่ะ?
“คุณฉือ ผมยังไม่ได้พูด…”
“ไม่จำเป็นต้องพูด คนของโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่เป็นกลุ่มที่ฉันเทียบเคียงไม่ได้หรอก!” น้ำเสียงของฉือเก๋อเต็มไปด้วยความเย็นชา
ถึงจะอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือมานาน แต่เขาก็มีความทะนงตนถือตัวอยู่ดี
ถึงหลี่ว์หรูหยาจะคิดมาก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายไม่น่าพูดจาดีด้วย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีท่าทางแบบนี้เลย
แล้วจะทำยังไงต่อดี?
ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้ การที่เขาปฏิบัติแบบนี้ด้วยเพราะเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
ชายหนุ่มนึกถึงหม่าว่านกั๋วตามสัญชาตญาณ
คนคนนั้นพบคุณฉือแล้ว แต่เชิญเขามาเป็นล่ามไม่ได้
นี่คือสิ่งที่ผู้อำนวยการหูบอก
แล้วสถานการณ์ในตอนนั้น มันมีแค่นี้จริง ๆ หรือ?
มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของหลี่ว์หรูหยาเหมือนสายฟ้าแลบ
หม่าว่านกั๋วต้องพูดจาแสลงหูอีกฝ่ายเข้าแน่ ๆ ไม่แน่อาจจะทำให้คุณฉือเคืองมากเลยก็ได้
“คุณฉือครับ คุณเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับโรงงานของพวกเราหรือเปล่าครับ?” หลี่ว์หรูหยารีบถาม
ถ้าเป็นเพราะเหตุนั้น ทำไมเมื่อวานที่พบกันถึงยังยิ้มให้ด้วยล่ะ
ฉือเก๋อชำเลืองมองด้วยแววตาเฉยเมย “เถ้าแก่ซู ฉันว่าจะเป็นการดีถ้าไม่ให้คนจากโรงงานนี้เข้าร้านในภายภาคหน้านะ!”
หลี่ว์หรูหยากำลังจะร้องไห้ หมายความว่ายังไงเนี่ย?
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เขาย่างกรายเข้ามาในร้านนี้ไม่ได้แล้วหรือ?
ไอ้เวรหม่าว่านกั๋ว แกทำขนาดไหนถึงทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้โกรธเคืองขนาดนั้น
“คุณฉือ ถ้าคุณเข้าใจอะไรผิดไปก็อยากให้ฟังผมอธิบายก่อนนะครับ!” หลี่ว์หรูหยาไม่อยากยอมแพ้เช่นนั้น
ตอนนั้นเองที่ฉืออวี้เลี่ยงผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมกำลังรีบร้อนมาที่หออีหมิง และได้เห็นฉากนี้พอดี
เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่จากจิตใต้สำนึกมันบอกว่าฉือเก๋อไม่ใช่คนที่จะทะเลาะกับคนอื่นไปทั่ว
และเหตุผลที่เขากล่าวเช่นนี้จะต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ ๆ และมันไม่น่าใช่เรื่องเล็กน้อยด้วย
เพราะในช่วงหลายปีมานี้ โรงงานของเราไปได้สวยมาก
ปกติเราจะควบคุมพนักงานพอสมควร และขอร้องไว้ว่าเวลาออกไปข้างนอกจะต้องใจดีต่อผู้อื่นเสมอ
หรือฉือเก๋อจะเข้าใจอะไรผิดมา?
“คิดจะกอบกู้ความผิดพลาดสินะ!” ฉือเก๋อเอ่ยอย่างเฉยเมย
ความหมายชัดเจนว่าปฏิเสธที่จะฟังสินะ
แม้ฉืออวี้เลี่ยงจะเคารพฉือเก๋อ แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะฟังคำอธิบายก็อารมณ์เสีย
ตอนนั้นเองที่ได้ยินลูกน้องเอ่ยขึ้น
“คุณฉือครับ รองผู้อำนวยการโรงงานของเราพูดอะไรไม่น่าฟังหรือเปล่าครับ เลยทำให้เราเข้าใจกันผิดไปหมด?”
