War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1843
ตอนที่ 1,843 : ตัวโง่งม!
“หรือไม่จริง?”
จ้าวเติงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหยียดๆกล่าวคำปรามาส “ลูกข้ามีโชควาสนาอันประเสริฐ ได้พบพานซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์กระทั่งได้รับสืบทอดมรดกของสัตว์มารดึกดำบรรพ์ จึงสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางจนบรรลุถึง เซียนมนุษย์ขั้นต้น ได้ในเวลามิถึง 2 ปี! อาศัยเจ้าที่เป็นแค่อริยะเซียนขั้นสูงสุดยังจะมีปัญญาฆ่าจี้เอ๋อของข้าได้?”
มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์!
เซียนมนุษย์ขั้นต้น!
ตอนแรกกู่ลี่ก็งุนงงไม่น้อยเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน
มาตอนนี้พอได้ยินวาจาของจ้าวเติงจึงพอได้รับทราบเรื่องราว กระทั่งรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวเรื่องจริง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปพักหนึ่ง ‘จ้าวจี้ช่างโชคดียิ่ง ถึงกับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ สามารถทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้ในเวลาไม่ถึง 2 ปีแบบนี้…’
พอคิดว่ามันต้องลำบากตรากตรำขยันบ่มเพาะพลังมานานปีกว่าจะบรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้น กู่ลี่ก็รู้สึกว่าฟ้าไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง
“ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์? มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์?”
ได้ยินคำนี้ของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้ง พักหนึ่งค่อยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ท่านรองจ้าว นี่เจ้าเชื่อจริงๆเหรอว่าลูกชายเจ้ามันไปพบซากโบราณสถานกระทั่งรับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์อะไรนั่นมา?”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับจ้าวเติงด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร?!”
หน้าจ้าวเติงจมลงโดยพลัน ด้วยมันไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนหัวเราะอะไร
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ดูเหมือนว่าลูกชายเจ้าคนนี้ กระทั่งกับเจ้ามันยังตอแหลได้…อันที่จริงจะว่าไปหากมันไม่คิดว่าข้าต้องตายแน่ๆมันก็คงไม่คายเรื่องราวออกมาจนหมด…ว่าไฉนพลังฝึกปรือของมันถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วนัก!”
นึกถึงเรื่องราวที่จ้าวจี้กระทำในวันนั้น มุมปากต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ
“เจ้าหมายความว่าอันใด คายเรื่องราวอันใด?”
สีหน้าจ้าวเติงเริ่มมืดลง
จังหวะนี้กู่ลี่ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน แม้ไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะพูดอะไรกันแน่ แต่มันก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟังนัก
“ความจริงก็คือ…จ้าวจี้มันไม่ได้ค้นพบซากโบราณสถานกระทั่งสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์อะไรมาทั้งนั้น! แต่มันเหมือนกับจ้าววังจู…บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน!”
เผชิญหน้ากับคำถามจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปด้วยวาจาชัดถ้อยชัดคำ กล่าวจบมุมปากยังเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยชัดเจน
“เคล็ดมารกลืนหยิน!?”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบลูกตากู่ลี่หดหยีลงทันใด หันไปมองจ้าวเติงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “จ้าวเติง! เจ้ากล้าปล่อยให้ลูกชายบ่มเพาะด้วยอวิชชาอุบาทว์ชั่วช้าอย่างเคล็ดมารกลืนหยินได้อย่างไร?!”
“เหลวไหล!!”
จ้าวเติงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย มวลพลังมหาศาลทั่วกายคล้ายพร้อมปะทุออกทุกเวลา “หลิงเทียน! ลูกชายข้าก็ตายไปแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปรักปรำลูกข้าอีก!!”
“ปรักปรำ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ “รองจ้าวตำหนักจ้าว…ข้าไม่ได้ใส่ร้ายปรักปรำลูกชายเจ้าแม้ครึ่งคำ ที่ข้าพูดล้วนเป็นมันสารภาพออกมาเองทั้งสิ้น…มันยังบอกข้าเองว่ามันปั่นหัวจ้าววังจูกับนายน้อยฉีจิ้ง สุดท้ายมันก็เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลักพาตัวทั้งหมด!”
“บางทีหากมันไม่ได้ชักใย จ้าววังจูคงยากจะบรรลุข้อตกลงกับฉีจิ้ง…”
วาจาท้ายประโยค แววตาต้วนหลิงเทียนเริ่มเย็นลง
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จ้าวเติงถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง
มันยังจดจำได้วันที่จ้าวจี้พบเจอฉีจิ้งในคุกลับใต้ดิน อีกฝ่ายนิ่งไปหน้าเตียงฉีจิ้งอยู่นานสองนาน
ตอนนั้นมันคิดว่าลูกชายตัวเองติดต่อกับฉีจิ้ง แต่อีกฝ่ายบอกว่าเปล่า
วันนั้นมันไม่ได้สงสัยอะไรลูกชายตัวเองแม้แต่น้อย
แต่วันนี้พอมาได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน มันจึงรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนั้นมีความผิดปกติอยู่บ้าง
กระทั่งใจที่มั่นคงยังเริ่มสั่นไหว
‘เป็นไปไม่ได้…ไม่จริง วันนั้นจี้เอ๋อติดต่อกับฉีจิ้งงั้นหรือ? หรือที่จี้เอ๋อไม่บอกข้าเพราะกลัวว่าข้าจะห้ามไม่ให้ฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน?!’
