บทที่ 461 บัววายุกระจ่างไร้ร่องรอย ผลกุศลสำเร็จเป็นอริยะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 461 บัววายุกระจ่างไร้ร่องรอย ผลกุศลสำเร็จเป็นอริยะ

ใช้เวลาตระหนักมรรคอยู่เกือบสิบปีเต็ม ในที่สุดหานเจวี๋ยก็สร้างมหามรรคที่เป็นของตนได้สำเร็จ

ทันทีที่รู้แจ้งถึงมหามรรคแห่งตนแล้ว กลิ่นอายทั่วร่างของหานเจวี๋ยก็พลันแปรเปลี่ยน ไอดำสายหนึ่งพัวพันอยู่รอบกายเขา ทำให้ดวงจิตประหลาดตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้ ซุกอยู่ในมุมตัวสั่นงันงก

และในเวลาเดียวกันนี้

ท่ามกลางความมืดมิดมีรัศมีแสงวงหนึ่งปรากฏขึ้น และค่อยๆ แผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง

มีเงาร่างปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดทีละร่างๆ มองไปทางรัศมีแสงที่อยู่ไกลออกไป

“มหามรรควิถีใหม่หรือ”

“ทำนายไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่รังสรรค์ขึ้น”

“อาจจะเป็นมหามรรคที่วิวัฒนาการขึ้นตามธรรมชาติ”

“ยังคงต้องรอให้ถึงงานชุมนุมรวมวิถีครั้งต่อไป หรือนานกว่านั้น มหามรรควิถีนี้ถึงจะสามารถบัญญัติกฏเกณฑ์ของตน ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตในวงจรของตนได้”

“พวกเจ้าต้องการมหามรรคนี้เช่นนั้นหรือ หากมหามรรคนี้สรรสร้างขึ้นโดยผู้บำเพ็ญจริงๆ ระวังจะเสียเวลาเปล่า”

“รอดูกันไปเถิด”

….

หานเจวี๋ยไม่ทราบเลยว่าในขณะที่ตนสรรสร้างมหามรรค ภายในส่วนลึกของความมืดมิดที่ไม่ทราบชื่อเรียกมีโชควาสนาใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว

เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เขารับรู้ได้ว่ามีอำนาจแห่งมหามรรควิถีใหม่อยู่ภายในจักรวาลโลกดารา รูปร่างคล้ายหมอกดำ ปะทุพลุ่งพล่านอยู่บริเวณชายขอบ

มหามรรควิถีนี้ผสานอัตลักษณ์ของร่างจำลองเทพมารทั้งแปดตนที่เขาถือครองไว้

เทพมารขุนพลสวรรค์ เทพมารนวอันธการ เทพมารวาตะวิปโยค เทพมารเงาไพศาล เทพมารสุญตา เทพมารฟ้ากระจ่าง เทพมารวารีแช่มช้อย เทพมารสิ้นแสง!

ภายภาคหน้า เขายังสามารถเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารตนที่เหลือ นำมาเพิ่มโชควาสนาแก่มหามรรคให้มากขึ้นกว่าเดิม

มหามรรคนี้คือสิ่งที่มิเคยปรากฏมาก่อน และเป็นมหามรรคที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด เนื่องจากมันผสานรวมอัตลักษณ์ของมหามรรคอื่นๆ ไว้

“เรียกว่ามหามรรคเอกอุบัติแล้วกัน”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ตั้งชื่อให้มหามรรควิถีใหม่

เอก คือเป็นเอกเลิศล้ำ เป็นเอกเหนือมหามรรคสามพันวิถี

อุบัติ คือการก่อเกิดจากรากฐาน อุบัติขึ้นจากมหามรรคสามพันวิถี

หลังจากผสานรวมมหามรรคทั้งสามพันเข้าด้วยกันแล้ว จึงก่อเกิดเป็นมหามรรคสามพันวิถี!

ท่ามกลางความมืด หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามหามรรคเอกอุบัติกำลังตอบรับตน ยอมรับนามแห่งมหามรรคนี้แล้ว

[ตรวจสอบพบว่าท่านสรรสร้างมหามรรคขึ้นเป็นครั้งแรก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง แสดงธรรมเผยแพร่มรรค ให้สรรพสิ่งฝึกฝนมหามรรคเอกอุบัติ จะได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ ไม่เปิดเผยการมีอยู่ของมหามรรคเอกอุบัติ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

ผู้เฒ่ายังเรียนรู้ได้ไม่แตกฉาน แล้วจะเผยแพร่มรรคได้อย่างไร!

