บทที่ 440 ขังเอาไว้

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ใจอ่อน?” นัทธีหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกคำพูดของเธอ ไม่รู้สึกว่าเธอใจอ่อนแต่อย่างใด

นวิยามองเขา “ใช่ ฉันใจอ่อน ตอนแรกฉันจะวางยาแบบนั้นให้คุณ แต่เป็นเพราะคุณกำลังกินยาพิชิตจ่ายให้ ฉันกังวลว่าถ้าคุณกินยาแบบนั้น จะแผลขึ้นมา ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนเป็นยาสลบ ไม่อย่างนั้น พวกเราคงมีอะไรกันเรียบร้อย ก่อนที่พวกปาจรีย์จะมาถึงแล้ว”

ดังนั้น ตอนนี้เธอเสียใจมากจริงๆ

นัทธีเพิ่งรู้ เหตุผลที่นวิยาไม่วางยาแบบนั้นให้เขา เป็นเพราะแบบนี้

แต่เขาไม่รู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย

เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เธอวางยาได้

“ผมไม่เคยรักคุณมาก่อน คุณคิดจริงๆเหรอว่า หลังจากที่เรามีอะไรกันแล้ว ผมจะแต่งงานกับคุณ?” นัทธีพูดเสียงเยือกเย็น

ภายในใจของนวิยาตกตะลึง มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี “หรือว่าไม่ใช่เหรอคะ?”

“ไม่ ทำไมผมต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่วางยาผมด้วย?” นัทธีมองเธอ

ตัวของนวิยาสั่นเทา “ทำไมจะไม่? ต้องรู้ว่าตอนนั้นฉันเตรียมนักข่าวเอาไว้หมดแล้ว ถ้าเรามีอะไรกันจริงๆ ทันทีที่นักข่าวเผยแพร่ข่าวออกไป ทุกคนต้องรู้ ว่าคุณข่มขืนฉัน คุณไม่แต่งงานกับฉัน คุณไม่กลัวว่าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป……”

“ผมยินดีที่จะไม่เอาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ก็ไม่มีวันแต่งงานกับคุณ” นัทธีพูดแทรกเธอขึ้นมาด้วยความเย็นชาและไร้หัวใจ

นวิยานิ่งค้าง “คุณไม่เอาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป? นัทธี คุณโกหกใคร บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเป็นบริษัทที่คุณปู่บรรพตยกให้คุณ คุณับปากคุณปู่บรรพตแล้ว คุณจะพัฒนาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปให้ดี คุณ……”

“คุณพูดถูก ผมรับปากคุณปู่ว่าจะพัฒนาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคุณปู่ช่วยปกปิดเรื่องที่ขงเบ้งฆ่าพ่อกับแม่ของผม ผมก็เลยรับปาก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณปู่ช่วยฆาตกรปกปิด คุณคิดว่าผมจะมีความรู้สึกดีๆให้กับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป มากเท่าไหร่?” นัทธีถามเธอ

นวิยาตกตะลึง

จริงด้วย

สำหรับนัทธี คุณปู่บรรพตเป็นคนช่วยขงเบ้งปกปิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา

ดังนั้น ทำไมเขาต้องรักษาสัญญา พัฒนาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป?

สีหน้าของนวิยาขาวจนไม่มีเลือดฝาด ร่างกายของเธอเย็นเฉียบ

ในเมื่อตอนนี้นัทธีไม่มีความรู้สึกอะไรมากมายกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แล้วทั้งหมดที่เธอทำลงไปมีความหมายอะไร?

กลายเป็นเรื่องตลกไม่ใช่เหรอ?

