บทที่ 465 วางแผนร้ายอีกครั้ง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 465 วางแผนร้ายอีกครั้ง

บทที่ 465 วางแผนร้ายอีกครั้ง

อาจารย์ฮั่วผู้ทะนงตน ในตอนนี้มีสีหน้าประจบสอพลอ ท่าทางแปลกตากว่าปกติมาก!

คนรอบข้างแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ใช่คนที่พวกเขารู้จักไหม?

เสี่ยวเถียนส่ายหัว

“ไม่ได้ค่ะ ปู่ฉือเป็นลุงของคุณนะ!”

เรียกผิดลำดับแล้ว!

อาจารย์ฮั่ว “…”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คิดเหตุผลนึงออก

“แต่เธอเป็นลูกศิษย์ของลุงฉือนะ!”

ดูยังไงก็เป็นรุ่นพี่

เสี่ยวเถียนยังส่ายหัว แววตาเหมือนมองคนโง่เลย!

“งั้นพี่อี้หย่วนก็นับเป็นศิษย์ปู่ฉือด้วยสินะ!”

ฮั่วซือเหนียนโดนโจมตีจัง ๆ

ทำไมเด็กคนนี้รับมือยากนัก ยากกว่าพี่สาวของเธอด้วยซ้ำ! สมกับเป็นพี่น้องกันจริง ๆ!

เมื่อเห็นฮั่วซือเหนียนมีท่าทางท้อแท้ เด็กสาวก็มีความสุข

หลายวันต่อมา เสี่ยวเถียนมาที่โรงงานทุกวันเพื่อทำความคุ้นเคยกับศัพท์เฉพาะทาง และฮั่วซือเหนียนไม่มาปรากฏตัวอีกเลย มันทำให้เธอแปลกใจเลยถามหลี่ว์หรูหยาออกไปเยอะเลย

“อาจารย์ฮั่วหรือ? ปกติเขามาที่นี่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งเพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิคน่ะ! บางครั้งก็ให้คำแนะนำเรื่องธุรกิจกับเราด้วยนะ”

เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริง ๆ เธอคิดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์จะแก้ปัญหาด้านธุรกิจเท่านั้น

แต่ใครจะรู้เล่าว่าหน้าที่หลักคือการแก้ปัญหาทางเทคนิค

เดี๋ยวนี้อาจารย์มหาวิทยาลัยเก่งขนาดนี้เลยหรือ? ความสามารถของเขาทำให้เสี่ยวเถี่ยนอดสงสัยไม่ได้

หลี่ว์หรูหยาเดินเข้ามาหา “ครอบครัวเธอมาจากตะวันตกเฉียงเหนือจริงหรือ? ทำไมรู้จักคนใหญ่คนโตเยอะจัง?”

เสี่ยวเถียนเหลือบมอง ทว่าไม่ได้ตอบ

อีกฝ่ายจึงไม่กล้าถามอะไรอีก

“ถ้าพูดถึงอาจารย์ฮั่ว มันเป็นความโชคดีของโรงงานเราน่ะ เสี่ยวเถียนคงไม่รู้ว่าเดิมทีโรงงานแห่งนี้เป็นธุรกิจตกทอดจากครอบครัวของเขา หากไม่ใช่เพราะชื่นชอบในสิ่งที่ทำ เราก็คงไม่สามารถพาคนใหญ่คนโตแบบนั้นมานั่งบริหารได้หรอก”

เสี่ยวเถียนตะลึง โรงงานผ้าไหมฉี่ลี่เป็นมรดกจากบรรพบุรุษของชายคนนั้นหรือ? ไม่แปลกใจว่าทำไมอาจารย์มหาวิทยาลัยถึงวิ่งโล่มาแก้ปัญหาของโรงงานในฐานะที่ปรึก ษา

เป็นมรดกของตระกูลสินะ!

หม่าว่านกั๋วที่กำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนั้นได้ยินข่าวแล้วว่าฉืออวี้เลี่ยงพาเสี่ยวเถียนมาเป็นล่าม

เขายิ้มเยาะเย้ย

ฉืออวี้เลี่ยงนะฉืออวี้เลี่ยง แก่แล้วก็เลอะเลือน!

โง่จริง ๆ ที่ไปตกปากรับคำให้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาเป็นล่าม คิดจะประจบฉือเก๋อผู้ตกยุคโดยไม่คิดพยายามเลย

เพราะแบบนั้น เขาถึงรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสหายาก ไม่ได้การ เขาต้องจัดการเสียแล้ว

ถ้าตัดสินเรื่องนี้ได้ อนาคตของเขาจะรุ่งโรจน์แน่นอน

อาจจะไม่ต้องรอสองปีก็ได้เป็นผู้อำนวยการเลยก็ได้

แต่ถ้าเขาได้เป็น หลี่ว์หรูหยาที่ค้านเขามาตลอดจะไม่คิดกำจัดเขาหรือไง?