จ้าวเติงครุ่นคิดในใจ ยิ่งคิดใจยิ่งดิ่งลง
“หากข้าเดาไม่ผิด จ้าวจี้มันคงใช้ความแค้นที่มีต่อเฝิงปู่อี้ของจ้าววังจูเป็นชนวนเหตุ คอยหาโอกาสสุมน้ำมันราดรดกองไฟเรื่อยๆ สุดท้ายด้วยความแค้นเข้าครอบงำ จ้าววังจูเลยถูกจ้าวจี้จูงจมูกให้ลักพาตัวฉีจิ้ง!”
เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคาดเอาเองทั้งสิ้น
“หากข้าเดาไม่ผิด…ช่วงที่เกิดเรื่องในพื้นที่ตะวันตก และพบซากศพแห้งเหี่ยวจำนวนมากจ้าวจี้มันคงไม่อยู่ในตำหนักฟ้าลี้ลับสินะ…ไม่ใช่แค่นั้น ให้ข้าเดามันคงกลับมาตอนที่เรื่องแดงพอดีล่ะสิ?!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามจ้าวเติงออกมาเป็นชุด
จ้าวเติงที่ได้ยิน และนิ่งคิดไปก็พบว่ามันเป็นความจริง
“หากไร้หลักฐาน ก็อย่าได้ปากพล่อยกล่าวหาลูกข้า!!”
แน่นอนว่าแม้ในใจจ้าวเติงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ไหนเลยมันจะยอมรับได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ลูกชายมันตายไปแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายยังไม่ตายและให้มันรู้ว่าลูกตัวฝึกเคล็ดมารกลืนหยินจริง มันก็ไม่ยอมรับ!
ต้องทราบด้วยว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ใดฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็ไม่ต่างจากมุสิกวิ่งข้ามถนน ผู้คนล้วนตะโกนไล่รุมตี!
“หลักฐานงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “งั้นให้ข้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าดีหรือไม่ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าไม่ได้โกหก?”
“ไม่จำเป็น! จะอย่างไรข้าก็ไม่มีวันเชื่อเจ้า!!”
ได้ยินคำท้าของหลิงเทียน จ้าวเติงกล่าวตัดบททันที เลือกปฏิเสธไม่รับฟัง
หากแต่ในใจของมันล้วนยอมรับไปแล้วว่าจ้าวจี้สมควรบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจริง หาไม่แล้วหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้าคงไม่กล้าท้าว่าจะสาบานแบบนี้
หากจะถามว่าตอนนี้ใครกำลังคิดเหมือนจ้าวเติง ก็คือกู่ลี่
“จ้าวจี้กลับกล้าบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ…มันสมควรตายแล้ว!”
กู่ลี่กล่าวออกเสียงเย็น ไม่สนใจสายตาดุร้ายเอาเรื่องที่จ้าวเติงจ้องมาแม้แต่น้อย
“เอาเถอะๆ พวกเราเลิกสนใจเรื่องจ้าวจี้มันบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยินไปก่อนก็ได้ เพราะอย่างไรข้าเชื่อว่าในใจรองจ้าวตำหนักจ้าวคงรู้ดี และมีคำตอบของเรื่องนี้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยอาการไม่ยี่หระขณะมองจ้าวเติงด้วยสายตาเย้ยเยาะ
“หลิงเทียน…ข้าจะกล่าวถามเจ้าอีกครั้ง! ผู้ใดฆ่าจ้าวจี้ลูกชายข้า!? หรือคนที่ฆ่าลูกข้ามันรู้จักเจ้า หาไม่แล้วไฉนเจ้ายังมีชีวิตอยู่!?”
จ้าวเติงมองตอบต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้าย กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ข้าก็บอกความจริงไปแล้วไง…จ้าวจี้น่ะ เป็นข้าฆ่ามันเองกับมือ หากท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะทำยังไง”
เจอคำถามซ้ำๆของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนได้แต่ผายมือยักไหล่ กล่าวตอบไปด้วยท่าทางช่วยไม่ได้
“ดี! ในเจ้าเมื่อบอกว่าฆ่าลูกข้า เช่นนนั้นไหนเจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยเถอะ! ว่าน้ำหน้าอริยะเซียนขั้นสูงสุดอย่างเจ้าอาศัยอันใดฆ่าลูกชายข้าที่บรรลุเซียนมนุษย์ขั้นต้น!?”