คิดถึงตรงนี้ นวิยาหัวเราะด้วยความประชดประชัน หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา

แต่เธอยังคงแถอย่างไม่ตายใจ:”ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่คุณจะไม่สนใจบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปสักนิดได้จริงๆเหรอ อย่างน้อยคุณก็ดูแลมาหลายปี ฉันไม่เชื่อว่าคุณไม่มีความรู้สึกอะไรต่อบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป”

“ไม่มี” นัทธีตอบอย่างไม่ลังเล “ความรู้สึกที่ผมมีต่อบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ตั้งแต่ตอนที่รู้ความจริงทุกอย่าง ก็หายไปหมดแล้ว ดังนั้นต่อให้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปจะล้มละลายก็ไม่เป็นไร ด้วยความสามารถของผม ผมทำธุรกิจที่ไม่ด้อยไปกว่าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

นี่ก็เป็นความจริง

นวิยาไม่มีอะไรจะโต้เถียง

ดังนั้น เขาถึงขึ้นสามารถทนดูบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปล้มละลายด้วยตาตนเองได้ ก็ไม่ยอมแต่งงานกับเธอ

“ฮ่าๆๆ……” นวิยาหัวเราะ หัวเราะด้วยความประชดประชัน

เพราะในที่สุดเธอก็รู้แล้ว ตนเองเผยธาตุแท้ทำทุกอย่าง กลายเป็นแค่เรื่องตลก

“นัทธี หลังจากนี้คุณจะทำยังไงกับฉัน?” นวิยามองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ริมฝีปากบางของนัทธีขยับเล็กน้อย “คุณวางใจเถอะ ตอนนี้ผมไม่ทำอะไรคุณ เพราะเรื่องบางอย่าง ผมยังไม่มีหลักฐาน ผมจะขังคุณเอาไว้ รอให้ได้หลักฐานแล้ว ค่อยตัดสินใจจัดการคุณไปพร้อมกัน”

“เรื่อง?” นวิยาชะงัก “เรื่องอะไร?”

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวารุณี หรือว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเขา

นวิยาเดาไม่ออก เธอกระวนกระวายขึ้นมาชั่วขณะ

นัทธีมองเธอ ไม่มีทีท่าจะให้คำตอบ “หลังจากนี้ ผมจะให้มารุตส่งคุณไปที่หนึ่ง ก่อนที่จะมีหลักฐาน คุณก็อยู่ที่นั่นไปก่อน”

“คุณจะขังฉัน?” นวิยาลุกพรวดจากเตียงด้วยความร้อนรน “นัทธี คุณทำแบบนี้ไม่ได้ คุณปู่ทวดของฉันต้องไม่ยอมแน่”

“ตอนนี้ตระกูลผดุงธรรมถูกตระกูลจามจุรีศิลป์ข่มเอาไว้ หลังจากนี้ไม่มีเวลามาสนใจคุณแล้ว” นัทธีตอบกลับเสียงเรียบหนึ่งประโยค

นวิยากลับเหมือนสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด เธอล้มตัวนั่งลงบนเตียง “เป็นไปได้ยังไง……ตระกูลจามจุรีศิลป์ข่มตระกูลผดุงธรรม เพราะอะไร?”

นัทธียังคงไม่ตอบ แค่ว่าสายตาของเขามองเธอด้วยความเย็นชาไร้หัวใจ “ต่อจากนี้ ดูแลตัวเองเถอะ”

พูดจบ เขาหันหลัง เดินไปที่ประตู

นวิยาเห็นเขาจะเดินออกไป รีบลงจากเตียงด้วยความร้อนรน “คุณนัทธี คุณอย่าไปเลยนะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว คุณนัทธี……”

นัทธีไม่ได้สนใจเธอ หลังจากออกไป ก็ให้มารุตปิดประตู

ประตูห้องขวางกั้นเสียงกรีดร้องของนวิยา

นัทธีขมวดคิ้ว “พาตัวเธอไปที่วิลล่าเก่าของแก้วสุทธิ ส่งคนคอยจับตาดูเธอหลายๆคนหน่อย มีอะไรติดต่อฉัน”

“ครับ” มารุตพยักหน้า

นัทธีไปแล้ว ขับรถไปที่โรงเรียนอนุบาล

“คุณพ่อ” เขาเพิ่งไปถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กทั้งสองก็เห็นเขา วิ่งมาหาเขาด้วยความดีใจ

นัทธีโค้งตัวลง อุ้มเด็กน้อย “วันนี้เป็นเด็กดีไหมคะ?”

