ตอนที่ 265 ไม่มีชีวิตแล้ว
เย่ซิวตู๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จึงอุ้มหนานหนานไปวางบนโต๊ะ และเอ่ยกับอวี้ชิงลั่ว “ข้ามีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย เจ้าพูดคุยกับหนานหนานไปก่อน”
“อืม” อวี้ชิงลั่วเห็นท่าทางของพ่อบ้านเช่นกัน จึงพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรออกมา
หนานหนานเอียงศีรษะ จู่ ๆ เด็กน้อยก็พบว่าตนนั้นไม่ได้อยู่กับท่านแม่เป็นเวลาสิบกว่าวัน แต่ทั้งสองกลับเข้าใจกันดีเป็นอย่างมาก
ท่าทางของท่านแม่…อืม อ๋า ใช่แล้ว ช่างเหมือนกับเจ้าของบ้านของตำหนักอ๋องแห่งนี้ ดูเป็นธรรมชาติเอาเสียมาก ๆ
เย่ซิวตู๋พาโม่เสียนและคนอื่นไปด้วย จึงทำให้ที่ตรงนั้นเหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คน
อวี้ชิงลั่วให้หนานหนานลงมาจากโต๊ะ หญิงสาวเป็นกังวลจริง ๆ ว่าเด็กน้อยจะทำโต๊ะพังลงมา
หนานหนานไม่พอใจเอามาก ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ท่านแม่จะได้พบตน เหตุใดนางจึงไม่มีท่าทางที่ดีใจจนอยากร้องออกมาหรืออยากกอดเขาเลย? ด้วยเหตุนี้หนานหนานจึงปีนลงมาจากโต๊ะ ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนขาของอวี้ชิงลั่ว
อวิ้ชิงลั่วคร่ำครวญ หญิงสาวต้องการนำเด็กตัวโตผู้นี้ออกไป แต่ยังคงอดทนต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกชายของตนเสียหน้าต่อคนมากมาย
“หนานหนาน เหตุใดจู่ ๆ เจ้าจึงกลับมาที่ตำหนักอ๋องล่ะ?”
หนานหนานยังคงสังเกตอวี้เป่าเอ๋อร์อย่างละเอียด เขารู้สึกว่าอวี้เป่าเอ๋อร์ผู้นี้ถึงใบหน้าของเขาจะมีน้ำหมึกเลอะอยู่มากกว่าครึ่ง แต่หน้าตาก็ดูคุ้นเคยเหมือนกับเด็กที่มาเอะอะโวยวายว่าต้องการจะไปที่จวนของเสนาบดีฝ่ายขวาเมื่อไม่กี่วันก่อน ต่อมาก็โดนท่านอาแปดซัดจนหมดสติ
เมื่อได้ยินเสียงของอวี้ชิงลั่ว เด็กชายก็ตกใจ ผ่านไปสักพักจึงเงยหน้าขึ้นมา “ท่านแม่ท่านไม่รู้หรือ? ท่านพ่อบอกว่าจะสอนวรยุทธ์ให้ข้า จึงให้ข้ากลับมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องแห่งนี้ โอย…พอหนานหนานคิดว่าจะต้องเรียนวรยุทธ์ ก็รู้สึกจิตใจไม่ดีแล้วท่านแม่”
สอนวรยุทธ์หนานหนาน? อวี้ชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ เรื่องนี้นางเองก็เคยคิดเช่นกัน แต่ยังคิดไม่ทันเย่ซิวตู๋ คาดไม่ถึงว่าเขาก็มีความคิดเหมือนกับตน และยังรวดเร็วกว่าอีกด้วย ไม่ทันไรก็จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว
ที่ไม่ได้บอกนางในตอนแรก เพราะวางแผนจะทำให้นางประหลาดใจใช่หรือไม่?
