ตอนที่ 154-1 งานฉลองวันเกิด บทเรียนสั่งสอน
กว่ารถม้าจะไปถึงปากหมู่บ้านก็ดึกดื่นค่ำคืนแล้ว เห็นได้ชัดว่าประตูเมืองปิดไปแล้ว คนรถคิดจะกลับเมืองหลวงก็ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ เฉียวเวยจึงให้เงินเขาสองตำลึงไปหาโรงเตี๊ยมในตัวเมืองพักสักคืนหนึ่ง
คนรถขอบคุณแล้วจากไปด้วยความยินดี
เฉียวเวยเดินขึ้นเนินไปพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ศิษย์น้องหญิง หึ ศิษย์น้องหญิงในตำนาน
ทั้งงดงามทั้งขี้อ้อน ทั้งน่ารักทั้งมีเสน่ห์ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก
เฉียวเวยเด็ดใบไม้ใบหนึ่งมาขยำจนแหลกละเอียดแล้วถอนหายใจก่อนเดินเข้าบ้านไปคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กๆ อาบน้ำอาบท่ากันเสร็จแล้ว กำลังตีลังกากันอยู่บนเตียง ปี้เอ๋อร์กวาดน้ำอยู่ทางเรือนหลัง ป้าหลัวกำลังถือเข็มกับด้ายเย็บชุดหญิงชาวบ้านที่ปริขาดของเฉียวเวย
“ท่านแม่!” จิ่งอวิ๋นมองเห็นเฉียวเวยในทันที
วั่งซูหยุดตีลังกาแล้วมองมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่!”
อย่างน้อยนางก็ยังมีลูก เฉียวเวยยิ้มปลอบใจ แล้วจึงก้าวเข้าไปกอดเด็กทั้งสองเข้ามาแนบอก
ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่งพวกเขาไปทั้งนั้น ศิษย์น้องหญิงก็ไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านแม่!” วั่งซูตีใจจนโผขึ้นไปจุ๊บแก้มเฉียวเวย
เฉียวเวยถูกแหย่จนอารมณ์ดี ความหงุดหงิดที่มีมาตลอดทางพลันหายไปกว่าครึ่ง นางมองไปยังบุตรชายที่เคร่งขรึม จิ่งอวิ๋นจับศีรษะด้วยความขัดเขิน ก่อนจะขึ้นมาหอมแก้มเฉียวเวยทั้งหน้าแดงๆ เฉียวเวยจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
จากนั้นเฉียวเวยหยิบถังหูลู่ที่เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาหกไม้
เด็กทั้งสองตกใจจนอ้าปากกว้าง วั่งซูสูดน้ำลาย “ถังหูลู่! ใช้ร้านที่พี่สือชีซื้อมาหรือไม่”
“ใช่น่ะสิ” เฉียวเวยเอ่ยว่า “แต่วันนี้ดึกไปแล้ว กินไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยกินนะ”
ทั้งสองพยักหน้าอย่างรู้ประสา
เฉียวเวยวางถังหูลู่ลงอย่างดี ขยี้ศีรษะบุตรทั้งสอง “นอนเถิด”
