บทที่ 356 การแข่งขันราชันย์นักกินจุ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 356 การแข่งขันราชันย์นักกินจุ

ตอนที่คำพูดประโยคสุดท้ายลอยมา ก็ไม่มีใครเห็นเงาร่างของนางแล้ว

โจวกุ้ยหลานวิ่งเหยาะ ๆ ไปจนถึงร้าน พอมาถึงหน้าประตู ก็ใช้มือท้าวประตูที่ปิดสนิทอยู่ พลางหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

รอจนเริ่มทุเลาอาการเหนื่อยลงบ้างแล้ว นางก็ยกมือขึ้นเคาะประตูแรง ๆ ไปสองสามครั้ง

เมื่อเห็นว่าข้างในไม่มีเสียงตอบรับ นางจึงออกแรงเคาะให้มันแรงขึ้นอีกหลายครั้ง หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินว่าข้างในมีเสียงฝีเท้า

ตอนนี้โจวกุ้ยหลานหายใจทันแล้ว รอจนประตูเปิดออก ก็มุดตัวลอดผ่านช่องว่างระหว่างประตูกับไป๋ยี่เซวียนเข้าไปทันที

“เจ้ามาทำไมรึ?” ไป๋ยี่เซวียนถามด้วยความแปลกใจ แต่ก็ปิดประตูตามหลัง

โจวกุ้ยหลานคว้าเขาด้วยมือเดียว แล้วลากเขาเดินเข้าไปในตัวร้าน

แรงลากนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง ไม่เปิดโอกาสให้ไป๋ยี่เซวียนปฏิเสธได้

“เจ้า….นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”

“เรื่องดี ๆ! ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นรู้!”

เมื่อทั้งสองมาถึงสวนหลังบ้าน โจวกุ้ยหลานก็หยุดแล้วหันมาพูดกับเขาว่า “พวกเรามาจัดการแข่งขันกันเถอะนะ? แค่ทำแฮมเบอร์เกอร์ของพวกเราขึ้นมา ใครกินแฮมเบอร์เกอร์ได้มากที่สุด คนนั้นจะได้เป็นราชันย์นักกินจุ แล้วเราค่อยให้รางวัลพวกเขาอีกที!”

“ความหมายของเจ้าคือ…..” ไป๋ยี่เซวียนก้มหน้าครุ่นคิด

โจวกุ้ยหลานพูดถึงแผนการของตัวเองว่า: “ตอนนี้ที่ไม่มีใครยอมมากินอาหารของพวกเรา ไม่ใช่เพราะทุกคนกลัวว่ามันอาจจะมีพิษหรอกรึ? ถ้าเราให้คนที่เต็มใจจะหาเงินสักก้อนมานั่งกินอาหารของพวกเราต่อหน้าสาธารณชนล่ะก็ นั่นจะไม่เป็นการช่วยพิสูจน์ว่า อาหารของพวกเราไม่ได้มีปัญหาหรอกหรือ?”

“ของให้เปล่า ๆ แบบนี้ ยังไงก็ต้องมีคนเต็มใจมากินแน่ ๆ ใช่ไหมล่ะ? ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังไม่เคยมีใครเชิญคนมากินของในร้าน แล้วยังไม่ต้องจ่ายเงินมาก่อนเลยถูกไหม? อีกทั้งการแข่งขันนี้ยังสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้ามาร่วมชมได้ด้วย พอถึงเวลานั้นใครที่มาดูแล้วเอาไปพูดต่อ จะไม่เท่ากับว่าเป็นการโฆษณาแบบปากต่อปากให้ร้านเราหรอกรึ?”

“นี่ก็นับว่าเป็นความคิดที่ดีหรอก แต่ติดที่ว่าสถานที่จัดแข่งกับต้นทุนที่ต้องจ่ายมัน……” ไป่ยี่เซวียนพูดพลาง ในสมองของเขาก็เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยละเอียดแล้ว

ตลอดทางที่โจวกุ้ยหลานวิ่งมาที่นี่ ในสมองนางก็ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน พอตอนนี้ได้ยินไป๋ยี่เซวียนพูดแบบนี้ นางจึงพูดสิ่งที่ตัวเองคิดคำนวณไว้ออกมาทันที

“สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุด ก็คืออาหารที่ใช้แข่ง แล้วก็ยังมีต้นทุนแรงงานของพวกเรา ในการแข่ง เราสามารถกำหนดจำนวนคนเข้าแข่งได้ แบบนี้มันจะช่วยคัดคนที่แพ้ตกรอบออกไปได้เร็ว ทำให้เราควบคุมต้นทุนได้ แต่สถานที่จัดงานของเราต้องเป็นข้างนอก เป็นสถานที่ใหญ่ ๆ ”

เมื่อพูดถึงสถานที่จัดงาน โจวกุ้ยหลานก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