อวี้ชิงลั่วส่ายหน้า นางคิดว่าตนคงจะคิดมากเกินไปแล้ว
หนานหนานดิ้นและกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของหญิงสาว เด็กชายเดินไปหาอวี้เป่าเอ๋อร์อยู่ข้างหน้า ดึงแขนของเขาและเอ่ยขึ้น “มาๆ ข้ามีเรื่องใคร่อยากจะถามเจ้า”
ว่าแล้วก็ดึงมือของเด็กหนุ่มเข้าไปในห้อง
อวี้ชิงลั่วกระตุกมุมปาก และมองไปที่เย่หลานเฉิงที่ยิ้มอยู่ข้าง ๆ
“ท่านน้าชิง” เย่หลานเฉิงยังคงเคารพอย่างสุภาพเช่นเคย นิสัยเช่นนี้นั้นแตกต่างจากหนานหนานเป็นอย่างมาก
“เจ้ามานี่ ข้าจะตรวจชีพจรให้เจ้า” เขากินยาแก้พิษที่ตนเองได้จัดให้ไปแล้ว พิษที่อยู่ภายในร่างกายก็ควรจะได้รับการรักษา
เย่หลานเฉิงพยักหน้า และเลื่อนเก้าอี้มานั่งบริเวณด้านหน้าของหญิงสาว เยว่ซินหันไปมองซ้ายขวา นางเองก็ยังต้องการที่จะอยู่ข้าง ๆ อวี้ชิงลั่ว อีกทั้งยังต้องการจะออกไปดูคุณชายน้อย จึงได้แต่หันซ้ายหันขวาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในที่สุดหญิงสาวก็ขยี้เท้า และค่อย ๆ เดินออกไป
เมื่อออกจากประตูไปก็ใช่ว่าจะเห็นเงาของหนานหนาน หญิงสาวหันมองทางซ้ายหันมองทางขวา แม้แต่คนรับใช้ของตำหนักอ๋องเพียงสักคนก็ไม่พบ จนไม่เข้าใจว่าทุกคนนั้นไปไหนกันหมด
รวมถึงองครักษ์ทั้งสี่ที่ออกไปพร้อมกับเย่ซิวตู๋ก็หาตัวไม่พบ
ในห้องตำรา
เย่ซิวตู๋ฟังข่าวที่ผู้พิทักษ์ทมิฬนำมารายงานด้วยสีหน้าที่เย็นชาและกำมือแน่น
ท่านหมอเริ่นเสียชีวิตแล้ว! !
คนผู้นี้ก็คือผู้นำสำนักแพทย์หลวงคนก่อนที่ปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมเยว่หมิงเพื่อเป็นผู้ตัดสินให้กับอวิ้ชิงลั่วและท่านเสิ่นเมื่อไม่กี่วันก่อน และเขาก็ถูกสังหารไปเมื่อคืนก่อน
“มีข่าวอะไรมาจากทางผู้ตรวจการเมืองหลวงบ้าง?”
ผู้พิทักษ์ทมิฬคุกเข่าลงกับพื้น และส่ายหน้าช้า ๆ อย่างไร้ความรู้สึก “ไม่มีเบาะแสจากใต้เท้าเย่เลยขอรับ ท่านหมอเริ่นเสียชีวิตที่ห้องหลังร้านยาซิงเซิ่ง ขั้นตอนการลงมือนั้นชำนาญเป็นอย่างมาก ดูท่าแล้วคงจะเป็นนักฆ่ารับจ้างโดยเฉพาะ และสภาพห้องของท่านหมอเริ่นนั้นก็เละเทะไปหมด ดูเหมือนว่าฆาตกรกำลังมองหาอะไรบางอย่างขอรับ”
เหวินเทียนและคนอื่น ๆ สบตากัน “นายท่าน ที่อยู่ของท่านหมอเริ่นผู้นี้เป็นปริศนามานานหลายปี เมื่อมองดูแล้วมันไม่สมเหตุสมผล เขาเองก็รู้ว่ามีคนต้องการที่จะสังหารตนเอง ”
“ใช่” โม่เสียนเอ่ยขึ้น “เพียงเพราะเขาเองก็เป็นหมอมาทั้งชีวิต ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าหมอปีศาจจะมาประลองที่โรงเตี๊ยมเยว่หมิง จึงทนไม่ไหวที่จะปรากฏตัวออกมา คาดไม่ถึงว่าจะจบชีวิตลง”
“นายท่าน ตอนนั้นที่ท่านหมอเริ่นออกจากตำแหน่งหมอหลวง หลังจากนั้นก็หายตัวไปหลายปี ปัจจุบันเพียงแค่ปรากฏตัวก็ถูกสังหารอย่างเงียบ ๆ เป็นไปได้ไหมขอรับว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคนในวัง?” เสิ่นอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
เย่ซิวตู๋หลับตาลงและเอนกายเข้ากับพนักพิง เขาเงียบไปสักพัก ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “เผิงอิง เจ้าคิดเช่นไร?”
