นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 351 ถูกผู้ชายทิ้งแล้ว
ทันทีที่มาถึงร้าน บรรดาคนที่รั้งอยู่ในร้านก็ทยอยเดินเข้ามาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไป๋ยี่เซวียนตอบกลับทักทายพวกเขาทีละคน ๆ จนครบ แล้วให้พวกเขากลับไปพักผ่อนก่อน
เวลานี้โจวกุ้ยหลานก็ไม่มัวคุยอะไรกับไป๋ยี่เซวียนให้มากมายแล้ว นางพาลูกทั้งสองกลับบ้านตัวเองพร้อมกับกลุ่มซิ่วฉาย ทำอาหารง่าย ๆ สองสามอย่างให้พวกเขากินเสร็จ ก็อาบน้ำอาบท่า จากนั้นก็พาลูกทั้งสองกลับไปที่ห้องแล้วเข้านอน
เด็กน้อยทั้งสองเงียบงันมาตลอดทาง ตอนนี้พอพวกเขาเอนตัวลงนอนบนเตียง ก็เห็นว่าสีหน้าของแม่ยังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เสี่ยวรุ่ยหนิงเอื้อมมือออกไปลูบใบหน้าของโจวกุ้ยหลานเบา ๆ ก่อนจะถามนางอย่างระมัดระวังว่า “แม่ไม่มีความสุขหรือ?”
โจวกุ้ยหลานคว้ามือเล็ก ๆ อันอวบอ้วนของเขามาแนบริมฝีปาก แล้วกดจูบลงไปเบา ๆ พยายามฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “แม่ไม่ได้ไม่มีความสุขสักหน่อย พวกเจ้ารีบเข้านอนเถอะ”
“แม่โกหก!” เสี่ยวรุ่ยอานแฉคำพูดโกหกของแม่อย่างไม่รอช้า
โจวกุ้ยหลานชะงักไปชั่วขณะ ณ.เวลานั้น นางเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับลูกทั้งสองคนอย่างไรดี
พวกเขาอายุยังไม่ถึงสามขวบเลย ยังอยู่ในวัยไม่ประสีประสา แต่กลับต้องมาใส่ใจดูแลเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของนาง
นางถอนหายใจเฮือก สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป: “ถ้าในอนาคตพวกลูกจะไม่มีพ่ออีกต่อไปแล้ว พวกลูกจะเสียใจกันไหม?”
หลังจากคำถามนี้หลุดออกจากปากไป นางกลับรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาซะแล้ว
ลูกบ้านไหนบ้างที่ไม่อยากมีพ่อ? ลูกที่ไม่มีพ่อจะมีความสุขได้ยังไงล่ะ?
แต่ตอนนี้ สวีฉางหลินไม่ยอมรับว่ารู้จักพวกเขา ซึ่งนั่นก็แปลได้ว่านางไม่มีสามี ส่วนลูก ๆ ทั้งสองก็ไม่มีพ่อ
“อานอานต้องการแม่!”
“หนิงหนิงก็ต้องการแม่เหมือนกัน!”
เด็กน้อยทั้งสองคล้ายจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า การไม่มีพ่อมันหมายความว่ายังไง เวลานี้พวกเขาจึงได้แต่พูดปลอบโจวกุ้ยหลานด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็ก ๆ
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าจมูกตัวเองพลันแสบร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน รีบปิดตาลูก ๆ ทั้งสอง สูดน้ำมูกเบา ๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “นอนเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองขยับตัวยุกยิกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น แค่หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ยอมนอนหลับอย่างว่าง่าย
โจวกุ้ยหลานควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินไหลออกมาจนอาบนองใบหน้า นางไม่กล้าสูดน้ำมูก ทั้งไม่กล้าส่งเสียงสะอื้น ทำได้เพียงกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้ พยายามฝืนข่มกลั้นจิตใจบอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่นางเกิดความรู้สึกหนักแน่นแบบนี้กับสวีฉางหลิน นางบอกว่าจะรอเขาแค่สามปี ถ้าเขาไม่กลับมานางก็จะแต่งงานใหม่ แต่ในความเป็นจริง หลังจากที่นางรอมาแล้วสามปีโดยที่ไม่ได้เจอเขาเลย นางกลับเร่งเดินทางมาที่เมืองหลวงแทน
นางบอกว่าจะให้เวลาเขาหนึ่งปี ให้เขาไปจัดการกับเรื่องอะไรทั้งหลายเหล่านั้นของเขาให้เสร็จ จากนั้นก็ซื้อบ้านในเมืองหลวงเพื่อลงหลักปักฐาน ทั้งยังเริ่มร่วมมือกันทำธุรกิจกับไป๋ยี่เซวียนอย่างเป็นทางการด้วย
แต่เขาล่ะ? ทำไมต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนั้น เขาถึงพูดอะไรที่มันทั้งเชือดเฉือนทั้งทำร้ายจิตใจกันถึงขนาดนั้นได้?