“พวกเรานอนที่นี่ได้หรือไม่” วั่งซูกระซิบถาม นางไม่อยากนอนที่ห้องตัวเองสักนิด น่ากลัวเกินไป ตกกลางคืนตื่นขึ้นมาทำธุระเบาก็ไม่มีใครอยู่ นางกลัวจนตื่นเต็มตาทีเดียว
เฉียวเวยปัดปรอยผมตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ได้สิจ๊ะ”
ทั้งสองดีใจจนดึงผ้าห่มลุกขึ้นแล้วนอนลงเอาผ้าห่มคลุมตัวไว้ทันที
เฉียวเวยเหน็บมุมผ้าห่มให้ทั้งสอง ในเวลานี้ไม่ใช่พวกเขาต้องการนาง แต่เป็นนางต้องการพวกเขา หากไม่มีพวกเขา นางต้องนอนให้ห้องที่ว่างเปล่าคนเดียว ยังไม่รู้ว่าจะคิดฟุ้งซ่านไปอย่างไรบ้าง
ป้าหลัวปะชุนเสื้อเสร็จ อยู่พูดคุยกับเฉียวเวยอีกพักหนึ่งก็ลงเขาไป ปี้เอ๋อร์ทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยก็กลับเรือนเล็กไป ทั้งบ้านพลันเงียบงันลง
เฉียวเวยอาบน้ำล้างหน้าเสร็จก็ลงนอนบนเตียง จิ่งอวิ๋นปีนข้ามตัวน้องสาวจากฝั่งซ้ายไปอยู่ฝั่งขวาอย่างตั้งใจ พอเป็นแบบนี้ เขาก็จะเป็นคนที่ได้นอนตรงกลาง จะได้กอดท่านแม่ได้ ถึงอย่างไรน้องสาวก็ตื่นสายกว่าเขา ไม่รู้ว่าเขาแย่งนอนกอดท่านแม่ ตื่นเช้าวันต่อมานางจะยังคิดว่านางนอนติดกับท่านแม่มาทั้งคืน ไม่ต้องบอกเลยว่าจะดีใจแค่ไหน
ศีรษะเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋นซุกไซ้อยู่กับแขนของมารดา
เฉียวเวยดึงเขาไปกอดไว้
“ท่านแม่ ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ” จิ่งอวิ๋นถามเสียงอ่อนนุ่ม ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มารดากับบุตรใจสื่อถึงกัน ตอนท่านแม่กอดเขา จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
แขนของเฉียวเวยที่กอดบุตรชายอยู่กระชับแน่นขึ้น “นิดหน่อย”
จิ่งอวิ๋นยื่นมือน้อยๆ ออกมาจากผ้าห่ม ทำประหนึ่งผู้ใหญ่ตัวน้อย ตบบ่าเฉียวเวยเบาๆ
เฉียวเวยพลันระบายยิ้ม จับมือน้อยๆ ของเขาซุกกลับลงในผ้าห่มที่อบอุ่นเช่นเดิม “แม่ไม่เป็นไร ขอบใจจิ่งอวิ๋นมาก”
จิ่งอวิ๋นหาวทีหนึ่ง ขยับตัวหาท่าทางที่นอนสบายในอ้อมแขนของมารดา แล้วหลับฝันหวานไป
เฉียวเวยเองก็หลับตาลง
วันต่อมา เฉียวเวยเอาสินค้าสองโหลเตรียมจะไปส่งให้ที่หรงจี้ตามปกติ ยังไม่ทันออกจากบ้าน เถ้าแก่หรงก็มาหาเสียก่อน “เสี่ยวเฉียว อรุณสวัสดิ์!”
