บทที่ 384 สองสามีภรรยาลงมือโหด (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 384 สองสามีภรรยาลงมือโหด (1)

“ที่แท้จิ้งไท่เฟยก็อยู่ราชโองการเช่นเดียวกัน” กู้เจียวแจ่มแจ้งในทันใด “มิน่าล่ะนางถึงได้ซ่อนราชโองการเอาไว้”

เซียวลิ่วหลังขานรับคำ “ประการแรกเพื่อรักษาชีวิต ประการที่สองเพื่อเก็บไพ่ใบสุดท้ายเอาไว้”

กู้เจียวยกสองมือขึ้นค้ำแก้ม เอ่ยราวกำลังคิดอะไรบางอย่าง “คงไม่มีใครกล้าข่มขู่ท่านย่าหรอก ต่อให้นางงัดราชโองการออกมาแล้วบอกว่า ‘หากเจ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าจะป่าวประกาศราชโองการนี้ให้รู้กันทั้งแผ่นดิน เจ้ากับข้าก็ตายไปด้วยกันเสีย’ ท่านย่าเองก็คงไม่กลัว เพราะอย่างนั้น…”

เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “เพราะอย่างนั้นไม้ตายของนางก็คงตายไปพร้อมกับท่านย่า”

กู้เจียวตบโต๊ะ “หญิงผู้นี้สารเลวนัก”

เซียวลิ่วหลังเห็นท่าทางโกรธจนพองขนของนาง แม้จะเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ในแววตาของเขากลับเปล่งประกายรอยยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่าพอนึกถึงสถานการณ์ของท่านย่าในตอนนี้ รอยยิ้มของเขาก็จางหายไป

ได้เห็นราชโองการเป็นเหตุการณ์ที่เกิดครั้งเยาว์วัย แถมยังไม่ใช่เรื่องที่เขาให้ความสนใจสักเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นเรื่องราวในช่วงนั้นจึงได้จมหายไปในห้วงความทรงจำ

หากไม่ใช่เพราะกู้เฉิงเฟิงเอ่ยถึง เป็นไปได้ว่าชาตินี้เขาคงไม่มีทางนึกย้อนความทรงจำหน้านี้ขึ้นมาได้

“ต้องขโมยราชโองการกลับมาให้ได้” จะให้ระเบิดเวลาอยู่ในเงื้อมือของจิ้งไท่เฟยไม่ได้เป็นอันขาด จิ้งไท่เฟยจะตายหรือไม่ กู้เจียวไม่ใส่ใจ แต่จะยอมให้ท่านย่าต้องตกนรกไปพร้อมกับนางไม่ได้

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ก่อนถึงวันนั้น อย่าได้ยั่วยุให้นางโมโห ประเดี๋ยวนางเกิดวู่วามลงมือกับท่านย่าเอาได้”

“อืม” ในที่สุดกู้เจียวก็เข้าใจที่สามีของตัวเองเขียนในจดหมายว่า ‘อย่าเพิ่งลงมือโดยพลการ’ นั้นหมายความว่าอย่างไร จากท่าทีของจิ้งไท่เฟยในตอนนี้ พวกนางมั่นใจว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะยั่วยุนาง

หญิงผู้นี้เสียสติไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าหากบ้าคลั่งขึ้นมานางจะทำอะไรได้บ้าง

“เฮ้อ” กู้เจียวทอดถอนใจ

สองมือของกู้เจียวประสานกันวางอยู่บนโต๊ะ ศีรษะโน้มฟุบลงมา เกยลงบนหลังมือของตัวเอง

เซียวลิ่วหลังอดใจไม่ไหว เอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมหนาบนศีรษะน้อยๆ “รอไม่นานหรอก”

“อื้ม!” กู้เจียวพยักหน้า

นางเชื่อเขา

เชื่อใจถึงขั้นไม่จำเป็นต้องถามสักคำว่าแผนการของเขาเป็นอย่างไร

“ว่าแต่…” นางครุ่นคิดพลางพาร่างเล็กของตัวเองให้ยืนขึ้น

เซียวลิ่วหลังชักมือของตัวเองกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉียบ สัมผัสนุ่มนวลยังหลงเหลืออยู่บนฝ่ามือของเขา ปลายนิ้วของเขาไล้สัมผัสกันไปมา