เขาคิดว่าหัวใจของนางทำด้วยเหล็กกล้าจริง ๆ งั้นเหรอ? ถึงได้จะไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลย?
แม้กระทั่งตอนที่ฮ่องเต้ทรงมอบสมรสพระราชทานให้ นางก็ไม่เห็นว่าเขาจะขัดขืนคัดค้านอะไรเลย หรือบางที เขาอาจจะอยากละทิ้งเรื่องราวเก่า ๆ ทั้งหมดนี้ไปจริง ๆ ทิ้งทั้งนาง ทิ้งทั้งลูกทั้งสองคน
แล้วนางล่ะ? นางควรทำอย่างไรต่อไปดี?
จนถึงช่วงกลางดึก ข้างนอกฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ในตอนแรกยังตกแค่เป็นละอองบางเบาส่งเสียงดังเปาะแปะ ๆ แต่เวลาต่อมา ก็เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
เมื่อโจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงฝน ก็พลิกตัวแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองบนหลังคา พบว่ากระเบื้องที่แต่ก่อนมักจะถูกงัดออก มาวันนี้ยังคงปิดสนิทแนบแน่นดีไม่มีอะไรบุบสลาย ว่างเปล่าไร้เงาคน
จู่ ๆ นางก็เกิดความรู้สึกสมเพชตัวเองน้อย ๆ พลิกตัวไป แล้วนอนหลับต่อ
รอจนถึงรุ่งเช้า นางลุกจากที่นอน ก็พบกับอากาศหนาวเย็นที่โชยพัดเข้ามา
โจวกุ้ยหลานหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาใส่ จากนั้นก็ไปเอาเสื้อผ้าหนา ๆ ออกมาใส่ให้กับลูก ๆ ทั้งสองคน จากนั้นก็ออกไปทำอาหารเช้า
นางต้มโจ๊กหม้อใหญ่ เพิ่มไข่ต้มอีกสิบสามฟอง บวกกับหมั่นโถวอีกยี่สิบกว่าลูก อาหารเช้าวันนี้ก็พร้อมแล้ว
นางยกอาหารออกมาวางลงบนโต๊ะ เมื่อถึงเวลา ก็เห็นคนเหล่านั้นมานั่งที่หน้าโต๊ะโดยยึดตามเวลาปกติของทุกวัน แต่ติดแค่ว่าในตอนที่ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันไปมา ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลย
เมิ่งเจียงถามโจวกุ้ยหลานอย่างระมัดระวังว่า: “ป้า…..กุ้ยหลาน …ท่าน….ท่านเป็นอะไรไปน่ะ?”
ขณะที่พูด เขาก็ชี้ไปที่รอยคล้ำวงใหญ่ที่อยู่ใต้ตาของโจวกุ้ยหลานไปด้วย
คนเหล่านั้นต่างพากันมองไปที่ใบหน้าของโจวกุ้ยหลาน จากนั้นก็สะดุ้งตกใจจนแทบจะชักเท้าถอยหนีกันอยู่แล้ว
ในเวลานี้ สองตาของโจวกุ้ยหลานหมองหม่นไร้ประกาย ดวงตาบวมช้ำ ใต้ตามีรอยคล้ำวงใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว แม้แต่ริมฝีปากก็ยังไม่มีสีเลือดไปด้วยแล้ว
นี่มันใช่คนที่ดุเปนหมาที่ข่มเหงรังแกพวกเขาจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ คนนั้นเสียที่ไหน? นี่ก็แค่สาวน้อยอ่อนแอที่กำลังป่วยหนักคนหนึ่งเท่านั้นเอง…..
โจวกุ้ยหลานวางตะเกียบลงบนโต๊ะ กระพริบสองตาที่แห้งผากของตัวเอง แล้วพูดด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ว่า “ผู้หญิงขี้โมโหที่ถูกผู้ชายทิ้ง ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่รึ?”