ไป๋ยี่เซวียนหันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบหมึก พู่กัน กับกระดาษมา แล้วพาโจวกุ้ยหลานไปที่โต๊ะต้อนรับส่วนหน้าด้วยกัน ทั้งสองช่วยกันทำรายการทุกอย่างที่จำเป็นออกมาทีละรายการ ทำการคำนวณค่าใช้จ่าย หลังจากคำนวณทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย ก็พบว่าไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่

“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็ตกลงทำตามนี้แหล่ะ ส่วนเรื่องสถานที่ ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือ เกรงว่าคงต้องรบกวนให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วล่ะ”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้ารับหงึกหงัก รู้สึกแค่ว่าหมอกควันที่มันบดบังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ถูกกวาดออกไปจนหมดไม่มีเหลือแล้ว

ทั้งสองคิดคำนวณทั้งหมดอีกครั้ง ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว นางจึงรีบจ้ำอ้าวกลับบ้าน

สองวันหลังจากนั้น นางก็ยุ่งอยู่กับการจัดงานแข่งขันนักกินจุโดยตลอด ต้องพาพวกเขาไปเตรียมส่วนผสมทำอาหาร ไปเช่าโต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงม้านั่งต่าง ๆ

ที่ร้านนี้ก็ยังคงไม่มีใครมาเลยเหมือนเดิม ซึ่งก็พอดีให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมตัว

ในตอนเช้าของวันที่สอง ไป๋ยี่เซวียนก็สามารถยืมสถานที่ได้เรียบร้อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปใช้เส้นสายความสัมพันธ์จากที่ไหนจนได้มา ถึงกับได้เป็นพื้นที่เปิดโล่งตรงหน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งกลางเมืองหลวง

ตอนที่พวกเขาพากันไปดูสถานที่ที่ว่านี้ โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกชื่นชมฝีไม้ลายมือของไป๋ยี่เซวียนจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังขายอาหารด้วย เขายังถึงขั้นติดป้ายโฆษณาร้านของตัวเอง ที่หน้าประตูร้านของคนอื่นแบบหรา ๆ นั่นไม่เท่ากับว่าเขาจงใจช่วงชิงธุรกิจของคนอื่นแบบหน้าด้าน ๆ หรอกรึ?

แต่เรื่องที่ชวนถอนหายใจก็ส่วนถอนหายใจ อะไรควรจัด ยังไงก็ต้องจัด

พวกเขาแทบจะทั้งหมดต่างก็ยุ่งกันหัวหมุน ในตอนเช้าตรู่ของวันที่สี่ แถบผ้าที่เขียนประกาศการแข่งขันก็ถูกนำขึ้นไปแขวนบนเวที บนเวทีปูด้วยผ้าปูโต๊ะผืนยาว ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยแฮมเบอร์เกอร์วางเรียงรายจนแน่นขนัด

ลูกจ้างผู้มีพลังเสียงดังกังวานเป็นเยี่ยมคนหนึ่ง ไปยืนอยู่ด้านหน้าแล้วเริ่มตะโกนป่าวประกาศกฎกติกาในการแข่งขัน

ใครก็ตามที่กินแฮมเบอร์เกอร์ได้มากที่สุด กับดื่มโค้กได้เยอะที่สุดภายในชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป จะนับว่าคนผู้นั้นคือราชันย์นักกินจุ และอาหารเหล่านี้ล้วนให้กินเปล่า ๆ แบบไม่คิดเงิน อีกทั้งคนที่ได้ฉายาราชันย์นักกินจุผู้นั้น ยังจะได้รับเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึงด้วย

ทันทีที่กฎกติกานี้ถูกประกาศออกมา ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ก็ตกใจจนผงะ โลกนี้มีเรื่องดี ๆ อย่างมีข้าวให้กินเปล่า ๆ ไม่พอแถมยังได้เงินด้วยอีกก้อน เรื่องดี ๆ แบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีกรึ?

มีหลายคนที่ก้าวขาเดินต่อไม่ออกซะแล้ว ต่างพากันมายืนอออยู่ใต้เวทีที่จัดงาน คิดอยากจะลองดูสถานการณ์ก่อน แต่ก็ไม่ขึ้นไป

เมื่อเห็นว่าผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังไม่มีใครขึ้นมาบนเวทีเลยแม้แต่คนเดียว พวกคนที่มาชมดูความสนุกคึกคัก ต่างก็หมุนเวียนเปลี่ยนหน้าไปหลายชุดแล้ว

“ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เห็นท่าจะไม่ดีแน่!” โจวกุ้ยหลานก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว

นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า จะถึงกับไม่มีใครขึ้นมาร่วมแข่งขันเลยแม้แต่คนเดียว แล้วแบบนี้จะจัดกิจกรรมได้ยังไงล่ะ?

“เถ้าแก่ทั้งสองท่าน จะทำอย่างไรดีขอรับ? เนื้อในครัวของเราก็ทำไว้จนพร้อมหมดแล้ว รอแค่นำขึ้นมาเท่านั้น ถ้าไม่มีใครกินเลย มันจะไม่เสียไปเปล่า ๆ หรอกรึ?”

