ตอนที่ 514 คืนจันทร์เพ็ญ
ฟืนถูกตัดมากองไว้แล้ว หลุมลึกก็ขุดเสร็จพอดี ศิษย์คนหนึ่งที่ติดตามมากับเฉาเซิ่งไหววิ่งเข้ามา เอ่ยกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ทางนี้ปล่อยให้พวกเรารับผิดชอบต่อเถิด ศิษย์พี่เฉาเชิญทุกท่านไปหาทางด้านนั้น บอกว่ามีเรื่องจะมอบหมายให้” ว่าพลางชี้ไปทางหลังเขา
ทุกคนมองหน้ากัน บางคนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังเดินออกไป
แต่ระหว่างทางมีบางคนก่นด่าเสียงเบา “อาศัยบารมีปู่ตนมาชี้นิ้วสั่งโน่นสั่งนี่ นับเป็นตัวอันใดกัน!”
มีบางคนสบถพึมพำคล้อยตามหลายประโยค ต่างไม่ใคร่พอใจพฤติกรรมของเฉาเซิ่งไหว
กลับเป็นศิษย์พี่ผู้นำกลุ่มที่ถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “เลิกบ่นจู้จี้กันได้แล้ว เขาก็นับว่ามีน้ำใจมาช่วยเหลือ เพียงติดวางมาดไปหน่อยเท่านั้น”
กระทั่งคนเหล่านี้ไปทางหลังเขาแล้ว ทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลุมลึกก็สบตากันเล็กน้อย ลงมืออย่างรวดเร็ว หามซากอินทรีหยกทมิฬที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วออกวิ่ง
อินทรีหยกทมิฬเป็นสายพันธุ์หนึ่งในหมู่วิหคยักษ์ที่หาได้ทั่วไป และเป็นวิหคยักษ์ที่มีมากที่สุดในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย กล่าวอีกนัยคือเป็นสินค้าที่มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด แต่ก็ยังมีมูลค่านับสิบล้านเหรียญทองอยู่ดี
สองคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งไปไหนไกลเลย นำอินทรีหยกทมิฬที่หามมาไปซ่อนไว้ในหลืบเขาในละแวกนี้ วิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้ ซ่อนวิหคยักษ์ห้าตัวอย่างรวดเร็ว
ยามที่วิ่งกลับมาข้างหลุมลึกอีกครั้งก็รีบหยิบไม้ฟืนโยนลงไปในหลุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนซากวิหคที่ตายแล้วลงหลุมต่อ
พอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จก็โยนคบเพลิงติดไฟลงไปในหลุม จุดคบเพลิงโยนลงไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
พอเห็นควันลอยโขมงขึ้นมาจากทางนี้ เฉาเซิ่งไหวที่บ่นจู้จี้อยู่ทางนั้นก็จบประเด็นลงเช่นกัน ทั้งกลุ่มเดินกลับมา มาดูทางหลุมลึกครู่หนึ่ง เห็นซากวิหคที่กองสุมลุกไหม้อยู่ในกองเพลิงกำลังมอดไหม้ไป เริ่มแรกในอากาศมีกลิ่นเนื้อย่างลอยอบอวล จากนั้นก็กลายเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ ทำให้ทุกคนต้องถอยห่างออกจากหลุมลึกไปเล็กน้อย
ฟ้ามืดลงแล้ว เปลวเพลิงสีส้มแดงในหลุมลึกค่อยๆ มอดดับลง ก้อนถ่านในหลุมเปล่งแสงวูบวาบ เหล่าศิษย์เริ่มโกยดินที่กองอยู่ด้านข้างถมกลับลงไปในหลุม
ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนก็พากันกลับไป เฉาเซิ่งไหวพาศิษย์น้องทั้งสองแยกทางกับเหล่าศิษย์จากหน่วยแปรวิญญาณ บอกว่าจะไปที่เมืองวั่นเซี่ยง
แต่ทั้งสามกลับไม่ได้เดินไปไหนไกล หลังจากไปแอบอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งสักพัก เฉาเซิ่งไหวที่อยู่ท่ามกลางความมืดก็เอ่ยกับศิษย์น้องทั้งสองว่า “ขนซากศพทั้งห้าร่างออกมา แล้วเอาไปโยนทิ้งให้ไกลหน่อย โยนทิ้งกระจายทิศทางไป”
ศิษย์น้องคนหนึ่งถามด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ นี่พวกเราทำอะไรกันอยู่ขอรับ!”