“เป็นเด็กดีค่ะ วันนี้หนูได้ดอกไม้แดงด้วย” ขณะพูด ไอริณก็หยิบดอกไม้แดงออกมาให้ดู

อารมณ์หม่นหมองของนัทธีถูกกวาดไปจนหมด ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ “ไอริณเก่งมากเลยค่ะ”

ไอริณได้รับคำชม หัวเราะร่า

แน่นอน นัทธีไม่ลืมอารัณที่อยู่ข้างๆ ถามอารัณเหมือนกัน

แต่ว่าไม่ได้ถามเรื่องที่โรงเรียนอนุบาลของเขา แต่ถามเรื่องหลักสูตรมัธยมปลาย

เห็นอารัณตอบได้อย่าางดี นัทธีพยักหน้าด้วยความพอใจ

“คุณพ่อคะ หนูหิวแล้ว” ไอริณลูบท้องน้อยๆ แล้วบอกนัทธี

“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อพาพวกลูกไปหาอะไรกินหน่อยแล้วกันนะคะ” นัทธีพูด อุ้มเด็กน้อยด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็จับมืออารัณเดินไปที่รถ แล้วไปร้านอาหารใกล้ๆ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ไอริณหงุดหงิดเล็กน้อย

นัทธีรัดเข็มขัดนิรภัยบนที่นั่งเด็กให้เธอ ลูบผมของเธอ “เป็นอะไรไปคะ?”

“คิดถึงหม่ามี๊แล้วครับ” อารัณตอบแทน “เวลาไอริณคิดถึงหม่ามี๊จะเป็นแบบนี้ครับ”

นัทธีได้ยินคำพูดนี้ คำนวนเวลาต่างประเทศในตอนนี้ หลังจากนั้นยิ้ม หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดวิดีโอคอลหาวารุณี

ต่างประเทศในตอนนี้เป็นช่วงเช้า

วารุณีอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หยิบขึ้นมา ยิ้ม แล้วรีบรับสาย “ที่รัก”

ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มปรากฏขึ้นตรงหน้าจอโทรศัพท์ “ตื่นแล้ว”

“เพิ่งตื่นค่ะ ทำไมโทรหาฉันเช้าจังคะ?” วารุณีดึงหมวกอาบน้ำลงมา ทำผมไปด้วย พร้อมกับถาม

นัทธีมองไหปลาร้าของเธอที่ผมสยายไปมา แววตาหม่นหมองลง ตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า “ลูกๆคิดถึงคุณครับ”

เขายื่นโทรศัพท์ให้ลูกทั้งสองที่รออยู่ด้านข้าง

เด็กทั้งสองอยู่ด้วยกัน ร้องตะโกนไปที่โทรศัพท์อย่างพร้อมเพรียง : “หม่ามี๊”

มองดูท่าทีดีใจของเด็กทั้งสอง วารุณีใจอ่อนระทวยไปหมดแล้ว “หม่ามี๊อยู่นี่ครับ”

“หม่ามี๊ หนูคิดถึงหม่ามี๊มากเลยค่ะ” ไอริณพูด

ถึงแม้อารัณจะไม่ได้พูด แต่แววตาของเขาก็ความหมายนี้เหมือนกัน

ขอบตาของวารุณีร้อนผ่าว “หม่ามี๊เองก็คิดถึงพวกลูกค่ะ”

“วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ผมพาพวกลูกไปหาคุณ” นัทธีพูดเสียงเรียบ

วารุณีตกตะลึง “วันหยุดสุดสัปดาห์นี้?”

“อืม วันหยุดสุดสัปดาน์นี้ผมมีเวลาพอดี” นัทธีพูด

วารุณีไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ มาทุกครึ่งเดือน? ฉันเพิ่งมาต่างประเทศแค่สามวันเองนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ พวกลูกคิดถึงคุณ ผมเองก็ด้วย ดังนั้นก็เลยอยากไปหาคุณ” นัทธีไปรวมตัวกับลูกๆ มองเธอด้วยแววตารักใคร่