พ่อครัวคนหนึ่งถามทั้งสองคนอย่างร้อนใจ

คนที่เหลือก็รีบเช่นกัน พวกเขาเตรียมตัวมาหลายวันแล้ว หากไม่มีใครมาจริงๆ การเตรียมการของพวกเขาในวันนี้จะไร้ประโยชน์

“เรื่องทิ้งเนื้อพวกนั้นยังนับว่าเป็นเรื่องเล็ก” ไป๋ยี่เซวียนกุมหน้าผากอย่างจนใจ ถึงอย่างไรเนื้อพวกนี้ก็มีราคา แต่พื้นที่ตรงนี้เขายืมมาได้เพราะการติดค้างหนี้บุญคุณ นี่จะไม่นับว่าเป็นการติดค้างหนี้บุญคุณคนอื่นเขาเปล่า ๆ หรอกรึ!

คนเหล่านั้นได้ยินคำพูดของไป๋ยี่เซวียน ก็หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก ชั่วขณะนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

โจวกุ้ยหลานมองไปที่กลุ่มคนด้านล่าง พวกเขาต่างกระซิบกระซาบกัน แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมา

นางยืนขึ้น เดินตรงไปกลางเวที แล้วพูดกับคนที่อยู่ด้านล่างว่า: “ทุกท่าน เราจะเพิ่มเงินรางวัลเป็นสองร้อยตำลึง ถ้าใครที่ขึ้นมาแล้วไม่มีใครคนอื่นขึ้นมาอีก จะถือว่าคนผู้นั้นได้ที่หนึ่ง นอกจากได้กินจนอิ่มแล้ว ยังจะได้เงินสองร้อยตำลึงด้วย!

คนด้านล่างยังคงกระซิบกระซาบกันไม่หยุด แล้วมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

โจวกุ้ยหลานสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ในใจก็เริ่มนึกสงสัยว่าตัวเองรีบทำเรื่องนี้เร็วเกินไปหรือเปล่า? การประชาสัมพันธ์ก็ยังทำได้ไม่ดี มาตอนนี้ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อ ทำให้ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไงดีแล้ว

ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็คงได้แต่ต้องกลับบ้านจริง ๆ แล้วล่ะ…..

เฮ้อ! ทำไมนางคิดไม่ถึงนะ ว่าคนในเมืองหลวงจะไม่เหมือนคนในแถบชนบทของพวกนาง บ้านของคนส่วนใหญ่ที่นี่มีอาหารมากมายไม่ขาดแคลน ทำไมพวกเขาจะมานึกสนใจเรื่องได้กินของของใครก็ไม่รู้แบบนี้ล่ะ?

“ของเหล่านี้ของพวกเจ้าไม่ว่าใครก็กินได้รึ?” เสียงที่แสดงความสงสัยในธุรกิจของนางเสียงหนึ่งดังขึ้น โจวกุ้ยหลานดีใจมาก ก้มหน้ามองลงไป ก็เห็นคนคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมมกำลังยืนอยู่ใต้เวที เผยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย

“ขอทานอย่างเจ้าต้องขึ้นไปกินไม่ได้อยู่แล้วสิ ถ้าพวกเจ้ากินแล้ว ใครจะยังอยากขึ้นไปกินอีกล่ะ?”

“นั่นสิ! พวกเจ้ารีบไสหัวไปให้มันไกล ๆ หน่อยไป๊ นี่คงอยากได้เงินรางวัลล่ะสิท่า?”

คนสี่ห้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบถอยห่างไปอีกด้านด้วยความขยะแขยง เพราะกลัวว่าพวกคราบสกปรกบนตัวขอทานจะมาเปื้อนโดนตัวเอง

เพียงชั่วอึดใจ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ทั้งผลักทั้งดันกันถอยออกไปยืนอีกด้าน จนกลายเป็นการเว้นที่ว่างขนาดใหญ่ตรงจุดที่ขอทานคนนั้นยืนอยู่ไปโดยปริยาย

ขอทานคนนั้นทำท่าเหมือนมองไม่เห็นปฏิกิริยาทั้งหมดนี้ สองตาส่องประกายวาววับ จ้องมองไปที่โจวกุ้ยหลานอย่างรอคอย

โจวกุ้ยหลานกัดริมฝีปากล่างจนแน่น หลังจากได้สบตากับเขา ก็เหมือนถูกดึงดูดด้วยดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นของเขา

นางตัดสินใจได้ในทันที ฉีกยิ้มเจิดจ้าพลางพยักหน้าให้เขา: “ได้สิ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้หมด”

“หือ! อาหารของพวกเขานี่ แม้แต่ขอทานก็กินได้ด้วยรึ?!”

“ใครจะไปอยากกินข้าวกับขอทานกันล่ะ? ข้าว่า พวกเราไปกันเถอะ!”

โจวกุ้ยหลานไม่มีเวลาสนใจเสียงอึกทึกเซ็งแซ่จากด้านล่างแล้ว สองตาจ้องมองคนตรงหน้าแล้วถามเขาว่า “เจ้าอยากเข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่?”