กู้เจียวไม่ทันได้สังเกตท่าทางเว้าวอนของเขา นางหันไปมองเขาอย่างสงสัยพลางเอ่ย “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นคนอย่างไรหรือ เหตุใดเขาถึงต้องการให้ฝังท่านย่ากับจิ้งไท่เฟยไปพร้อมกับศพของตัวเองด้วย”

เซียวลิ่วหลังชะงักไป ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขาคือ ‘สละชีวิตแม่เพื่อลูก’ แต่พอมาคิดให้ดีแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

เป็นการยากนักสำหรับเขาที่จะอธิบายว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นคนเช่นไร ตอนที่เขาเกิดมาพระองค์ก็สิ้นพระชนม์แล้ว เพราะอย่างนั้นความทรงจำที่มีเกี่ยวกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน ล้วนแต่มาจากบันทึกของพระองค์และคำบอกเล่าที่ได้ยินมา

แต่ดูจากคำสั่งเสียที่พระองค์มอบไว้ก่อนจากโลกนี้ไป ดูท่าแล้วคงเป็นคนที่รอบจัดเอาการคนหนึ่ง

ที่รับสั่งให้ฝังจวงไทเฮาและจิ้งไท่เฟยไปพร้อมกับตนเองนั้น อาจเป็นเพราะมองออกว่าการมีอยู่ของนางทั้งสองจะส่งผลกระทบต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เป็นกังวลว่าจะเกิดการโยกย้ายอำนาจของเหล่าพระญาติราชนิกุล แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนัก หรือฮ่องเต้พระองค์ก่อนอาจจะมีแผนการอื่น

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนนั้นความคิดล้ำลึกดั่งมหาสมุทร ผู้ใดจะหยั่งถึงได้เล่า

อย่างเช่นตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดองค์หญิงซิ่นหยางเองก็มีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างกาย

สุดท้ายเซียวลิ่วหลังก็พูดกับกู้เจียวได้เพียงประโยคเดียว “สักวันหนึ่ง ความจริงก็ต้องเปิดเผย”

เขาไม่ได้บอกว่าเขาไม่รู้ และแน่นอนว่าเขาไม่รู้ แต่หากนางอยากรู้ เขาก็จะไปหาคำตอบมาให้

เซียวลิ่วหลังทอดสายตามองท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ขอบเขต “นี่ก็ดึกมาแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

กู้เจียวพยักหน้า “เช่นนั้น คืนพรุ่งนี้ข้ามาหาเจ้าอีก”

เซียวลิ่วหลังมองหนาง ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้”

หลังจากกู้เจียวออกไป เซียวลิ่วหลังก็ดับไฟลง เอนตัวลงบนฟูกผืนบาง กล่องขนมที่กู้เจียววานให้กู้เฉิงเฟิงนำมาให้ยังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

ค่ำคืนอันเงียบสงบ แต่ความคิดของกลับไม่เงียบสงบแม้แต่นิด

เพราะคนแสนซุกซนคนหนึ่งวิ่งเล่นไปมาในหัวเขาอยู่อย่างนั้น เขาพยายามนานกว่าจะควบคุมความคิดในหัวของตัวเองได้

เขาเริ่มไตร่ตรองเรื่องราชโองการ

ราชโองการที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นคนทิ้งไว้ แม้แต่เหนือหัวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตอนนี้ก็ยังต้องทำตาม แม้จวงไทเฮากับตระกูลจวงจะอำนาจล้นฟ้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นขัดขืนคำสั่งเสียสุดท้ายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้

แม้จะเป็นสตรีวังหลวง แต่จวงไทเฮานั้นทำเรื่องที่ผิดขนบธรรมเนียมไว้มากมาย และที่ร้ายแรงที่สุดคงจะเป็นการว่าราชการหลังม่าน

