บทที่ 502 ลมพายุทะเลทรายที่แปลกประหลาด

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 502 ลมพายุทะเลทรายที่แปลกประหลาด

จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการคิดไม่ซื่อของฮ่องเต้ประเทศก่วงส้า คิดไม่ถึงว่าคืนนั้นเข้าก็ลงมือแล้ว แม้ว่าจะเตรียมป้องกันล่วงหน้าแล้ว แต่เกิดเรื่องอย่างกะทันหัน จึงทำให้กระโจมเสียหายไปมากขนาดนั้น

มองดูแผนภูมิศาตร์ในมือ ตอนนี้ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ เข้าใกล้ทารกยักษ์หลับนอนในแผนที่นั้นเป็นอย่างมากแล้ว

มองไกลออกไป ที่ไกลๆสามารถมองเห็นทารกยักษ์หลับนอนเหมือนจุดดวงดาว ห่างกันไกลเพียงนี้ ยังสามารถมองเห็นลักษณะทารกยักษ์ที่เล็กมากๆได้

นี่ก็ทำให้นางตกตะลึงเป็นอย่างมากแล้ว มิน่าล่ะในแผนภูมิศาสตร์ถึงสามารถปรากฏลักษณะทารกยักษ์หลับนอนแห่งนี้ออกมาได้ เดิมทีคิดว่าเปรียบได้กับเนินทรายแห่งหนึ่ง

ตอนนี้ดูแล้ว ทารกยักษ์หลับนอนนี้ใหญ่กว่าที่นางคิดไว้มาก

ยู่หลิวซูและเย่หลีเฉินขี้นมายืนอยู่ทางซ้ายขวาของหลานเยาเยาเป็นเวลานาน มองดูนางขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกเขาสองคนก็เอนตัวเข้าไป มองดูแผนภูมิศาสตร์บนมือของนาง

พวกเขามองดูทารกยักษ์หลับนอนนั้นของแผนภูมิศาสตร์ จากนั้นก็มองตามสายตาของหลานเยาเยาไปที่ไกลๆอีก

เย่หลีเฉินชี้ไปทางทารกยักษ์หลับนอนไกลขนาดเท่าจุดดวงดาว ปากเปิดขึ้นเล็กน้อย :

“พวกเราอยู่ใกล้กับที่นั่นมากๆแล้ว เพียงแค่เร่งการเดินทางให้เร็วขึ้น ไม่ช้าก็สามารถไปถึงแล้ว”

ยู่หลิวซูที่อยู่อีกข้างก็พยักหน้าพร้อมกล่าว :

“เจ้าสำนัก ข้าเห็นว่าสองวันนี้สีของท้องฟ้ามีความผิดปกติ โดยเฉพาะวันนี้ สภาพอากาศแปลกประหลาดเป็นพิเศษ มืดครึ้มน่ากลัว พวกเราต้องรีบหาสถานที่กำบังขอรับ”

พูดจบ เขาก็เอาสายตาตกทอดไปบนทารกยักษ์หลับนอนที่ไกลๆ บางทีในนั้นเป็นที่พักที่ไม่เลว

อีกทั้ง!

ทุกทิศล้วนเป็นทะเลทราย กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด พอที่จะสามารถเป็นที่กำบังได้ เกรงว่ามีเพียงทารกยักษ์หลับนอนบนแผนภูมิศาสตร์แล้ว

หลานเยาเยาได้ยินดังนั้น เอาสายตาเคลื่อนไปทางท้องฟ้าที่มืดครึ้ม

สภาพอากาศสองสามวันนี้ สองวันก่อนแสงอาทิตย์ยังคงแผดเผาเป็นอย่างมาก สองวันนี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มแล้ว

นางมองเห็นด้วยตาเก็บไว้ในใจ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของทะเลทรายชนิดนี้ จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นแน่

อีกทั้ง นางยังมีลางสังหรณ์ใจที่ไม่ดีอีกด้วย ดังนั้นสองวันนี้นางได้เร่งความเร็วมาโดยตลอด

เพียงแค่…….

ทารกยักษ์หลับนอนตรงนั้นสามารถเป็นที่กำบังได้จริงหรือ?

ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรได้ แววตาของนางเปล่งประกายแวบหนึ่ง หันกลับเอาสายตาตกไปบนร่างของส้งเย่นกุย มุมปากอมยิ้ม ยกมือเรียกเขาเข้ามา

“เทพธิดา มีคำสั่งอะไรขอรับ?”