“ข้าน้อยคิดว่า ตอนนี้ต้องหาฆาตกรเสียก่อน เมื่อนั้นจึงจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใคร ”
“ฆาตกร…” เย่ซิวตู๋ใช้นิ้วเคาะโต๊ะบริเวณด้านหน้าเบา ๆ เสียงนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ผ่านไปสักพักชายหนุ่มจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “มองดูเรื่องนี้แล้วก็คงต้องไปพบจินหลิวหลี บางทีนางอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง พอแค่นี้ก่อน พวกเจ้าออกไปกันเถอะ ข้าจะไปหาอวี้ชิงลั่ว”
“ขอรับ” เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ ค่อย ๆ ออกจากห้องตำรา
เหลือเพียงเย่ซิวตู๋เพียงผู้เดียว ในห้องก็เงียบสงัดขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มคิดว่าสิ่งที่พวกเหวินเทียนกล่าวมานั้นมีเหตุผล เรื่องนี้เป็นไปได้ที่จะมีคนในวังมาเกี่ยวข้อง
ท้ายที่สุดเรื่องนี้จะต้องตรวจสอบหรือไม่? ถ้าหากว่าตรวจสอบออกมาแล้ว บางทีอาจจะสามารถเปิดโปงความลับที่น่าตกใจและเชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่หากว่าไม่ตรวจสอบ คนร้ายที่อยู่ในวังก็จะยังคงอยู่ เกรงว่าจะส่งผลถึงความปลอดภัยของฮ่องเต้
ตอนนี้เรื่องในวังทั้งหมด มีเพียงเรื่องของฮ่องเต้เท่านั้นที่ชายหนุ่มไม่อาจจะปล่อยวางได้ โดยเฉพาะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ความเห็นของเหมียวกงกงบอกว่าร่างกายของฮ่องเต้นั้นย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ และดูอ่อนแอกว่าปกติ
นี่เองก็เป็นเหตุผลที่เย่ซิวตู๋ลงไปจัดการเรื่องภายในวังอีกครั้ง
ในห้องตำราเงียบสงัดเป็นอย่างมาก เย่ซิวตู๋นั่งอยู่บริเวณหลังโต๊ะผู้เดียวอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปสักพักชายหนุ่มจึงลุกขึ้น และตรงไปที่ลานบ้านของอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง
เพียงแค่เดินมาถึงบริเวณด้านนอกของลานบ้านเท่านั้น กลับได้ยินเสียงของหนานหนานกำลังสนทนากับคนรับใช้ในเรือน เขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยอะไรกัน คนรับใช้เหล่านั้นท่าทางดูมีความสุขเป็นอย่างมาก ทั้งตำหนักนั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นอย่างมาก หลังจากหนานหนานมาถึง
ถูกต้อง เห็นจะมีเพียงแค่หนานหนานเท่านั้นที่มีความสามารถนี้
เจ้าเด็กน้อยมองไม่เห็นเย่ซิวตู๋ เขากำลังเริ่มแผนการหาเงินของตนเอง ลำดับแรกคือซื้อใจผู้คน ดังนั้นสำหรับหนานหนานในตอนนี้จึงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใช้ในตำหนักอ๋อง
เย่ซิวตู๋ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ และไม่ได้เข้าไปรบกวนแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงเดินต่อไป
แต่เพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบกับโม่เสียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเยว่ซิน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังช่วยหญิงสาวดูโครงสำหรับตากผ้า เมื่อเห็นว่าเย่ซิวตู๋นั้นกำลังเดินเข้ามา ร่างกายของโม่เสียนก็สั่นไหวขึ้นมาทันที และโครงตากผ้าทั้งหมดก็หล่นลงพื้นบนพื้น ส่งผลให้เสื้อผ้าทั้งหมดหล่นลงไปกองบนพื้นเช่นกัน แม้แต่ถังไม้ที่เยว่ซินวางไว้เองก็ไม่เว้น
เยว่ซินยังมองไม่เห็นเย่ซิวตู๋ นางจึงด่าขึ้นอย่างโกรธเคือง “โม่เสียนเจ้าทำอะไร ถ้าช่วยไม่ได้ก็อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้า”
หญิงสาวเอ่ยปากพลางนั่งลงไป และเก็บเสื้อผ้าที่ตกอยู่บนพื้นใส่กลับเข้าไปในถังไม้
ผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าหลังจากที่เพิ่งจะเก็บได้สองตัว บริเวณหน้าถังไม้ก็ปรากฏเงาบุคคลหนึ่งขึ้น เมื่อเยว่ซินเงยหน้า ก็พบเย่ซิวตู๋กำลังจ้องมองมาด้วยแววตาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง…ในมือยังถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น อันเป็นผืนที่ได้มาจากข้างเตียงของแม่นมเก๋อ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หมอเริ่นโดนฆ่าปิดปากเสียแล้ว เป็นไปได้ไหมที่คนบงการเบื้องหลังจะเป็นนังกุ้ยเฟย?
ท่านอ๋องเห็นผ้าเช็ดหน้าแม่นมเก๋อแล้วสิเนี่ย ปมเริ่มซับซ้อนขึ้นแล้วแฮะ
ไหหม่า(海馬)