เหล่าเสนาบดีคนเก่าคนแก่ในรัชสมัยก่อนหน้าไม่ต่อต้านไทเฮาก็เพราะ ประการแรกจวงไทเฮานั้นมีวิธีการที่ทำให้พวกเขายอมสยบ ประการที่สองเป็นเพราะวันสุดท้ายก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ป่วยหนักจนไม่สามารถเสด็จประชุมเช้าได้ ตระกูลหลิ่วก็กำเริบเสิบสาน ฮ่องเต้จึงจำต้องล่อเสือเพื่อไล่หมาป่าอย่างไร้ทางเลือก แต่งตั้งในเสียนเต๋อฮองเฮาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่ทันได้ปลดตำแหน่งของเสียนเต๋อฮองเฮาก็ลาโลกไปเสียก่อน

เซียงลิ่วหลังเดาว่า ฮ่องเต้พระองค์ก่อนคงคิดว่าถึงอย่างไรก็มีราชโองการสั่งให้ฝังเสียนเต๋อฮองเฮาไปพร้อมกับตนเองอยู่ดี เช่นนั้นต่อให้ปลดหรือไม่ปลดก็มีค่าเท่ากัน

แต่น่าเสียดายที่เดินหมากพลาดไปตาหนึ่ง ราชโองการนั้นถูกจิ้งไท่เฟยขโมยไป

เสียนเต๋อฮองเฮาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนโดยฮ่องเต้พระองค์ก่อน หลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่นั่งบัลลังก์นางเองก็ยังคงว่าราชการหลังม่านต่อไป เหล่าเสนาบดีในรัชสมัยเดิมจึงไม่รู้สึกต่อต้านมากนัก

แต่หากราชโองการฉบับนี้ถูกเปิดเผย เหล่าเสนาบดีของฮ่องเต้พระองค์ก่อนคงรุมทึ้งกันลากจวงไทเฮาลงหลุมสุสานหลวงราวกับหมาป่าหิวโซเป็นแน่

เพราะอย่างนั้นจึงเป็นอย่างที่กู้เจียวพูดไม่มีผิด จะปล่อยให้ราชโองการอยู่ในมือของจิ้งไท่เฟยไม่ได้ ต้องหาวิธีขโมยกลับมาแล้วทำลายทิ้งเสีย

เพียงแต่มีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ พวกเขาจึงลงมือได้ยากนัก

“องครักษ์หลงอิ่ง” ท่ามกลางความมืดมิด เซียวลิ่วหลังหรี่ตามอง

คืนต่อมา กู้เจียวมาหาอย่างที่ว่าจริงๆ ทั้งยังมีเนื้อแดดเดียวรสเผ็ดของโปรดเซียวลิ่วหลังมาด้วย เนื้อแดดเดียวเสียบกับไม้ไผ่วางเรียงอยู่ในไห ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง ถือกันคนละไม้ รูดชิ้นเนื้อเข้าปาก

“วันพรุ่งนี้ให้ข้ามาอีกไหม” กู้เจียวเอ่ยถามเขาก่อนกลับ

เซียวลิ่วหลังก้มหน้าหัวเราะ “พรุ่งนี้สอบเสร็จแล้ว ข้าคงกลับได้แล้ว เจ้าไม่ต้องมาหรอก”

กู้เจียว “อ๋อ”

นางยังอยากมาอยู่เลย

แอบกินเนื้อแดดเดียวเสียบไม้กับเขากลางดึกแบบนี้ สนุกจะตายไป

เซียวลิ่วหลังเป็นผู้คุมสอบ ไม่ได้เป็นผู้ตรวจข้อสอบ เมื่อสอบเสร็จแล้วก็เก็บผ้าเก็บผ่อนกลับจากสำนักจัดสอบได้

ยามนี้ยังไม่นับว่ามืดค่ำนัก เขาแวะที่สำนักฮั่นหลินก่อน จัดการงานที่คั่งค้างในช่วงสามวันที่ผ่านมา