ศิษย์น้องอีกคนก็แปลกใจเช่นกัน จะซ่อนศพพวกนี้ไปทำไม สัตว์ตายแล้วยังนำมาใช้ประโยชน์ใดได้อีก?
เฉาเซิ่งไหวไหนเลยจะยอมบอกความจริงพวกเขา หากบอกไปทั้งต้องตกใจตายแน่นอน มีคนรู้ความจริงน้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพียงสั่งให้ทั้งสองหุบปากแล้วบอกให้ทั้งสองทำตามที่บอกก็พอ
ทั้งสองได้แต่ต้องทำตามคำสั่งไป
ทั้งสองไปทำตามที่สั่ง เฉาเซิ่งไหวก็ไปเช่นกัน ย้อนกลับไปที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ไปพบพรรคพวกอีกคนหนึ่งซึ่งนัดพบกันที่หน่วยรวมวิญญาณ แล้วก็เป็นศิษย์ของหน่วยรวมวิญญาณด้วย มีนามว่าเฉินผิง อีกฝ่ายมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่พบกัน เฉาเซิ่งไหวก็ถามว่า “คืนนี้เจ้าเป็นหนึ่งในคนที่เข้าเวรกระมัง?”
“ใช่ขอรับ ศิษย์พี่ก็เคยถามไปแล้วมิใช่หรือ?” เฉินผิงแปลกใจ
เฉาเซิ่งไหวสอดส่องรอบข้างอย่างมีลับลมคมใน ล้วงเอา ‘แหวนกระดิ่ง’ ห้าวงออกมาจากแขนเสื้อ ดูเหมือนเป็นแหวนธรรมดา เพียงแต่ส่วนหัวแหวนฝังกระดิ่งเล็กๆ เอาไว้ มีก้านสอดคั่นกระดิ่งไว้ เพื่อกันไม่ให้กระดิ่งเกิดเสียงขึ้นมา แต่เมื่อชักก้านคั่นออกแล้วขยับแหวน ก็จะมีเสียงกระดิ่งแว่วดังขึ้น
เสียงไม่ดังนัก แต่เป็นเสียงที่มีอานุภาพทะลุทะลวงอย่างร้ายกาจ
เพียงสวมสิ่งนี้ติดนิ้วไว้เหมือนแหวนทั่วไปก็จะสามารถบังคับควบคุมวิหคพาหนะได้ เสียงกระดิ่งแว่วดังขึ้นในทิศทางใด วิหคก็จะบินมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น
วัสดุที่สร้างแหวนกระดิ่งมีความทนทานมาก เทียบได้กับวัสดุที่ใช้ผลิตกระบี่ ไม่มีทางเสียหายง่ายๆ แต่ละวงผลิตขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับวิหคเพียงหนึ่งตัวไปชั่วชีวิต
แหวนกระดิ่งดูเผินๆ จะคล้ายกันไปหมด แต่บนโลกนี้ไม่มีกระดิ่งลูกใดที่ให้เสียงเหมือนกันทุกประการได้ มักจะมีข้อแตกต่างด้านรายละเอียดของเสียงอยู่ ถึงแม้จะถูกสร้างขึ้นจากช่างฝีมือคนเดียวกันก็ตาม อีกทั้งหลังจากแหวนกระดิ่งถูกสร้างขึ้นแล้ว มันก็จะผูกติดกับวิหคหนึ่งตัวไปตลอด ขอเพียงไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับวิหคตัวนั้น ก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปใช้ควบคุมวิหคตัวอื่นได้ เพราะมันจะถูกใช้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนวิหคตัวนั้นตั้งแต่เล็กจนโต เพื่อให้มันคุ้นเคยกับเสียงกระดิ่งนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้า จะทำให้เสียงกระดิ่งถูกหล่อหลอมฝังลึกอยู่ในความทรงจำของวิหค วิหคที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วจะตอบสนองไปตามสัญชาตญาณ เช่นนี้แล้วก็จะสามารถควบคุมทิศทางการบินได้ดั่งใจนึก 艾琳小說
ยามที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์จำหน่ายวิหคยักษ์ออกไปก็จะขายแหวนกระดิ่งออกไปคู่กันด้วย เมื่อลูกค้าซื้อไปก็สามารถควบคุมได้อย่างสะดวกสบาย
เฉินผิงรับแหวนกระดิ่งทั้งห้าวงไป ถามอย่างค่อนข้างแปลกใจ “ศิษย์พี่ นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
เฉาเซิ่งไหวยื่นแขนโอบไหล่เขาเข้ามา เอ่ยกระซิบสั่งการข้างหู “ช่วงที่เจ้าเข้าเวรในคืนนี้ ให้ใช้แหวนกระดิ่งเรียกอินทรีหยกทมิฬห้าตัวออกมาจากรัง ใช้กลยุทธ์ตัวตายตัวแทนกับวิหคห้าตัวนี้…”