ส้งเย่นกุยรีบมาด้านหน้า เสียงเหมือนดั่งปกติ แต่ในน้ำเสียงกลับเผยให้เห็นถึงความโอ้อวดที่สงบแฝงมาเล็กน้อย

โดยเห็นได้จากจุดนี้ เช่นเดียวกับที่อันธพาลของหมู่บ้านในยามพระอาทิตย์ตกวันนั้นกล่าวว่าเขาเป็นปัญญาชนที่หยิ่งผยอง และไม่ใช่ว่าไม่มีหลักฐาน

ดูท่าแล้ว ความโอ้อวดนี้ยังมาแผ่กระจายออกมาจากในกระดูกอีกด้วย

หลานเยาเยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงเริ่มขยับ :

“จากที่เจ้าเห็น พวกเราควรหรือไม่ควรไปที่นี่?”

หลานเยาเยากางแผนภูมิศาสตร์ออกเอามือวาดให้เขาดู นิ้วชี้ที่ขาวละเอียดเรียวชี้ไปบนทารกยักษ์หลับนอนนั้น

ยู่หลิวซูและเย่หลีเฉินที่อยู่ข้างกายของหลานเยาเยามองดูหลานเยาเยาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอาสายทอดบนร่างของยังส้งเย่นกุย

รู้สึกแปลกมาก ภายใต้สถานการณ์ปกติหลังจากที่หลานเยาเยาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนล้วนจะตัดสินใจเพียงผู้เดียว

แต่ว่าทำไม ตั้งแต่ที่ส้งเย่นกุยมอบแผนภูมิศาสตร์ทะเลทรายให้แล้ว นางล้วนสอบถามคำถามบางอย่างกับส้งเย่นกุยเป็นระยะๆ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปก็ล้วนทำตามที่เขาบอกทั้งหมด

หรือว่าหลานเยาเยาถูกหลอกให้ลุ่มหลงแล้วหรือ?

แต่ว่าดวงตาของนางชัดเจน เพราะการกระทำเหมือนเมื่อก่อน และไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม พวกเขาเพียงแค่มองไว้ในตา และไม่ได้พูดอะไร

เพราะว่าพวกเขาเชื่อหลานเยาเยา รู้สึกว่านางทำเช่นนี้ก็มีเหตุผลของนาง

ราวกับว่าส้งเย่นกุยมองไม่เห็นสายตาที่แปลกประหลาดของคนอื่น และเอาสายตามองไปยังทารกยักษ์หลับนอนนั้นที่มือของหลานเยาเยาชี้อยู่โดยตรง แววตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เงียบไปครู่หนึ่ง จึงได้เปิดปากพูดเบาๆ :

“แม้ว่าข้าจะไม่เคยเข้ามาในทะเลทราย แต่พระคุณเจ้าหยวนซูเคยกล่าว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมากลางทะเลทรายก็ไม่เคยมีที่กำบัง สามารถกำบังได้มีเพียงตัวเอง

สิ่งนี้มองดูแล้วเป็นเพียงท่าทารกที่นอนอย่างสงบ แต่ทุกหนแห่งกลับเต็มไปด้วยสัญญาณของลางร้าย ข้าคิดว่า ยังไงก็เดินอ้อมหน่อยดีกว่าขอรับ”

หลังจากพูดจบ ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรได้ เก็บแววตาที่เหยเก จากนั้นก็เอาสายตาวางไว้บนทารกยักษ์หลับนอนตรงที่ไกลๆ สีหน้าจึงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

มองดูภายใต้ท่าทางหลับนอนที่สงบไม่มีพิษภัย อันตรายที่แอบซ่อนอยู่จึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด สามารถเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่พ้นค่อยคิดวิธีรับมือ

ได้รับคำตอบที่แม่นยำ หลานเยาเยาพยักหน้า

วินิจฉัยจบแล้ว ไม่ใช่กระต่ายขาวตัวน้อยที่ไร้เดียงสาไร้พิษภัยดังคาด แต่เป็นหมาป่าหางใหญ่ตัวหนึ่งที่กระดิกหางร้องขอความเมตตาเป็น

ผู้ชาย เหอะ……

“ดีเช่นนั้นก็ตามที่เจ้าพูด หลบเลี่ยงจุดไกล…….”

คำพูดยังพูดไม่จบ คลื่นลมที่พัดพาลมความร้อนสายหนึ่ง โจมตีผ่านร่างกายพวกเขา คลื่นความร้อนนี้พัดมาจากด้านหลัง

ทันใดนั้นก็มีคนร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงหน้าถอดสี :

“เจ้าสำนัก รีบดูด้านหลังขอรับ ม่านเมฆเหล่านั้นกำลังเคลื่อนที่อย่างพลุ่งพล่านรุนแรง เหมือนกับว่าต้องการจะตกลงมาจากบนท้องฟ้าเช่นนั้น เมื่อครู่ยังไม่มีวี่แววสักนิด ตอนนี้ราวกับว่าปรากฏขึ้นกลางอากาศเช่นนั้นขอรับ”