แถมยังมีฉือเก๋อและเสี่ยวเถียนที่เขาเกลียดสุด ๆ อีก

ไม่ช่วยฟรี ๆ ก็ได้ แต่จะมาให้เขาไปขอโทษได้ยังไง?

เพ้ออะไรอยู่?

ตอนแรกคิดจะใช้อำนาจข่มเหงแล้วขอให้พวกเขาช่วยแปลฟรี ๆ ไม่ใช่ประหยัดเงินโรงงานหรอก แต่จะเอาเงินส่วนนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองต่างหาก

แต่ไม่คิดเลยว่าสองคนนั้นจะไม่มีใจทำเพื่อส่วนรวมและประเทศ

ตอนนั้นพูดมากไปหน่อย ไอ้สองคนนั้นที่เห็นแก่เงินเลยไม่เอาด้วย

เพราะงั้นมีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เขาจะทำเงินได้อย่างมหาศาล

ต่อให้เป็นถึงรองผู้อำนวยการ แต่เงินเดือนแค่ร้อยกว่าหยวนเท่านั้น

พอคิดว่าเงินจำนวนมากจะหายไป หม่าว่านกั๋วก็รู้สึกเป็นทุกข์จริง ๆ!

แต่ตอนนี้เขาป่วยอยู่ ยังกลับไปโรงงานไม่ได้

หม่าว่านกั๋วนอนคิดทั้งคืน คิดจนหมดแรง และในที่สุดก็คิดออก

เขาเป็นคนแบบนี้แหละ อันที่จริงเพราะคิดอะไรดี ๆ ออกมาไม่ได้ เลยคิดแต่อะไรชุ่ย ๆ ออกมาแทน ซึ่งต้องการทำลายการเจรจาในครั้งนี้

ถึงโรงงานจะเสียผลประโยชน์ แต่ในมุมมองของเขามันไม่ได้สำคัญ เขาเป็นคนมีเหตุผลอยู่แล้วกับเรื่องที่ตนได้ประโยชน์

ส่วนทางฝั่งโรงงานไม่รู้เลยว่า หม่าว่านกั๋วนอนกระสับกระส่ายคิดจะสร้างปัญหาอยู่

แถมยังคิดจะทำลายผลประโยชน์ของส่วนรวมและของพนักงานส่วนใหญ่เพื่อตัวเองด้วย

สองสามวันมานี้ ตอนอยู่ที่โรงงานเสี่ยวเถียนตั้งใจเรียนมาก เธอเรียนรู้เกี่ยวกับผ้าไหมเยอะแยะเลย

ถึงจะไม่ใช่ส่วนสำคัญ แต่ก็มีพอให้เธอได้ใช้แปล

ฉือเก๋อพึงพอใจมาก

หายากจริง ๆ ที่เสี่ยวเถียนจะรู้ศัพท์เฉพาะและยาก ๆ ในช่วงเวลาอันสั้นเท่านี้ แถมยังออกเสียงได้ถูกต้องด้วย!

“เสี่ยวเถียน เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย”

น่าเสียดายที่ช่วงปีนั้นต้องหยุดไป!

เขาเสียใจเหลือเกิน!

ถ้ารู้ว่าเธอมีพรสวรรค์ ก็น่าจะสอนภาษาฝรั่งเศสกับเยอรมันให้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

เขาจะสอนทุกอย่างเลย!

ตอนนั้น หลังจากที่หมกมุ่นอยู่กับความเศร้าโศกก็คิดว่าสภาพแวดล้อมไม่อำนวยเลย อันที่จริง มันไม่ดีจริง ๆ หรือ?

ไม่สิ สภาพแวดล้อมที่หงซินดีมากเลยนะ

ถ้าเขาระวังสักหน่อยก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาทำอะไรอยู่น่ะ?

ฉือเก๋อคิดหนัก และรู้สึกว่าตนทำพลาดไป เขาไม่มีคุณสมบัติของความเป็นครูเลย

แต่มันสายเกินไปที่จะพูดแล้ว วิธีเดียวที่จะสอนเสี่ยวเถียนได้คือตั้งใจสอนเธอซะ ให้เธอมีความรู้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เสี่ยวเถียนละอายใจกับคำพูดของชายชรานัก

ไม่ใช่ว่าเธอมีพรสวรรค์เสียหน่อย แต่เพราะทักษะของระบบต่างหากที่ทำให้เธอเรียนรู้ได้ไว

เธอเริ่มสงสัยว่าความก้าวหน้าของตนไวเกินไปหรือเปล่า?