หลังฟังกระจ่างแล้ว เฉินผิงตระหนกหวาดหวั่น “เอ่อ…ศิษย์พี่ ทำเช่นนี้ไม่ได้หรอกขอรับ ทุกเช้าจะมีการปล่อยวิหคในรังออกมาบินยืดเส้นยืดสาย หากสับเปลี่ยนแล้วไม่อาจควบคุมอินทรีหยกทมิฬห้าตัวนั้นได้ จะต้องมีการตรวจสอบแน่นอน หากสืบพบว่าเกิดปัญหาขึ้นกับแหวนกระดิ่งห้าวงนี้ ตัวข้าในฐานะคนเข้าเวรคืนนั้นก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้ ไม่ได้ ไม่ได้ขอรับ ศิษย์พี่ ทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
เฉาเซิ่งไหวกระซิบเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะทำให้เจ้าซวยได้อย่างไรเล่า? หากทำเจ้าเดือดร้อน เมื่อสืบสาวมาถึงตัวเจ้า เจ้าก็สามารถซัดทอดมาหาข้าได้ ข้าจะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวไปไย? เจ้าวางใจเถอะ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้หรอก เดี๋ยวเจ้าจะรู้เองว่าเรื่องนี้ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ รับรองว่าเจ้าไม่มีทางเป็นอะไร”
หลังจากเอ่ยโน้มน้าวแกมบังคับข่มขู่แล้ว ในที่สุดทั้งสองก็แยกย้ายกันไป
จากนั้นเฉาเซิ่งไหวก็มาที่ป่าอีกด้านหนึ่ง มาพบกับศิษย์ของหน่วยแปรวิญญาณอีกคนที่มีนามว่าเกาหลาน
พอพบหน้ากันก็ยัดขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ใบหนึ่งใส่มืออีกฝ่าย พร้อมกับยกแขนโอบหลังดึงเข้ามากระซิบสั่งการอยู่พักหนึ่ง
หลังจากเกาหลานฟังจบก็หวาดหวั่นกระวนกระวาย “ศิษย์พี่ นี่คือสิ่งใดขอรับ? หรือว่าเรื่องที่หน่วยแปรวิญญาณวันนี้เป็นท่าน…”
“เหลวไหล เจ้าคิดอะไรกัน? ข้าไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนั้นได้?” เฉาเซิ่งไหวโมโหกลบเกลื่อน จากนั้นเอ่ยตะล่อมเสียงเสนาะหู “เจ้าวางใจเถอะ นี่มิใช่ยาพิษ หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก ไม่มีทางจะเป็นพิษถึงตายอันใดไปได้”
เกาหลานยังคงปฏิเสธซ้ำๆ “ไม่ได้ขอรับ ศิษย์ ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่มีวันทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน!”
“เจ้าล้อข้าเล่นอยู่กระมัง…” เฉาเซิ่งไหวโมโห
ในที่สุดทั้งสองก็แยกย้ายกันไป เกาหลานลูบคลำขวดกระเบื้องเคลือบใบน้อยที่ซ่อนอยู่ตรงช่วงเอวเป็นระยะ จิตใจกระสับกระส่าย…
จันทร์สว่างสาดแสงสีเงินไปทั่วหล้า
ภายในลานเรือน หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ลำพัง หลับตาอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน นิ้วมือเคาะด้ามกระบี่ที่กุมอยู่ในมือเบาๆ
ปีกทองตัวหนึ่งโผเข้ามาในลานเรือนได้ไม่นาน หยวนกังก็เดินออกมาจากเงามืดเข้ามายังใต้แสงจันทร์ เดินมาหยุดอยูข้างกายหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย ได้รับการยืนยันซ้ำแล้วครับ คนของทางสำนักเบญจคีรีเตรียมพร้อมอยู่ในจุดที่นัดแนะกันไว้แล้ว กำลังรอทางนี้อยู่”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ก็รอไป จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับคืนนี้”
หยวนกังเอ่ยว่า “เจ้าหมอนั่นจะทำสำเร็จไหมครับ? เรื่องแบบนี้มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าทำพลาดไป หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสอีกต่อไป แถมจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังด้วย ค่อนข้างเสี่ยงจริงๆ”
“เสี่ยงเหรอ?” หนิวโหย่วเต้าแค่นหัวเราะ เอ่ยเสียงเรียบทั้งที่ไม่ลืมตา “ควบม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง ถึงตอนที่ควรลงมือก็ต้องลงมือ ก็แค่ความล้มเหลวเล็กน้อยจากความสำเร็จมากมายเท่านั้น ยังไม่ถึงตอนจบไม่มีทางรู้หรอกว่าใครจะพลาดท่ากันแน่ รอดูเถอะ”
หยวนกังเงยหน้ามองพระจันทร์
….