เพราะหลี่ว์หรูหยาเข้าประเด็น มุมปากชายชราจึงมีรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้น
“โรงงานไหมฉี่ลี่ของพวกคุณเนี่ย เป็นโรงงานที่สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยอัตราเงินต่างประเทศนี่ เพราะงั้นคนธรรมดาแบบเรา ๆ ไม่กล้าเทียบเคียงหรอกนะ!”
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแต่หลี่ว์หรูหยาที่เข้าใจเท่านั้น แต่ฉืออวี้เลี่ยงก็เข้าใจด้วย
ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น
หม่าว่านกั๋ววัน ๆ ไม่คิดจะทำเรื่องมีประโยชน์ ทำไมเอาแต่หมกมุ่นกับการขุดหลุมฝังตัวเองนัก?
แล้วหลุมที่ขุดเนี่ย ทำไมไม่ฝังตัวเองตอนเป็น ๆ เข้าไปล่ะ?
“คุณฉือครับ รองผู้อำนวยการหม่าก็คือรองผู้อำนวยการหม่า โรงงานผ้าไหมก็คือโรงงานผ้าไหม ได้โปรดอย่าดูถูกโรงงานของเราเพียงเพราะปัญหาจากคนคนเดียวเลยนะครับ!”
หลี่ว์หรูหยาเกือบจะร้องไห้อ้อนวอนออกมาเสียแล้ว หากมันสามารถทำได้ เขาก็ไม่ลังเลหรอกนะ!
ฉือเก๋อเหลือบมองอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้พูดอะไร แววตายังเย็นชาเหมือนเดิม
ชายหนุ่มเริ่มร้อนรนมากขึ้น วันนี้เขามาด้วยความคิดที่ว่าจะต้องชนะด้วยซ้ำ
แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะยากเย็นได้ถึงเพียงนี้ ทำยังไงดีล่ะ?
“คุณฉือครับ คุณเห็นแก่ความจริงใจในตัวตนของผมก็ได้ ให้โอกาสผมได้พูดสักสองสามประโยคได้ไหมครับ?”
หลี่ว์หรูหยาเป็นคนที่อดทนมาก ๆ ถึงมากที่สุด ต่อให้ถูกปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชา แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้ม
“พูดมา ฉันจะให้เวลาคุณสามนาที!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความพยายามของเขาหรือเปล่า จึงทำให้ฉือเก๋อเปลี่ยนไปและตอบตกลง
สามนาที?
รองผู้จัดการโรงงานหลี่ว์ตะลึงงัน นี่เขาตกลงแล้วใช่ไหม?
เขารีบยิ้มรับ กลัวว่าถ้ามัวแต่คิด เวลาสามนาทีจะสั้นไป
แต่ตนไม่กล้าพูดประโยคนี้ออกไปจึงได้แต่เรียบเรียงคำที่จะพูดให้ได้มากที่สุด
“คุณฉือครับ วันนี้ผมมารบกวนคุณอยากให้ช่วยเหลือโรงงานของพวกเราครับ ผมทราบดีว่าตัวตนของคุณ… อย่างไรก็ดี คุณฉือครับ ธุรกิจนี้สำคัญกับโรงงานผ้าไหมของเรามากครับ”
หลี่ว์หรูหยาพูดโดยไม่หยุดเป็นเวลาสามนาที และมันก็สามนาทีจริง ๆ
เขาพูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้อวดตนข่มเหงผู้อื่นอย่างที่หม่าว่านกั๋วทำในตอนนั้น
และมันสื่อได้ถึงความยากลำบากของปัญหาที่ทางโรงงานกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างงดงาม
กระทั่งหมดเวลาสามนาที หลี่ว์หรูหยาพูดจนจบแและไม่ได้เอ่ยต่ออีก
พฤติกรรมของเขาทำให้ฉือเก๋อชื่นชมมากขึ้นเล็กน้อย