เฉียวเวยอุ้มโหลเอาไว้กำลังจะออกจากบ้าน พอเห็นอีกฝ่ายก็ระบายยิ้มน้อยๆ “อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่หรง วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไร เจ้าถึงมาเอาสินค้าถึงที่ได้”
“แค่กๆ” เถ้าแก่หรงกระแอมให้ลำคอโล่ง “ข้าไม่ได้มาเอาของ ที่ข้ามา… เพราะมีธุระจะคุยกับเจ้า มีการค้ามาให้ทำ”
“การค้าอะไร” เฉียวเวยเอาโหลวางลงบนโต๊ะ
เถ้าแก่หรงเอาเก้าอี้มานั่งลง ตาเล็กๆ ของเขากวาดมองเฉียวเวยรอบหนึ่ง “หรงจี้รับจัดงานฉลองวันเกิดมางานหนึ่ง เป็นลูกค้าใหญ่ในเมืองหลวง”
เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “กิจการของหรงจี้ดีถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไปรับงานส่วนตัวข้างนอกอีก งานส่วนตัวยากลำบากแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรือ”
“ก็ ก็ไม่เชิงเป็นงานส่วนตัว เป็นของหรงจี้” เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความหนักแน่นโดยสิ้นเชิง
เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้ารับมาเอง เจ้าก็ไปเองสิ อย่ามาลากข้าไปด้วย”
เวลานี้นางไม่ขัดสนเงินทองแล้ว เหตุใดถึงต้องหาเรื่องวิ่งโร่ไปทำตัวเรียบร้อยที่บ้านลูกค้าใหญ่ด้วย การทำอาหารในภัตตาคาร จุดประสงค์ก็เพื่อความสนุก การไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านลูกค้าใหญ่ จะทำอะไรก็ต้องคอยมองสีหน้าคน
เถ้าแก่หรงก็รู้ว่าเฉียวเวยไม่มีทางตกลง ดังนั้นถึงได้รับไว้ก่อนแล้วค่อยมาบอกนางทีหลัง หากบอกเฉียวเวยตั้งแต่แรก เกรงว่างานเลี้ยงครั้งนี้คงจัดไม่สำเร็จแน่
แต่ครั้งนี้ลูกค้าไม่ใช่ลูกค้าธรรมดา ราคาที่อีกฝ่ายเสนอมาเย้ายวนใจเหลือเกิน เขาจะทำใจพลาดโอกาสร่ำรวยเช่นนี้ได้อย่างไร
“ลูกค้าคนนี้ดีเลิศนัก งานนี้ก็ง่ายมากด้วย เจ้าแค่หลับตาผัดกับข้าวสองสามอย่าง เรื่องอื่นปล่อยให้พ่อครัวเหอกับพ่อครัวไห่เป็นคนจัดการ เจ้าถือเสียว่าไปเล่นสนุกก็ไม่ได้หรือ”
เฉียวเวยไม่หวั่นไหวสักนิด
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าเปลี่ยนเหล้าจีนของข้า!” เถ้าแก่หรงควักไม้ตายออกมา
ขนตาเฉียวเวยขยับเล็กน้อย “ใครเปลี่ยนเหล้าจีนของเจ้ากัน”
เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างไม่เห็นขันด้วยว่า “แล้วยังมีต้าผู่หวันของข้าอีก! เจ้าทำข้าถูกภรรยาหัวเราะเยาะ ถูกเถ้าแก่ต้าผู่หวันตี เจ้าเป็นคนทำข้าทั้งนั้น! เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรกับต้าผู่หวันของเจ้าเสียหน่อย!”
เถ้าแก่หรงหรี่ตา “เช่นนั้นเจ้าก็ยอมรับแล้วสิ ว่าเจ้าเปลี่ยนเหล้าจีนของข้า”
“….ไม่ใช่!” เฉียวเวยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “งานเลี้ยงจัดเมื่อไร”
วันต่อมา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เถ้าแก่หรงก็ส่งรถมารับเฉียวเวยไปที่ตัวเมือง เพื่อเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับพ่อครัวเหอ พ่อครัวเหมย เสี่ยวลิ่ว เหยาชิงรวมถึงลูกศิษย์อีกสองคน
คณะเดินทางไปยืนอยู่หน้าประตูที่ใหญ่โตมโหฬาร มองแผ่นป้ายหน้าจวนที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทองแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “จวนไท่ซือ? ในเมืองหลวงมีจวนไท่ซืออยู่กี่แห่งหรือ”
เถ้าแก่หรงจึงบอกว่า “ก็ต้องมีแห่งเดียวสิ!”
เฉียวเวยหมุนตัวจะเดินไปทันที!