จันทร์สว่างอยู่กลางฟ้า บนหน้าผาหินแห่งหนึ่งที่โล่งเตียนไร้วัชพืชเติบโต มีโพรงถ้ำมากมายถูกเจาะลึกเข้าไปในหน้าผา
ที่นี่คือรังของวิหคของหน่วยรวมวิญญาณ ทุกโพรงจะมีวิหคยักษ์อยู่หนึ่งตัว
วิหคในที่แห่งนี้ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้ว ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เชื่อฟังคำสั่ง แตกต่างกับวิหคที่ถูกขังอยู่ในกรงทางฝั่งหน่วยแปรวิญญาณที่ยังไม่เสร็จสิ้นการฝึกฝน จึงไม่จำเป็นต้องกักขัง
ด้านหลังของโพรงทุกช่องจะมีเส้นทางเชื่อมสำหรับให้คนเดินเข้าออก มีการขุดเส้นทางขึ้นด้านในเขาแทบจะทั่วทั้งลูกเพื่อให้คนที่รับผิดชอบดูแลที่นี่เดินทางเข้าออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้
ภายในโพรงแห่งหนึ่งบนภูเขา ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งบินวนสามครั้งหน้าปากโพรง
ภายในป่าด้านล่างก็มีสัญญาณในรูปแบบเดียวกันปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เฉาเซิ่งไหวก็ปรากฏตัวขึ้นทางฝั่งหน่วยรวมวิญญาณ จากนั้นเดินผ่านไป แวะทักทายศิษย์ที่เฝ้ายามอยู่ตรงตีนเขาทางฝั่งนี้เล็กน้อย เข้าไปคล้องแขนชวนคุยอย่างสนิทสนมสองสามประโยค จากนั้นก็อ้างว่ามีธุระแล้วขอตัวจากมา
พอเดินมาถึงจุดลับตา ก้อนกระดาษลูกหนึ่งไถลจากแขนเสื้อลงสู่ฝ่ามือ เขาคลี่ออกดูอย่างรวดเร็ว ในก้อนกระดาษห่อแหวนกระดิ่งไว้ห้าวง เขากำมือแน่นทันที เร่งเดินจากไป
เขามายังศาลาบนยอดเขาลูกหนึ่ง มองไปยังภูเขาหน่วยรวมวิญญาณที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ เฉาเซิ่งไหวนั่งลงไป ยกกาสุราที่พกติดตัวขึ้นมา ยกจ่อปากค่อยๆ ดื่ม ผีเสื้อจันทราบินวนเวียนอยู่นอกศาลา กำลังส่งสัญญาณให้ทางหน่วยรวมวิญญาณอยู่เช่นกัน
เขานั่งอยู่ในศาลา ให้ความรู้สึกคล้ายว่ากำลังใช้สุราดับทุกข์อยู่ แต่ก็นับว่าเป็นการใช้สุราดับทุกข์จริงๆ
วิหคยักษ์ยี่สิบกว่าตัว ทุกตัวมีราคาสูงต่ำต่างกันไป คำนวณมูลค่าแล้วคาดว่าเป็นเงินสามร้อยล้านเหรียญทองได้ ทั้งหมดตายลงด้วยน้ำมือเขา
เขาทราบชัดเจนดี หากว่าเรื่องราวเปิดเผยขึ้นมาจะหมายความว่าอย่างไร นั่นคือโทษตายสถานเดียว ท่านปู่เขาก็ปกป้องชีวิตเขาไว้ไม่ได้ อาจจะเป็นคนลงมือปลิดชีพเขาเองด้วยซ้ำ
แต่เขาก็รู้ซึ้งดีว่าตนเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ เสมือนพานพบมารร้าย ถูกล่อลวงให้ถลำลึก ทำให้เขาหลงเดินตามไปไม่รู้ตัว เมื่อคิดจะหันหลังกลับก็พบว่าตนติดอยู่ในวังน้ำวนขนาดใหญ่เสียแล้ว ทำอย่างไรก็ปีนออกไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือทำให้หนิวโหย่วเต้ารีบจากไป ก็เหมือนที่หนิวโหย่วเต้ากล่าวไว้ หลังจากทำสำเร็จ เขาก็จะได้กุมจุดอ่อนหนิวโหย่วเต้าไว้เช่นกัน ต้องทำเช่นนี้เขาถึงจะปลอดภัย
สำหรับเขาแล้ว เป็นชีวิตของวิหคยักษ์ยี่สิบกว่าตัวนั้นสำคัญกว่าหรือเป็นชีวิตตนที่สำคัญกว่าเล่า เขาเลือกได้ไม่ได้ยากเลย
….