สีหน้าจ้าวเติงมืดทะมึนดุร้าย กล่าวถามเสียงเหี้ยม
หากไม่ใช่เพราะอยากรู้ความจริงจากปากต้วนหลิงเทียน มันคงลงมือฆ่าคนไปนานแล้ว
“จะว่าไปด้วยพลังฝึกปรือของข้า ปกติคิดฆ่าจ้าวจี้ก็คงลำบากจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ตอบรับคำขอของจ้าวเติง
หลังจากนั้นภายใต้การมองจ้องมาอย่างไม่วางตาของจ้าวเติง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆกล่าวตอบออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “แต่ทว่าให้จ้าวจี้มันแข็งแกร่งกว่าข้าเพียงใด สุดท้ายมันก็ยังเป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…ต่อหน้าข้าต่อให้เป็นผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดก็ต้องตาย เช่นนันจะนับประสาอะไรกับลูกเจ้า!!”
วาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองล้นปรี่
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนไม่ว่าจะกู่ลี่หรือจ้าวเติงล้วนตกใจทั้งสิ้น
เพราะฟังจากคำของต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่ว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็ฆ่าได้หรอกหรือ?
‘เอ๊ย! จริงด้วย! น้องหลิงเทียนมีตราผนึกมารนี่นา!!’
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียนตอนแรกกู่ลี่ก็อื้ออึง แต่สักพักมันก็นึกขึ้นได้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นใคร และมีอะไรในครอบครอง…ตราผนึกมาร!
‘ด้วยปราณแรกกำเนิดของน้องหลิงเทียน ที่เทียบได้กับอริยะเซียนขั้นสูงสุด…เช่นนั้นหากใช้ตราผนึกมารที่มีพลังอำนาจสยบปราบมาร ผู้ฝึกมารใต้ขอบเขตเซียนปฐพีไม่มีทางรอด!”
‘กล่าวว่าให้เป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษยืขั้นสูงสุดก็ฆ่าได้ คำนี้นับว่าไม่เกินเลยอะไร!’
กู่ลี่สามารถเข้าใจได้ เพราะมันล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน
หากแต่จ้าวเติงไม่ทราบอะไรเลย
“เหลวไหล!”
จ้าวเติงมองย้อนต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนหยันหยาม “หลิงเทียน…แม้เจ้าคิดปั้นน้ำเป็นตัวอย่างน้อยๆ ก็สมควรแต่งเรื่องให้มันน่าเชื่อถือหน่อย! อริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเจ้าคุยโวโอ้อวดว่าสังหารได้กระทั่งผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ข้าจะเชื่อได้ลงคอ?”
“หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งม?”
วาจาท้ายประโยคของจ้าวเติงยังเต็มไปด้วยความเสียดสี ทำราวกับมันล่วงรู้ทุกสิ่ง
“ฮ่าๆๆๆ”
ต้วนหลิงเทียนได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังร่าออกมาทัน
“เจ้าหัวเราะบัดซบอะไร?”
จ้าวเติงรู้สึกอับอายทั้งมีโมโห โพล่งคำด้วยสีหน้ามิดทะมึน “หรือข้ากล่าวใดผิด?”
“รองจ้าวตำหนักจ้าว…ข้าคิดว่า ที่จริงแล้ว…ท่านเป็นตัวโง่งมตัวหนึ่งจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม ไม่กลัวสายตาถลึงมองด้วยความดุร้ายของจ้าวเติงสักนิด “นี่ท่านไม่ได้ฟังที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้หรือไง ว่าด้วยพลังฝึกปรือของข้า ปกติคิดฆ่ามันคงลำบากอยู่บ้าง…แต่พอดีข้ามีศาสตราชิ้นหนึ่งที่พึ่งพาได้น่ะ…”
“ไม่ทราบว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเคยได้ยินเรื่องยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับ 1 ใน 10 รายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารทั่วหล้าหรือไม่?”
วาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียนคล้ายเป็นการกล่าวชี้นำเตือนความจำ
1 ใน 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่!
ยอดศาสตราเซียน!
ยังเป็นยอดศาสตราเซียนที่มีอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารทั่วหล้า!
“ตราผนึกมาร!”
ทันใดนั้นใจของจ้าวเติงปรากฏนามหนึ่งขึ้นมาก่อนใคร
เพราะเท่าที่มันรู้ ในบรรดา 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ มีเพียงตราผนึกมารอย่างเดียวเท่านั้นที่มีพลังอำนาจสะกดข่มผู้ฝึกมารโดยเฉพาะ
หากใช้ตราผนึกมาร สามารถสยบผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่าตัวได้ถึง 1 ขอบเขต!
“ตราผนึกมารนั่นเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วดูเหมือนว่าจะมีข่าวออกมาว่ามันปรากฏขึ้นอีกครั้ง…ทั้งยังอยู่ในมือของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียน! ต้วนหลิงเทียน….หลิงเทียน…”
ทันใดนั้นจ้าวเติงพลันมองไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับเห็นผี “จะ…เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ!?”
“ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตอบคำ กลับเป็นจ้าวเติงที่คำรามออกมาทั้งส่ายหัว ปฏิเสธคำของตัวเอง
มันได้เห็นภาพเหมือนของต้วนหลิงเทียนแล้ว และเทียบกับหลิงเทียนที่อยู่ตรงหน้า ก็เป็นคนละคนอย่างเห็นได้ชัด แถมใบหน้าหลิงเทียนเอง ก็ไร้ซึ่งร่องรอยการปลอมแปลงรูปโฉมแม้แต่น้อย…