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที

ทันทีที่เผยแพร่มหามรรคออกไป ต้องดึงดูดความสงสัยของอริยะระดับมหามรรคและดวงจิตมหามรรครวมถึงนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นเป็นแน่ แล้วหานเจวี๋ยเองก็มิใช่คนโง่ด้วย

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วยท่านได้รับบัววายุกระจ่างไร้ร่องรอย]

[บัววายุกระจ่างไร้ร่องรอย: สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า ดำดินไร้ร่องรอย หว่านเมล็ดได้นับพันล้าน ก่อเกิดปราณฟ้าประทานมากมายมหาศาล]

ไม่เลวเลย เอาไปปลูกไว้นอกเกาะสำนักซ่อนเร้นได้ ยกระดับปราณฟ้าประทานในละแวกนี้

ส่วนภายในอาณาเขตเต๋า ไม่จำเป็นต้องยกระดับปราณฟ้าประทานอีก ที่มีอยู่แต่เดิมก็หนาแน่นเต็มที่แล้ว

พอดีนัก ต่อไปเหล่าศิษย์และชาวเผ่าเอกาสามารถอาศัยอยู่ด้านนอกได้ ส่วนเกาะสำนักซ่อนเร้นก็เก็บซ่อนไว้ในที่มิดชิด ใช้หลบหนียามฉุกเฉิน

การบำเพ็ญในปัจจุบันของหานเจวี๋ยไม่ต้องการพลังวิญญาณและปราณฟ้าประทานแล้ว เพียงต้องดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรเท่านั้น

หานเจวี๋ยลุกขึ้น กระโดดออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้น

เมื่อออกมาด้านนอก เขาพบว่าต้นไม้รอบข้างลดน้อยลงไปมาก ในระยะร้อยก้าวปรากฏสิ่งปลูกสร้างจำพวกตำหนักวัดวาอารามที่ใหญ่โตเรียงรายกันหลายหลัง

หานเจวี๋ยสัมผัสถึงกลิ่นอายของเหล่าศิษย์ได้ แต่ละคนเสาะหาที่พักของตนกันแล้ว

เขานำบัววายุกระจ่างไร้ร่องรอยออกมา สิ่งนี้เป็นเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดมีขนาดเท่าถั่วลิสง เขาโยนมันลงพื้นไปตรงๆ เพียงพริบตาเดียวเมล็ดพันธุ์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หานเจวี๋ยส่งพลังจิตดำดินลงไป เขามองเห็นบัววายุกระจ่างไร้ร่องรอยกำลังแตกหน่ออย่างรวดเร็ว

ต่อจากนี้เพียงแค่รอคอยให้บัววายุกระจ่างไร้ร่องรอยเติบโตเท่านั้น

หานเจวี๋ยปลดปล่อยกลิ่นอายของตนออกมา ด้วยการปกปิดของระบบ ตบะของเขาถูกกดเอาไว้ในระดับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ

ในไม่ช้า เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็พากันมารวมตัว ทั้งหมดคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหานเจวี๋ย แม้กระทั่งสิงหงเสวียน เซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็มาด้วยเช่นกัน

สวินฉางอัน อู้เต้าเจี้ยน ลี่เหยา ถูหลิงเอ๋อร์ จ้าวเซวียนหยวน เต้าจื้อจุน เจียงอี้ แปดพี่น้องหาน ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น ฉู่ซื่อเหริน มู่หรงฉี่ จินกังนู่ หลี่ว์ฮว่าซวี โจวหมิงเยวี่ยต่างมากันพร้อม

สำหรับตบะระดับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏที่หานเจวี๋ยปลดปล่อยออกมา ไม่มีผู้ใดเชื่อเลย

เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการพบกันครั้งแรกของตนและหานเจวี๋ย สบถอยู่ในใจ ‘คิดจะหลอกคนอีกแล้ว!’

สรรพสิ่งใต้ร่มเงามรรคาสวรรค์สูญสิ้นแล้ว ยังคิดจะหลอกผู้ใดอีก

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “คิดเห็นอย่างไรกับที่นี่”

มู่หรงฉี่กล่าวตอบเป็นคนแรก “สืบพบว่าที่นี่เคยเป็นอาณาเขตเดิมของเผ่ากิเลน เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ เหมาะสำหรับอยู่อาศัยจริงๆ ขอรับ ท่านอาจารย์ ต้องการตั้งชื่อให้พื้นที่แห่งนี้หรือไม่ขอรับ”

คนอื่นๆ ต่างเห็นพ้องด้วย

ไม่มีชื่อเรียกสถานที่ พวกเขามักรู้สึกว่าขาดอะไรไปอยู่ตลอด

อีกทั้งพวกเขาก็ไม่กล้าตั้งกันโดยพลการ

หานเจวี๋ยครุ่นคิด เอ่ยไปว่า “เรียกว่าเขตเซียนร้อยคีรีเถิด”

“มีความหมายอย่างไร” เจียงอี้ถาม

หานเจวี๋ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ตอบสั้นๆ “ไม่มีความหมาย”

เจียงอี้ตะลึงงัน ขณะที่กำลังจะจี้ถาม ไก่คุกรัตติกาลก็แผดเสียงขึ้นมา “นายท่านว่าอย่างไรก็ว่ากันตามนั้น! เจ้าหนูเจียงอี้ไม่เชื่อฟังอย่างนั้นหรือ”

“นายท่าน ให้เขาโขกศีรษะไปร้อยปี กล่าวว่าตนผิดไปแล้วเถิด!”