ภายในคุกใต้ดิน เซ่าซานเสิ่งถือกล่องอาหารใบหนึ่งเข้ามา คุกเข่าลงนอกซี่ลูกกรง เปิดฝากล่องอาหารแยกออกเป็นชั้นๆ ดันลอดผ่านช่องใต้ซี่ลูกกรงเข้าไป เอ่ยกับเซ่าผิงปอที่ยืนหันหลังมองแสงตะเกียงน้ำมันอยู่ “คุณชายใหญ่กินอะไรหน่อยเถิดขอรับ”
เซ่าผิงปอหันหลังเดินเข้ามา หันไปมองผู้บำเพ็ญเพียรที่นั่งขัดสมาธิอยู่ปลายทางเดิน เขาโน้มตัวเข้าหาลูกกรง กระซิบถามว่า “เจ้าติดต่อกับโลกภายนอกได้หรือไม่?”
เซ่าซานเสิ่งกระซิบตอบ “ข้าได้รับอนุญาตให้ออกไปเพื่อรับอาหารหรือไม่ก็จัดหาอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ให้คุณชายใหญ่เพิ่มเติมเท่านั้นขอรับ มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนติดตามตลอด ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้เลย แต่ในช่วงที่นายท่านไปสอบถามสถานการณ์จากอาจารย์จง กลับได้ทราบเรื่องหนึ่งมา สาเหตุที่ทราบเรื่องคุณชายใหญ่ลอบสังหารหนิวโหย่วเต้า เป็นเพราะในช่วงที่คนของสำนักเขามหายานเดินทางไปตรวจสอบสถานการณ์แดนความฝันผีเสื้อ บังเอิญได้ยินมาจากบทสนทนาของศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ถึงได้ทราบเรื่องนี้เข้าขอรับ”
“บังเอิญได้ยิน? เฮอะๆ คนสำนักหมื่นสรรพสัตว์กลุ่มนั้นต้องเป็นคนที่หนิวโหย่วเต้าจัดเตรียมไว้แน่…” เซ่าผิงปอเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไปทันที แววตาวูบไหวเอ่ยไปว่า “ตามวิสัยของสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเข้ามายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? จากข่าวที่ลู่เซิ่งจงส่งกลับมา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่เขาหลอกใช้ชื่ออะไร?”
เซ่าซานเสิ่งนึกดูครู่หนึ่ง ตอบไปว่า “เฉาเซิ่งไหว หลานชายผู้อาวุโสเฉาจิ้งแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขอรับ!”
“หลานชายผู้อาวุโส…แย่แล้ว!” สีหน้าเซ่าผิงปอมืดมนลง “ถ้าคนผู้นี้ยังไม่ได้ลงมือ ก็แสดงว่าลงมือแล้วแต่ทำพลาดไป แต่หากว่าทำพลาดไป ก็ไม่ได้ยินสำนักหยกสวรรค์เอ่ยถึงเลยว่าหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะถูกสืบสาวเอาความใดๆ เมื่อดูจากที่คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้ารั่วไหลออกมาถึงหูสำนักเขามหายานได้ มีโอกาสสูงที่เฉาเซิ่งไหวคนนี้จะตกอยู่ในการควบคุมของหนิวโหย่วเต้าแล้ว ด้วยภูมิหลังของคนผู้นี้ หากเป็นนกต่ออยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ นั่นจะไม่เป็นผลดีต่อข้าเลย!”
เสียงเขาดังขึ้นมาในทันใด “ไป รีบไปเชิญผู้อาวุโสจงมา ข้ามีเรื่องจะแจ้ง”
ผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเขามหายานที่เฝ้าอยู่สุดทางเดินได้ยินเสียง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามา
เซ่าซานเสิ่งเหลียวมองเล็กน้อย กระซิบเตือน “คุณชายใหญ่ ไม่สามารถชี้แจงต้นสายปลายของเรื่องนี้ต่อสำนักเขามหายานได้นะขอรับ!”
เซ่าผิงปอตวาดใส่ด้วยความโกรธ “รีบไป!”
……………………………………………………………………………….