บทที่ 469 วิธีหาเงิน

บทที่ 469 วิธีหาเงิน

หลังกินข้าวเสร็จ ฉือเก๋อสอนเสี่ยวเถียนให้ได้รู้เรื่องกฎการแปลและสอนบางเรื่องให้โดยเฉพาะ

เสี่ยวเถียนตั้งใจฟังมาก ก่อนจะได้รู้ว่านักแปลมีอะไรให้พูดเยอะเลย ทีแรกคิดว่าแค่ถ่ายทอดเนื้อหาออกไปก็พอแล้ว

แต่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน ก็มีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้

เสี่ยวเหมยบอกลาเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ว่าเธอต้องกลับบ้านเพียงลำพัง คุณย่าซูจึงรู้สึกเป็นห่วง

“เสี่ยวเหมยเอ้ย อย่ากลับคนเดียวเลย พรุ่งนี้วันหยุดนะ ไม่ต้องไปโรงเรียนนี่?”

“แต่ถ้าไม่กลับ พ่อกับแม่จะเป็นห่วงเอานะคะ”

“โทรไปบอกก็พอแล้ว!”

เสี่ยวเหมยกลัวว่าฮั่วซือเหนียนกำลังรออยู่ จึงยอมทำตาม

สองปู่หลานบ้านฉือตั้งใจจะกลับบ้าน คุณปู่ซูจึงทำได้แค่ให้เด็กหนุ่มคอยดูแลปู่เอาไว้

“คุณปู่คุณย่าซูไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลเขาอย่างดีเลย!” ฉืออี้หย่วนพูดอย่างสุภาพ

ทุกคนยืนมองพวกเขาเดินออกไป

“เสี่ยวหย่วนคงทรมานใจเหมือนกันสินะ!” เหลียงซิ่วทอดถอนใจ

“พ่อแม่เขาก็ด้วย ถึงตอนนี้จะมีคนกลับมาจากต่างประเทศกันเยอะแล้ว แต่พวกเขาไม่มาดูลูกชายบ้างเลยหรือไง?” คุณย่าซูบ่น

ก่อนหน้านี้กลับไม่ได้ก็พอเข้าใจ เพราะนโยบายของเราไม่อนุญาต แต่ตอนนี้ได้ยินว่ามีหลายคนกลับมาหาญาติ ๆ กันแล้ว แล้วทำไมพ่อแม่ของเด็กคนนั้นถึงไม่กลับมาเลยล่ะ?

“อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้ค่ะ ยังมีอีกหลายคนที่ยังกลับไม่ได้นะคะ” เสี่ยวเถียนว่าต่อ “เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องไปสนใจก็ได้นะ แม่คะ แม่ดูแลพี่เขาดี ๆ ก็พอแล้ว!”

อันที่จริงเธอเองก็ไม่เคยถามเหมือนกันว่า ภูมิหลังของพ่อแม่เป็นมายังไง

แต่เด็กที่คุณปู่ฉือเลี้ยงดูมาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ หรือคนฝั่งนู้นจะไม่อยากกลับมาเอง

มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวเถียนรู้อยู่แก่ใจถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ สองสามีภรรยาคู่นั้นคงไม่อยากกลับมา

หลาย ๆ คนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศก็ไม่อยากกลับมาทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ?

เผลอ ๆ อาจจะมีลูกอีกคนแล้วก็ได้ แล้วใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข

ส่วนลูกชายอย่างฉืออี้หย่วน…ก็ไม่รู้จะจำกันได้หรือเปล่า

เสี่ยวเถียนรีบสะบัดหัวไล่ความคิด ไม่กล้านึกอะไรต่อ

ไม่รู้ทำไมถึงคิดแบบนี้

คงเพราะชาติก่อนหลังจากที่พี่เขามีชื่อเสียง เธอก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวจากพ่อแม่ของเขาเลย!

เหลียงซิ่วไม่ได้คิดอะไรเยอะ แล้วพยักหน้า “ยังไงก็ต้องดูแลพวกลูกอยู่แล้ว ดูแลอี้หย่วนเพิ่มอีกคนก็ยังได้”

เสี่ยวหย่วนคิดถึงลูกสาวของเธอด้วย ทำไมจะดูแลเขามากกว่านี้ไม่ได้ล่ะ?

บ้านเรามีเด็กเยอะเลย มีอีกคนก็ไม่ได้แย่นะ!