เจียงอี้โมโหแทบตายแล้ว ไก่สุนัขตัวนี้ต่ำช้าเกินไปแล้วกระมัง!

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ต่อไปพวกเจ้าก็อาศัยอยู่ละแวกนี้เถิด ข้าจะพักอยู่ภายในเกาะสำนักซ่อนเร้น หากมีธุระก็เรียกหาข้าได้ตลอด สรรพสิ่งภายใต้มรรคาสวรรค์แทบจะสูญสิ้นไปหมดแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เหลือรอดล้วนเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับเทพขึ้นไป หากพบพานเข้า ให้รับมือด้วยความระมัดระวัง ข้าจะให้หลี่ว์ปู้และหม่าเชาออกมาพิทักษ์เขตเซียนร้อยคีรี”

“อย่าได้ออกจากเขตเซียนร้อยคีรี เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากข้า ฝึกบำเพ็ญให้ดี เมื่อสิ่งมีชีวิตภายใต้มรรคาสวรรค์ถือกำเนิดใหม่ พวกเจ้าจะเปรียบได้กับตัวตนในตำนาน นี่ก็คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สุดหลังผ่านพ้นมหาเคราะห์”

เมื่อได้ฟังคำพูดของหานเจวี๋ยแล้วแต่ละคนต่างมีปฏิกิริยาต่างกันไป พวกเขาคาดเดาถึงสถานการณ์นี้อยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ทราบจากปากของหานเจวี๋ย ก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ดี

เจียงอี้เอ่ยถาม “เผ่าอีกาทองของข้าก็สูญสิ้นเช่นกันหรือ”

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ผู้ที่อยู่ในระดับต้าหลัวน่าจะยังมีชีวิตอยู่”

จ้าวเซวียนหยวนสีหน้าหม่นหมอง ต้าหลัวของเผ่ามนุษย์มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์คล้ายจะนึกถึงอะไรบางอย่าง ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเลื่อนลอยเช่นกัน

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของพวกนาง จึงกล่าวว่า “โลกเมฆาแดงแต่เก่าก่อนยังคงอยู่ ข้าปกป้องไว้ ยามนี้เรียกขานว่าโลกเขย่าพิภพ”

หลี่ว์ฮว่าซวีพยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าก็มาจากโลกเขย่าพิภพ โลกเขย่าพิภพคล้ายจะไม่ตั้งอยู่ในห้วงอวกาศแล้ว ผู้ที่สำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์เคยกล่าวไว้ว่า หลังออกจากโลกเขย่าพิภพจะเผชิญกับหมอกมหาศาลน่าพรั่นพรึง ปิดกั้นเส้นทางของพวกเขา”

ส่วนที่ว่าโลกเขย่าพิภพอยู่ที่ใดนั้น หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยต่อ

อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงการสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์แล้ว หานเจวี๋ยก็นึกขึ้นได้ว่าจนถึงตอนนี้ตนก็ยังไม่เคยทำเลย

ด้วยตบะของเขาในปัจจุบันนี้ การสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์ไม่มีความหมายแล้ว การสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์เพียงช่วยยกระดับตบะของโลกระดับล่างเท่านั้น หากขึ้นสู่สวรรค์หลังจากเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้วกลายเป็นครึ่งอริยะได้ละก็ ต้าหลัวรายอื่นคงคิดหาวิธีสำเร็จมรรคขึ้นสู่สวรรค์อีกครั้งไปแล้ว

“อาจารย์ หากพวกเราแสดงธรรมต่อสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกของมรรคาสวรรค์ จะได้รับผลกุศลมหาศาลไร้สิ้นสุด หรือแม้กระทั่งโอกาสในการพิสูจน์มรรคกลายเป็นครึ่งอริยะหรือไม่ขอรับ”

จู่ๆ จ้าวเซวียนหยวนก็ถามขึ้นด้วยดวงตาทอประกาย

คนที่เหลือต่างก็พากันสนใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน

พวกเขาเคยได้ยินตำนานเล่าขานของอริยะมากมาย อริยะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะมีผลกุศลมหาศาลจากสรรพสิ่ง ถึงได้กลายเป็นอริยะมรรคาสวรรค์!

……………………………………………