ตั้งแต่บังเอิญเจอจวงไทเฮานอกสำนักฮั่นหลินเมื่อคราวนั้น ก็แทบไม่มีใครในสำนักฮั่นหลินกลั่นแกล้งเขาอีก ทุกคนรู้ว่าเขาไปคุมสอบ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ก็ไม่กล้ามอบหมายงานให้เขาอยู่ดี เว้นเสียแต่จำพวกงานเรียบเรียงตำราจิงอี้

เขาใช้เวลาทั้งบ่ายในการเรียบเรียงตำราจิงอี้จนเสร็จ หลังจากนั้นก็ส่งมอบให้บัณฑิตหัน

ขณะที่รอบัณฑิตหันกลับมาที่ห้องทำงาน ก็บังเอิญพบกับหนิงจื้อหย่วนกำลังทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ห้องทำงานของเขา

“มีเรื่องอะไรรึ” เขาเดินเข้าไปถาม

หนิงจื้อหย่วนเหลียวไปตามต้นเสียงก่อนจะเอ่ย “เมื่อครู่ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง คุมสอบราบรื่นดีหรือไม่”

เซียวลิ่วหลังนึกถึงภาพที่ตนกินเนื้อแดดเดียวเสียบไม้กับใครบางคนเมื่อกลางดึก ก็เอ่ยออกไปอย่างอดไม่ได้ “ราบรื่นดี”

หนิงจื้อหยวนมองเขาอย่างสงสัย “เจ้านี่…ยิ้มเสียพิลึกเชียว”

เซียวลิ่วหลังหุบมุมปากลง เก็บสีหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ามาหาข้าเพื่อทักทายเองหรือ”

วกกลับเข้าเรื่อง หนิงจื้อหยวนก็ไม่พูดเล่นหัวกับเขาอีกต่อไป “คือว่า…”

หนิงจื้อหย่วนเกาหัวแก้เก้อ เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก “ข้าพาคนที่บ้านมาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว พี่สะใภ้เจ้า…พี่สะใภ้เจ้าบอกให้ข้าชวนเพื่อนฝูงไปนั่นเล่นที่เรือนบ้าง ข้าไม่ได้มีเพื่อนในเมืองหลวงมากมาย ก็เลยมาถามเจ้า…หากวันใดว่าง…”

ตอนที่เขาถามออกไป ความจริงใจในนั้นเต้นระส่ำ อย่าเห็นว่าเขาสอบติดอันดับหนึ่งในสามเช่นเดียวกับเซียวลิ่วหลัง แต่ชาติกำเนิดของพวกเขาทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว

แม้เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ฮ่องเต้โปรดปราน แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ปฏิบัติต่อเขากับเซียวลิ่วหลังต่างกันลิบลับ แต่นอนว่าเป็นเพราะความสามารถของพวกเขานั้นต่างกัน เขารู้จักประมาณตนเองดี จึงไม่คิดอิจฉาริษยา

เพียงแต่…รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง

เซียวลิ่วหลังไม่เพียงแต่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ได้ยินมาว่าเขานั้นยังสนิทกับไทเฮาไม่น้อยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะงัดข้อกับราชครูจวงได้อย่างไร

คนแบบนี้เป็นเพื่อนกับเขา นี่ตัวเขาจะมักใหญ่ใฝ่สูงมากเกินไปหรือเปล่า

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเองก็ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง เรือนก็เช่าเขาอยู่อาศัย ครอบครัวเรียกได้ว่าลำบากพอสมควร

พอคิดได้ดังนั้น หนิงจื้อหย่วนก็ไม่รอคำตอบของเซียวลิ่วหลัง รีบปฏิเสธแทนอีกฝ่ายในทันใด “แต่ช่วงนี้สำนักฮั่นหลินก็งานยุ่งนัก พวกเราสองคนคงไม่มีเวลา…”

“ได้สิ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

“ฮะ” หนิงจื้อหย่วนตกตะลึง

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ข้ากลับบ้านแล้วจะถามภรรยาดูว่าว่างเมื่อใด จะได้ไปเยี่ยมบ้านเจ้าพร้อมกับนาง”

หนิงจื้อหย่วนงงเป็นไก่ตาแตก “เอ่อ….”

นี่…นี่…นี่แปลว่าตอบตกลงแล้วหรือ