ตอนที่ 917 เปิดม่าน (1) / ตอนที่ 918 เปิดม่าน (2)
ตอนที่ 917 เปิดม่าน (1)
“ฝ่าบาท! ฮ่องเต้ทุกพระองค์ไม่เคยมีใครตรัสว่าฮ่องเต้มีสิทธิ์ค้นจวนของราชครูได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ! ถ้าฝ่าบาทกระทำเช่นนั้นจริงๆ กระหม่อมเกรงว่า…” หยวนเปียวรีบเตือนฮ่องเต้ทันทีว่าจวนของราชครูไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปค้นได้
แม้ว่าราชครูเวินอวี่จะเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเป็นอย่างมาก แต่เขาก็แทบจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องของรัฐเหยียนเลย บรรยากาศลึกลับรอบตัวราชครูทำให้ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเขา
คนที่อยู่มานานเกินหนึ่งร้อยปีแต่ยังดูเหมือนอายุยี่สิบกว่าๆ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!
กระทั่งคนอย่างหยวนเปียวก็ยังไม่กล้าไปหาเรื่องราชครูผู้นี้
ด้วยคำเตือนของหยวนเปียว ฮ่องเต้จึงได้สติขึ้นมา สีพระพักตร์อันบ้าคลั่งของพระองค์ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
“ลืมมันไปเสีย…ลืมมันไป…เจ้าให้คนไปเฝ้าด้านนอกจวนราชครูไว้ก็พอ แล้วถ้าเห็นคนน่าสงสัยก็ค่อยลงมือ” ความพิโรธของฮ่องเต้สงบลงแล้ว ในหัวของพระองค์มีรับสั่งที่อดีตฮ่องเต้เสด็จพ่อของพระองค์ทิ้งเอาไว้ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
อย่าได้แสดงความไม่เคารพต่อราชครูอย่างเด็ดขาด!
นั่นเป็นพระดำรัสสุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้ตรัสกับพระองค์ในตอนที่ทรงสละราชบัลลังก์ให้ พระองค์จดจำพระดำรัสเหล่านั้นมาตลอดหลายปีที่ได้ครองราชย์ แต่เพราะความเฉยเมยของเวินอวี่ทำให้พระองค์ค่อยๆ ลืมมันไป ตอนนี้พระองค์จำมันได้แล้ว ฮ่องเต้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่เข้าเกาะกุมพระหฤทัยขึ้นมาทันที
ราชครูเวินอวี่เป็นคนที่แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์แรกยังให้การเคารพนับถือ ถ้าพระองค์เป็นศัตรูกับราชครูอย่างเปิดเผยละก็…
ฮ่องเต้รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หยวนเปียวที่เห็นว่าฮ่องเต้ทรงพระทัยเย็นลงแล้วก็ลอบเป่าปากอย่างโล่งอก และขอตัวจากไปทันทีหลังได้รับคำสั่งแล้ว
ฮ่องเต้ยังคงรู้สึกกังวล พระองค์ส่งทหารไปเฝ้าด้านนอกพระตำหนักของไทฮองไทเฮาเพิ่ม และยังมีรับสั่งอีกด้วยว่าพระองค์ต้องได้รับรายงานทันทีถ้าราชครูเวินอวี่หรือองค์รัชทายาทเหลยเชินเข้ามาที่วังหลวง
หลังจากจัดการเรื่องที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรุดพระวรกายลงประทับนั่งบนเก้าอี้นั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย
พวกทหารยังคงค้นหาต่อไป ทำให้ประชาชนในเมืองหลวงเกิดความหวาดกลัวและความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ข่าวเรื่องสยงป้ากับคนจากเมืองพันอสูรจะออกจากเมืองหลวงรัฐเหยียนก็ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ซึ่งก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าพระองค์ได้ใช้ชวีหลิงเย่ว์ในเหตุการณ์ครั้งก่อนไว้อย่างไรบ้าง ถึงแม้แผนการของพระองค์จะล้มเหลวก็ตามที เมืองพันอสูรยังคงนิ่งเงียบและไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับรัฐเหยียนอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ไม่โง่พอที่จะปล่อยเรื่องเอาไว้ให้กลัดหนองแบบนั้น พระองค์รู้ว่าเมืองพันอสูรมีพลังอำนาจมากพอด้วยตัวเองอยู่แล้ว เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นฮ่องเต้จึงตัดสินพระทัยว่าพระองค์ไม่อยากสร้างศัตรูที่มีศักยภาพอย่างพวกนั้น