คนที่พูด เป็นคนของสำนักหงอีที่รับผิดชอบสังเกตการณ์สถานการณ์โดยรอบๆ มีความคิดจิตใจระแวดระวังมาตลอด แค่ไม่ได้มองด้านหลังเพียงครู่เดียว ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่พิสดารขนาดนี้แล้ว

บรรดาผู้คนได้ยินดังนั้น รีบหันกลับไปดู แต่ละคนล้วนเบิกตากว้าง

เมฆครึ้มยาวๆแถวหนึ่ง ราวกับน้ำตกที่ไหลทะลักมาเช่นนั้น จากความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาการรวมตัวกันจากท้องฟ้าถึงพื้น หลังจากตกพื้นแล้วก็พลิกเป็นคลื่นเมฆ ลากเป็นเส้นที่ไม่เป็นระเบียบเส้นหนึ่งพาดกวาดเข้ามา

ก็เหมือนแรงระเบิดหลังจากที่ระเบิดปรมาณูระเบิดแล้ว รวดเร็วเป็นที่สุด ราวกับเป็นเค้าลางของการทำลายล้างโลก

หลานเยาเยาขมวดคิ้วอย่างหนัก

“ไม่ดี เป็นลมพายุทะเลทราย”

อีกทั้งยังเป็นประเภทที่พบได้ยากชนิดนั้น การปกคลุมทะเลทรายของทั้งผืนต่อเป็นเส้นกลิ้งเข้ามา ดั่งเสียงคำรามของม้าหมื่นตัวที่วิ่งควบ

นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวทันที :

“ขี่ม้าด้วยความเร็วที่สุดไปด้านหน้า จำไว้จำเป็นต้องตามติดขบวนกองกำลัง อีกทั้งต้องเอียงไปทางซ้าย จำเป็นจะต้องหลบหลีงทารกยักษ์หลับนอนที่อยู่ไกลๆ”

เรื่องจะรอช้าไม่ได้ หลานเยาเยายกแส้ขึ้นสะบัด

“ฮึ้ย……”

“ฮึ้ย…..”

“……”

ม้าสิบกว่าตัววิ่งอย่างบ้าคลั่งไปด้านหน้าอย่างเร็วที่สุด

แต่ทว่า!

ความรวดเร็วแห่งลมพายุทะเลทราย ไม่ใช่สิ่งที่ม้าสี่เท้าจะสามารถเทียบได้อย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่ม้าวิ่งไม่ใช่ที่ราบ แต่เป็นทะเลทรายที่ยวบยาบไม่ราบเรียบ บรรดาผู้คนพยายามฟาดม้าให้พุ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต

ทั้งหมดไม่ต้องใช้เวลานาน ลมพายุทะเลทรายก็ค่อยๆไล่ตามทันพวกเขา และกลืนพวกเขาผสมปนเปไปกับทรายสีเหลือ ต่อจากนั้นก็ซัดสาดไปอย่างรุนแรง

สถานที่ที่ถูกลมพายุทะเลทรายม้วนวน คนเอยม้าเอยล้วนไม่มีแรงตอบโต้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงหมุนวนเป็นวงๆตามลมพายุทะเลทราย

หลังจากที่โดนลมพายุทะเลทรายกลืนกินแล้ว กลุ่มของพวกหลานเยาเยา ก็ราวกับว่าจะตกอยู่ในระลอกคลื่นที่ลึกไม่อาจคาดเดาได้ เมฆครึ้มทรายสีเหลืองที่หมุนวนรอบๆ คนทั้งคนบางเวลาลอยขึ้นฟ้า บางเวลากระแทกพื้น บางเวลาก็โดนมุดเข้าไปในพื้นกลางทรายสีเหลือง

ไปๆมาๆเช่นนี้ สุดท้ายตามลมพายุทะเลทรายที่ยิ่งหมุนก็ยิ่งไกล จึงค่อยหลุดออกจากระลอกคลื่น

บ้างโดนเหวี่ยงไปไกลมาก บ้างถูกฝังอยู่ในทรายสีเหลือง ยังมีบ้างที่ตกลงมาจากกลางอากาศโดยตรง

ดังนั้น ทุกหนแห่งหลังจากที่ลมพายุพัดหินทรายอย่างบ้าคลั่งแล้วล้วนเป็นทรายสีเหลืองปกคลุมทั้งแผ่นฟ้า หมอกขมุกขมัว เหลืองหม่นไร้ขอบเขต ไม่เป็นกลางวัน ราวกับว่าตัวตกอยู่ในความสับสนมึนงงไร้ที่สิ้นสุด ให้คนรู้สึกถึงความว่างเปล่าชนิดหนึ่ง