เถ้าแก่หรงรีบคว้าตัวนางไว้ “นี่ๆๆ! เสี่ยวเฉียว เจ้าจะไปไหนน่ะ”
เฉียวเวยกดความปั่นป่วนในใจเอาไว้ “เจ้าไม่ได้บอกข้าว่าเป็นจวนไท่ซือ”
เถ้าแก่หรงสีหน้าดูงุนงง “เจ้าก็ไม่ได้ถามนี่”
“เจ้าบอกแค่ว่าเป็นลูกค้าใหญ่ในเมืองหลวง”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าไม่ได้พูดผิดนี่ ก็เป็นลูกค้าใหญ่ในเมืองหลวงจริงๆ”
เฉียวเวยเดือดดาล “นี่ไม่เรียกว่าใหญ่ เรียกว่าใหญ่มากเข้าใจหรือไม่ เจ้าลากข้ามาสถานที่เช่นนี้ เคยคิดถึงความรู้สึกข้าบ้างหรือไม่”
เถ้าแก่หรงถึงกับเกาหัว มองนางด้วยความงงงวย “แม้แต่วังหลวงเจ้าก็เข้าไปมาแล้ว ยังต้องกลัวจวนไท่ซือด้วยหรือ”
อย่างไรก็ต้องไม่ใช่ที่นี่!
เฉียวเวยกระทืบเท้าอยู่กับที่หลายที “วังหลวงก็คือวังหลวง จวนไท่ซือก็คือจวนไท่ซือ สรุปแล้ว… สรุปแล้วข้าจะไม่ทำการค้ากับจวนไท่ซือ!”
“เจ้าเคยมีเรื่องกับจวนไท่ซือมาก่อนหรือ”
“ไม่เคย!”
“ศิษย์สำนักซู่ซินจงมาแล้ว!”
ด้านนอกประตู ไม่รู้มีบ่าวที่ไหนร้องบอกขึ้นมาทีหนึ่ง เฉียวเวยเห็นลูกศิษย์คณะใหญ่ที่สวมใส่อาภรณ์ที่เขียวขาวเดินอย่างผึ่งผายเข้ามา คนที่เดินนำมาคือศิษย์น้องหญิงผู้งดงามและมีเสน่ห์ผู้นั้น
เฉียวเวยไม่คิดอยากเอ่ยทักทายนาง เพราะหากได้ทักทายกันแล้วจะพูดเรื่องอะไรกัน
อ้อ เจ้ามาทำอะไรหรือ
ข้ามาฉลองวันเกิดให้ท่านตา เจ้าเล่ามาทำอะไร
อ้อ ข้ามาทำอาหารให้พวกเจ้ากิน
ฮา!
เฉียวเวยหันหลังหลบ
หลีเย่ว์กวาดมองไปทั่ว สายตาหยุดมองที่แผ่นหลังบอบบางของเฉียวเวย ศิษย์พี่คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายถามว่า “ศิษย์น้อง เจ้ากำลังมองใครอยู่หรือ”
หลีเย่ว์ชี้บอก “คนผู้นั้นดูเหมือนสหายของศิษย์พี่สี่เลย”
ศิษย์พี่จึงบอกว่า “อย่างนั้นหรือ ข้าจะไปทักทายสักหน่อย”
บ่าวหญิงคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบร้อยเดินออกมาจากประตูมุมกำแพง “พวกเจ้ามาจากหรงจี้กระมัง ตามข้าเข้ามา”
เฉียวเวยใช้หางตาเหลือบมองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กำลังเดินเข้ามา จึงรีบเผ่นพลิ้วตามพวกเถ้าแก่หรงเข้าประตูมุมกำแพงไปทันที
ศิษย์พี่ดึงหลีเย่ว์ไว้ “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจำคนผิดหรือไม่ ทางนี้เป็นทางให้บ่าวไพร่เข้าออก สหายของศิษย์พี่สี่จะเป็นบ่าวไพร่ได้อย่างไร”