ฮ่องเต้เชิญ ’ชวีหลิงเย่ว์’ สยงป้า เฟิงเย่ว์หยาง และชิงอวี่แห่งเมืองพันอสูรมาที่วังหลวงในทันทีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ดีขึ้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็เกลี้ยกล่อมสยงป้าไม่ให้รายงานเรื่องนี้อย่างรุนแรงเกินไปนักในตอนที่เขากลับไป
สยงป้ากับคนอื่นๆ ตอบรับคำเชิญและเดินทางไปที่วังหลวง ฮ่องเต้มีรับสั่งให้คนรออยู่ที่ประตูวังแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นแขกมาถึงจึงรีบเดินไปต้อนรับทันที และนำพวกเขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยเร็ว
“เราได้ยินว่าพวกท่านจะกลับไปที่เมืองพันอสูรเร็วๆ นี้ ขออภัยพวกท่านด้วยจริงๆ ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นในรัฐเหยียน ต้องโทษเราที่ดูแลรัฐเหยียนได้ไม่ดีพอ” ฮ่องเต้ตรัสพลางมองสยงป้ายิ้มๆ จากนั้นก็หันไปทอดพระเนตร ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสายตาสำนึกผิด
สยงป้าและฮ่องเต้พูดคุยกันอย่างสุภาพอีกสองสามประโยค ตรงข้ามกับ ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ที่ดูเหมือนจะใจลอยออกไปไกล
นั่นทำให้ฮ่องเต้ค่อนข้างกังวล สยงป้าอาจจะเป็นคนส่งรายงานกลับไปที่เมืองพันอสูร แต่ถ้าตัวคุณหนูใหญ่ของพวกเขาเองยังคงไม่พอใจ คำพูดที่นางอาจจะพูดกับเจ้าเมืองก็จะส่งผลกระทบได้รุนแรงกว่า
“หลิงเย่ว์คงรู้สึกว่าที่นี่น่าเบื่อกระมัง” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยรอยยิ้มกว้างขวางเป็นมิตร
‘ชวีหลิงเย่ว์’ มองฮ่องเต้แล้วก้มหน้าลงทันทีพร้อมกับส่ายศีรษะ
ฮ่องเต้จึงตรัสพร้อมกับทรงพระสรวลว่า “เจ้ายังเด็กนี่นะ ให้นั่งเฉยๆ อยู่ที่นี่ก็คงน่าเบื่อแย่”
ตอนที่ 918 เปิดม่าน (2)
“บังเอิญว่าช่วงสองสามวันนี้เหลยฝานรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เราจะให้เขาพาเจ้าไปเดินเล่นก็แล้วกัน” ฮ่องเต้แสร้งทำเป็นพระทัยดี แต่พระองค์มีแผนการอื่นแอบซ่อนอยู่
ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าเหลยเชินเล็งชวีหลิงเย่ว์เอาไว้เนื่องจากเมืองพันอสูรที่หนุนหลังนางอยู่ แต่ฮ่องเต้ก็รู้ว่าพระองค์จะไม่มอบบัลลังก์ให้เหลยเชิน ดังนั้นพระองค์จึงคิดว่าถ้าจะมีใครเป็นพันธมิตรกับเมืองพันอสูร พระองค์ก็ปรารถนาจะให้เป็นองค์ชายที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดอย่างเหลยฝาน
แม้ว่าเหลยฝานจะไม่รู้จักชวีหลิงเย่ว์ดีเท่าเหลยเชิน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รู้จักกัน และถ้าพระองค์ทำให้เหลยฝานกับชวีหลิงเย่ว์สนิทสนมกันได้ พระองค์ก็คงจะดีพระทัยมากกว่านี้เป็นสองเท่า ด้วยการตามใจโอรสองค์เล็กอย่างถึงที่สุดและเชื่อในเสน่ห์ของพระโอรสของพระองค์มาก พระองค์จึงคิดว่าเหลยฝานจะสามารถช่วยทำให้ชวีหลิงเย่ว์ลดความไม่พอใจในรัฐเหยียนลงได้ ในขณะเดียวกันก็หวังว่าเหลยฝานจะสามารถใช้โอกาสนี้พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชวีหลิงเย่ว์ได้
‘ชวีหลิงเย่ว์’ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์กว้างทันที ทรงมีรับสั่งให้คนรีบไปตามเหลยฝานมา ก่อนจะกำชับให้เหลยฝานพา ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ไปเดินดูรอบๆ วังหลวงและย้ำว่าให้ดูแล ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ให้ดี
เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ เหลยฝานก็รู้ทันทีว่าฮ่องเต้ทรงคิดอะไรอยู่ เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงทำตามอย่างมีความสุข ตราบใดที่สามารถฉกฉวยสิ่งที่เหลยเชินต้องการมาได้ เขาก็ยินดีร่วมมืออย่างเต็มที่
เมื่อรวมกับเรื่องที่ชวีหลิงเย่ว์เป็นสาวงามน่ารักอ่อนหวาน เขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธ
เหลยฝานพา ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ออกไป พวกเขาเดินเคียงกันไปโดยมีขันทีสองสามคนติดตามมาด้วย
“พี่หลิงเย่ว์ ถึงข้าจะเรียกท่านว่าพี่ แต่ท่านดูเหมือนจะอายุมากกว่าข้าแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ว่ากันว่าสตรีไม่ชอบให้ผู้อื่นพูดถึงอายุและเกลียดการถูกเรียกให้แก่ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าเรียกเจ้าว่าหลิงเย่ว์เฉยๆ ได้หรือไม่” เหลยฝานถามยิ้มๆ เขาคิดว่าองค์รัชทายาทเหลยเชินกำลังลำบากอยู่แน่ และเขาก็ไม่รังเกียจที่จะเพิ่มปัญหาให้เหลยเชินเข้าไปอีก
‘ชวีหลิงเย่ว์’ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นางเหลือบมองเหลยฝานแวบหนึ่ง หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่งนางก็พยักหน้า
เหลยฝานจึงพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะว่า “ทำไมวันนี้หลิงเย่ว์ไม่ค่อยพูดเลยเล่า”
‘ชวีหลิงเย่ว์’ ชี้ไปที่คอแล้วอ้าปากเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงแหบๆ ออกมา
เหลยเชินประหลาดใจเล็กน้อย เขารีบแสร้งทำเป็นห่วงใยและพูดว่า “หลิงเย่ว์เป็นหวัดหรือ เจ็บคอหรือไม่ ให้ข้าเรียกหมอหลวงมาดูให้เจ้าหน่อยดีหรือไม่”
‘ชวีหลิงเย่ว์’ ส่ายหน้า
เหลยฝานจึงพูดว่า “หลิงเย่ว์ยังไม่พอใจรัฐเหยียนจากเรื่องก่อนหน้านี้เลยพยายามเว้นระยะห่างจากข้าเพื่อหลบเลี่ยงพวกเราหรือเปล่า ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นจากเสด็จพ่อแล้ว เป็นความประมาทเลินเล่อของรัฐเหยียนเอง ทำให้คนอื่นมีโอกาสลอบทำร้ายหลิงเย่ว์ ทำให้เจ้าต้องทนทรมานโดยไม่จำเป็น” ขณะที่พูดเหลยฝานก็มอง ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
แต่ดูเหมือน ‘ชวีหลิงเย่ว์’ จะไม่ซาบซึ้งเลย สีหน้าของนางยังคงเฉยเมย
ไม่รู้ทำไม เมื่อได้มาเจอ ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ที่พูดไม่ได้ในวันนี้แล้ว เหลยฝานก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เขารู้สึกว่า ‘ชวีหลิงเย่ว์’ ในตอนนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับจวินเสีย
สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนตอนที่เขาเจอกับจวินเสีย เหลยฝานเป็นฝ่ายที่พยายามพูดคุยแต่จวินเสียก็เย็นชาและเฉยเมยกับเขาตลอด
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว เหลยฝานก็ส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง และเห็นว่าตัวเองคิดอะไรงี่เง่า
ถึงแม้ ‘ชวีหลิงเย่ว์’ จะตัวเล็กจนเกือบเท่าจวินอู๋เสีย แต่นี่เป็นเด็กสาวนะ! เขาจะเปรียบเทียบนางกับเด็กหนุ่มได้อย่างไร
เขาสลัดความคิดงี่เง่านั่นออกไปแล้วบอกตัวเองว่า ‘ชวีหลิงเย่ว์’ เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าวันนี้นางเจ็บคอ ก็เลยทำให้ความคิดงี่เง่าแบบนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปโดยมีขันทีเดินตามหลัง สักพักพวกเขาก็มาถึงอุทยานหลวง