“ไร้กฎเกณฑ์สิ้นดี! ผู้หญิงยิงเรือคนหนึ่ง อ้าปากก็ผู้ชายหุบปากก็ผู้ชาย มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”
อาจารย์ขมวดคิ้วมุ่น แล้วเอ่ยตำหนินาง
โจวกุ้ยหลานไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อปากต่อคำกับอาจารย์แล้ว นางคว้าไข่ต้มมาฟองหนึ่งแล้วเริ่มปอกเปลือก
“ท่านอาจารย์ ป้ากุ้ยหลานช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะ…..” เมิ่งเจียงพูดไปได้ครึ่งเดียว ก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว
แต่ความหมายที่แสดงออกนั้นได้ชัดเจนมาก คือโจวกุ้ยหลานอารมณ์ไม่ดี ท่านอาจารย์โปรดอย่าได้ต่อว่านางอีกเลย
อาจารย์ปรายตามองเมิ่งเจียงแวบหนึ่ง รู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อคิดว่าเมื่อวานนี้โจวกุ้ยหลานไปศาลมา เกรงว่าคงจะไปเจอเรื่องอะไรที่ทำให้นางหงุดหงิดใจเข้าจริง ๆ จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองพูดอะไรผิด เพราะถึงอย่างไรผู้หญิงคนหนึ่ง ก็สมควรปฏิบัติตัวตามกฎของผู้หญิงที่พึงกระทำจริง ๆ
โจวกุ้ยหลานใส่ไข่ที่ปอกเสร็จแล้วลงไปในชามข้าวของเสี่ยวรุ่ยอาน แล้วหยิบไข่อีกฟองขึ้นมาปอก พลางถามแบบไม่จริงจังอะไรว่า “อากาศหนาวแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังใส่เสื้อชั้นเดียวกันอยู่อีกล่ะ?”
นางยังถึงกับเอาพวกเสื้อที่เป็นผ้าฝ้ายเนื้อบางออกมาใส่ให้ลูก ๆ ทั้งสองคนแล้ว แต่พวกบัณฑิตกลุ่มนี้ กลับยังใส่แค่เสื้อบาง ๆ ชั้นเดียว ร่างกายอ่อนแอของพวกเขามีสิทธิ์ที่จะแข็งตายได้ง่าย ๆ เลยนะ
ทั้งแปดคนนั่งล้อมรอบโต๊ะ แต่ละคนถือชามโจ๊กร้อน ๆ ไว้คนละชาม รับไอความร้อนที่ลอยกรุ่นขึ้นมาจากในชามนั้น เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกหนาวเย็นมากนัก
ยังคงเป็นเมิ่งเจียงที่เอ่ยปาก ตอบออกมาว่า “พวกเรายังไม่หนาว”
“ใช่แล้ว แถมเสื้อผ้าหนา ๆ ก็ซักยากด้วย” จ้าวจงตี้บ่นพึมพำตามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มข้าวของตัวเอง
หลังจากกินข้าวเสร็จ นางก็กางร่ม แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ร้านท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกหนัก
นางย่ำหนักก็แล้วย่ำเบาก็แล้ว แต่ก็ยังมีน้ำที่ขังบนพื้นกระเซ็นขึ้นมาโดนไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยนิดหน่อย เหมือนจะเดินต่อไม่ไหว จึงหยุดพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มืดสนิทไปเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะเอนกายลงนอนตรงนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ๆ
เมื่อเข้าไปในร้าน พอกวาดตามองไป ก็เห็นว่าทุกคนกำลังจัดโต๊ะเก้าอี้กันอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
“เถ้าแก่โจว ท่านมาแล้วรึ?” ลูกจ้างในร้านคนหนึ่งเห็นนาง จึงเข้ามาพูดทักทายนางอย่างมีมารยาท
โจวกุ้ยหลานตอบรับไปประโยคหนึ่ง เก็บร่มแล้วสะบัด ๆ น้ำให้แห้ง นำไปวางไว้ที่ข้างประตู เดินเข้าไปข้างในเอง แล้วเริ่มช่วยคนในร้านทำความสะอาด
ด้วยความที่คืนวันก่อนนอนไม่ค่อยหลับ ทำให้แม้ว่านางจะมีใจอยากช่วย แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง
รอจนทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ช่วงเวลาที่แต่ก่อนตามปกติแล้วจะต้องเริ่มมีลูกค้าเข้าร้านมาบ้าง มาตอนนี้กลับไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว
บรรดาลูกจ้างในร้านต่างก็ร้อนใจเช่นกัน เริ่มหันมาปรึกษากันเองเพื่อคิดหาวิธี
ไป๋ยี่เซวียนกลับเข้ามาจากข้างนอก เมื่อได้เห็นใบหน้าของโจวกุ้ยหลานก็ถึงกับตกใจจนผงะ : “นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเฉย ๆ ” โจวกุ้ยหลานตอบแบบพอเป็นพิธี จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย: “ทำไมเจ้าถึงกลับมาจากข้างนอกล่ะ?”
“ข้าออกไปซื้อวัตถุดิบข้างนอกมา” ไป๋ยี่เซวียนพูดพลางโบกมือไปทางลูกจ้างสองคน สั่งให้พวกเขาไปย้ายของที่อยู่ด้านนอกเข้ามา