หลีเย่ว์ตอบอ้อคำหนึ่ง “เช่นนั้นข้าคงมองผิดไปเอง”
ศิษย์พี่หัวเราะเสียงนุ่ม “ไปกันเถิดศิษย์น้อง อย่าให้พวกท่านอาจารย์รอจนร้อนใจเลย”
หลีเย่ว์ไปกับศิษย์พี่แล้ว ศิษย์ของซู่ซินจงเดินเข้าจวนไท่ซือไปทางประตูหลัก คณะของเฉียวเวยก็มีมามาผู้นั้นเดินนำไปที่ครัวของจวน
งานเลี้ยงครั้งนี้รับจัดโดยหรงจี้แต่เพียงผู้เดียวโดยแท้จริง ไม่มีภัตตาคารอื่นร่วมด้วย แม้แต่คนครัวของจวนไท่ซือเองก็ยังต้องถอยออกไป
กัวมามาระบายยิ้มแฉ่งอย่างมืออาชีพ “ข้าแซ่กัว พวกเจ้าเรียกข้าว่ากัวมามาก็ได้ พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นจนเกินไป พวกเราไม่ได้ร้องขออะไรมากนัก ขอเพียงแขกเหรื่อที่มาพอใจก็พอแล้ว”
ทุกคนได้ฟังสองประโยคหน้ายังรู้สึกอุ่นใจ แต่ประโยคสุดท้ายนั่น ‘ทำให้แขกเหรื่อพอใจ’ มีกี่ความหมายกัน นางไม่รู้หรือว่ามีประโยคหนึ่งบอกว่า ทำให้ทุกคนถูกปากนั้นยากนัก ต่อให้เป็นพ่อครัวแม่ครัวที่เก่งกาจเพียงไหนก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าตนจะทำให้ทุกคนพอใจกับอาหารที่ตนทำได้เลย ไม่อย่างนั้นแล้ว จะทำอาหารขึ้นโต๊ะใหญ่เช่นนี้ไปไย อย่างไรก็ต้องมีคนที่ชอนกินอันนี้ ไม่ชอบกินอันนั้นอยู่ดี
เฉียวเวยปรายตามองเถ้าแก่หรง ง่ายมากอย่างนั้นหรือ
เถ้าแก่หรงยิ้มแหยๆ
กัวมามานำทุกคนเข้าไปในลาน “ที่นี่คือห้องครัว ทั้งเรือนหน้าและเรือนหลังมีบ่อน้ำอยู่ทั้งสิ้น จะล้างที่ไหนก็ได้” พูดจบก็หยุดนิ่งไปก่อนพูดต่อว่า “ตรงเรือนหน้าอย่าให้มีเลือด”
ทุกคนได้แต่ยิ้มในหน้า
เฉียวเวยมองไปรอบๆ ลานนี้ใหญ่มากทีเดียว ดูคล้ายบ้านที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ที่แท้กลับเป็นเพียงสถานที่ทำครัวเท่านั้น จวนไท่ซือนี้ช่างหรูหราเว่อร์วังโดยแท้
เฉียวเวยคิดบางอย่างออกจึงถามว่า “ห้องในเรือนนี้สามารถใช้ได้ทั้งหมดหรือไม่ ของของพวกเราออกจะมากอยู่สักหน่อย” ไม่ใช่แค่วัตถุดิบ แต่ยังมีเครื่องไม้เครื่องมืออีกเล็กน้อย รวมถึงเสื้อผ้าและหยูกยาสำหรับใช้เวลาฉุกเฉินอีก
กัวมามาเอ่ยอย่างใจดีว่า “แน่นอนสิ ใช้ตามสบายเลย! นอกจากห้องนั้น ห้องนั้น ห้องนั้น แล้วก็ห้องนั้น”
เฉียวเวยมองตามมือนางไปทีละห้อง คิ้วนางเลิกขึ้น มีแค่ห้องเดียว… คือห้องเก็บฟืนเล็กๆ ที่ใช้ได้
เถ้าแก่หรงกระแอมไอเป็นการบอกให้เฉียวเวยสงบนิ่งไว้