ดูเหมือนว่า หลังจากนี้เธอจะต้องทำอย่างอื่นบ้าง จะเอาแต่อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศไม่ได้

เธอไม่คิดจะเรียนสายภาษาอยู่แล้ว แถมยังตั้งใจเรียนอีก ดูไม่ค่อยมีความหมายเลย

“คุณปู่ฉือ หนูฉลาดนะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มร่า “หนูฉลาดกว่าพี่อี้หย่วนอีก!”

ฉือเก๋อหัวเราะลั่น

“เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นจะไปเทียบกับเธอได้ยังไง!”

ว่าจบก็เห็นหลานชายเดินหน้ามุ่ยเหมือนปวดท้องเข้ามา

ใช่แล้ว ฉืออี้หย่วนได้ยินหมดเลย

เขาคิดว่าปู่จะพึงพอใจกับความตั้งใจของเขาเสียอีก แต่ใครจะรู้เล่าว่าดันเทียบกับเสี่ยวเถียนไม่ได้เลย

แต่พอเห็นรอยยิ้มสดใสของน้อง ตนกลับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เสี่ยวเถียนทำตัวดีมาตลอดเลยนี่นา!” ฉืออี้หย่วนเอ่ยด้วยความจริงใจ

ไม่สู้ก็ได้ เขาเป็นผู้ชายจะไปเทียบกับเด็กผู้หญิงได้ยังไง?

ไม่มีประโยชน์หรอก

ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหนุ่มก็สดใสเหมือนเด็กสาว

ฉือเก๋อมองเด็กทั้งสอง เขาเองก็ยิ้มเหมือนกัน

แค่นี้ก็พอแล้ว!

“เสี่ยวเถียน พรุ่งนี้จะไปทำหน้าที่เป็นล่ามแล้ว กลัวไหม?” เด็กหนุ่มถาม

เด็กสาวไม่เคยสัมผัสกับสถานที่ใหญ่ ๆ แบบนี้มาก่อนเลย เธอจะกลัวไหมนะ?

เขากำลังคิดว่าจะปลอบใจและให้กำลังใจเธอยังไงดี

ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเธอกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยเลย

“ไม่กลัวค่ะ!”

“แต่นั่นคือนักธุรกิจชาวต่างชาติเลยนะ!”

เธอยังเด็กอยู่เลย ไม่กลัวอะไรเลยหรือ?

“หนูรู้ค่ะว่าเขาเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติ แต่พวกเขาก็คนเหมือนกันนี่นา ใช่ว่าหนูจะไม่เคยเห็นชาวต่างชาติเสียหน่อย!”

จริงอยู่ว่าสมัยนี้มีชาวต่างชาติน้อย แต่อีกสองถึงสามปีข้างหน้าพวกเขาจะเข้ามาอีกเยอะเลย แล้วจะไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว

เอาเถอะ เขาคิดว่าตนคงจะถามมากไปหน่อย เธอคงจะไม่กลัวจริง ๆ

แค่หวังว่าในวันพรุ่งนี้ เธอจะยิ้มอย่างสดใสก็พอ

“คุณปู่ฉือ บอกทีค่ะว่าระดับของหนูในตอนนี้ดีพอจะเป็นล่ามหน้างานไหมคะ?”

เสี่ยวเถียนบอกได้เลยว่าพี่ชายคนนี้ยังเป็นห่วงอยู่ เพื่อไม่ให้เขากังวลเลยขอให้ฉือเก๋อเป็นพยาน

ฉือเก๋อเองก็กลัวเสี่ยวเถียนจะตื่นเวทีเหมือนกัน

แต่ท่าทางของเด็กสาวเหมือนจะสบาย ๆ นะ

“ถ้าทำตัวตามปกติในวันพรุ่งนี้ก็ผ่านฉลุยแน่นอน เสี่ยวหย่วนเอ๊ย แกดูตัวเองเถอะ เป็นหลานฉันแท้ ๆ!”

ฉืออี้หย่วนโดนหมัดฮุคเข้าอีกรอบ เขาไม่อยากพูดอีกแล้ว ทำยังไงดีเนี่ย?

ฉืออี้หย่วนนิ่งไป แม้แต่เสี่ยวเถียนก็ทนมองอีกฝ่ายเสียใจไม่ได้

เธอมองฉือเก๋อ ปู่พูดแบบนี้ได้ยังไง?

เขาจะเสียใจขนาดไหนน่ะ?

ชายชราผงะ เด็กคนนี้คิดจะบ่นกันหรือ?

เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ

เป็นเด็กที่น่าสนใจจริง ๆ!