เมื่อชาติก่อนเฉียวเวยพบเจอคนแปลกประหลาดมาไม่น้อย กัวมามายังไม่เกิน แค่ยังไม่เกินขอบเขตที่นางสามารถรับได้ เฉียวเวยยกกล่องเครื่องไม้เครื่องมือของตนเข้าไปในห้องครัว นางลองลูบเตาดูทีหนึ่ง ไม่เจอคราบน้ำมันเลยสักนิด จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยต่อว่า “ใช่สิ นายท่านอาวุโสของพวกเจ้าหรือคนอื่นๆ มีใครไม่กินอะไรหรือไม่”
“ไม่มีๆ คนในจวนไท่ซือเป็นคนง่ายๆ ไม่เลือกกิน” กัวมามากางนิ้วออกมา “มีแค่นายท่านอาวุโสไม่กินตะพาบ ฮูหยินอาวุโสไม่กินปลาไม่มีเกล็ด คุณชายใหญ่ไม่กินเนื้อมีเอ็น คุณชายรองไม่กินเนื้อแพะ เกอเอ๋อร์กำลังฟันน้ำนมหลุด ถ้าทำขนมอย่าใส่น้ำตาลมากเกินไป”
เฉียวเวยส่งสายตาจริงแท้แน่นอนไปให้เถ้าแก่หรง เถ้าแก่หรงไม่กล้ามองหน้าเฉียวเวยอีก จึงแสร้งทำเป็นหูหนวกพูดไม่ได้ เหลือบสองตาขึ้นมองฟ้า
กัวมามาเอ่ยต่อว่า “หากพวกเจ้าทำงานกันเสร็จแล้ว สามารถเดินเล่นในจวนได้ ข้าเข้าใจว่านานๆ ทีพวกเจ้าจะได้เข้ามาในจวนที่ใหญ่โตเช่นนี้ เดินเล่นได้ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“เว้นแต่?” เฉียวเวยส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้อีกฝ่าย
กัวมามาจึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีเว้นแต่ เพียงแค่อย่าเดินไปเกินต้นไม้ข้างหน้าต้นนั้น”
ต้นไม้ต้นนั้นอยู่ตรงหน้าประตูเรือนที่ห่างไปหนึ่งเมตรเท่านั้นเอง
ทุกคนจึงยิ้มอย่างที่ดูแย่กว่าร้องไห้เสียอีก
กัวมามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปก่อนนะ ข้าจะทิ้งสาวใช้ไว้ให้สองคน พวกเจ้าจำไว้ว่าให้สาวใช้ไปเรียกข้ามาได้ตลอดเวลา”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “กัวมามาค่อยๆ เดิน”
กัวมามาพอหมุนตัวไป ตรงสวนดอกไม้เล็กๆ ข้างหน้าก็พลันมีเสียงร้องอย่างน่าสงสารของแมวดังขึ้น กัวมามาข่มความร้อนรนเอาไว้ ซอยเท้าเดินออกไป “หลิงตัง?”
แมวตัวใหญ่สีขาวตัวหนึ่งร้องครางพลางซุกเข้าไปหากัวมามา
สาวใช้คนหนึ่งลุกขึ้นจากพื้น นวดก้นขณะเอ่ยกับกัวมามาว่า “ขอ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ข้าเป็นบ่าวจากจวนซื่อหลาง คุณหนูบ้านข้าอยากปลดทุกข์ จึงให้ข้าไปหยิบกระดาษ ข้า… วิ่งเร็วเกินไป จึงเหยียบถูกแมวตัวนี้เข้าเจ้าค่ะ”
คนของจวนซื่อหลางนี่เอง เฉียวเวยลูบคาง พวกเสี่ยวลิ่ววิ่งออกไปมุงดูกับเขาด้วย