คุณย่าซูเห็นด้วยอย่างมาก “ก็จริงนะ สถานการณ์บ้านเราในตอนนี้ดีกว่าแต่ก่อนมาก ของกินของดื่มอะไรก็ส่งให้กันได้ พวกเขาจะได้ไม่ลำบาก”

พวกเขาพึมพำกันขณะปิดประตูร้าน จากนั้นก็เดินกลับบ้านพร้อมกัน

วันต่อมาคือวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่เสี่ยวเถียนไปทำงานเป็นล่าม พอกลับถึงบ้าน พวกเขาก็เข้านอนไวหน่อยเพื่อให้เสี่ยวเถียนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

เด็กสาวนอนหลับสนิท แต่คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณย่าซูตื่นขึ้นพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตา แกทำซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ของโปรดให้หลาน

“หลานชอบซาลาเปาที่ย่าทำมาก โดยเฉพาะซาลาเปาไส้เนื้อ” หญิงชราห่อก้อนแป้งพลางพูดกับเสี่ยวเหมยที่เสนอตัวมาช่วยด้วย

หญิงสาวยิ้ม “ซาลาเปาที่คุณยายทำอร่อยที่สุดเลยค่ะ เสี่ยวเถียนชอบ หนูก็ชอบ”

คุณย่าซูมีความสุขมาก “เดี๋ยวยายทำให้กินนะ วันนี้ยายทำไว้เยอะเลย ขากลับบ้านก็เอาไปฝากพ่อกับแม่ด้วยล่ะ”

เสี่ยวเหมยพยักหน้ารับรู้

คุณย่าซูกินข้าวเสร็จก็ไปที่หออีหมิงพร้อมกับลูกสะใภ้และสามี

หลังจากที่พวกเขาออกไป เสี่ยวเหมยช่วยทำความสะอาดในครัว กระทั่งไม่มีอะไรให้ทำแล้วก็ออกไปอ่านหนังสือ

ไม่รู้เพราะอะไร แต่เวลาอ่านหนังสือที่บ้านนี้จะสงบเป็นพิเศษ

พวกพี่ ๆ ออกไปหลังมื้อเช้า ส่วนเด็กคนอื่น ๆ นั่งทำการบ้านอย่างเชื่อฟัง

เสี่ยวเถียนนอนหลับสบายมาก เธอนอนยิงยาวถึงแปดโมงกว่า ก่อนจะตื่นเพราะหลี่ว์หรูหยามาหาที่บ้าน

ชายหนุ่มมองเด็กสาวที่กำลังตาปรือด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เขารีบออกมาแต่เช้า แต่เด็กคนนี้ปกติดีมาก แถมยังเพิ่งตื่นอีก

เสี่ยวเถียนที่ตาพร่ามองอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง เธออดไม่ได้ที่จะกลอกตา

ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงสนามบินไม่ใช่หรือไง ทำไมรีบมาจัง?

“ผู้อำนวยการหลี่ว์ ทำไมคุณมาไวจังคะ? กลัวหนูได้เงินน้อยหรือคะถึงได้รีบมาเนี่ย?” เสี่ยวเถียนเย้าแหย่

หลี่ว์หรูหยาหัวเราะอย่างเคือง ๆ

ปากเก่งจังนะ

“ให้เยอะไม่ดีหรือไง? แค่เธอออกจากบ้านก็นับเป็นเงินแล้ว” หลี่ว์หรูหยาบ่น

ไม่ใช่แค่ปากดีนะ แต่ยังฉลาดด้วย

งานนี้ไม่ได้คิดแค่ตอนที่เธอทำหน้าที่นะ แต่คิดตั้งแต่เธอออกจากบ้านเลย

ต้องบอกว่าเด็กคนนี้ทำงานแค่สามวันก็ได้เงินหลายร้อยหยวนแล้ว

ได้เงินดีจริง ๆ เลย!

มีหรือที่เสี่ยวเถียนจะมองหลุมในใจอีกฝ่ายไม่ออก เธอหัวเราะคิกคัก

“ผู้อำนวยการหลี่ว์ อันที่จริงมันมีวิธีประหยัดเงินง่าย ๆ ด้วยนะคะ”

เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างสงบ

หลี่ว์หรูหยาเริ่มสนใจ “วิธีอะไรหรือ!”

“จ้างล่ามเฉพาะทางมาไว้ที่โรงงานไงคะ แล้วก็ให้เป็นเงินเดือนก็พอแล้ว!”

หลี่ว์หรูหยามอง คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอวอยู่แล้ว*[1]

พรสวรรค์ที่เรียนศัพท์เฉพาะด้วยตัวเองยังเรียกว่าพรสวรรค์ได้อีกหรือ?

โรงงานเราเปิดมาตั้งนานเพิ่งจะมีล่ามแค่คนเดียว ขนาดคนเดียวยังเสียเงินไม่น้อยเลย

ถ้ามีอีกหลายคนไม่ตายเอาหรือไง?

หลี่ว์หรูหยาไม่อยากคุยต่อแล้ว

แทบเป็นไปไม่ได้สักนิด!

“เสี่ยวเถียน รีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ไปสายไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนะ”

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันยังเร็วไปหน่อย แต่นายจ้างคิดว่าสายแล้ว งั้นก็สายแล้วกัน!

เพราะแค่ออกจากบ้านก็ได้เงินแล้ว ทำไมจะไม่ยินดีกันล่ะ?

เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เธอถือโอกาสหวีผมและแต่งหน้าทาปากด้วย!

ยามที่ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่ว์หรูหยาอีกครั้ง คราวนี้ต่างไปจากคนก่อนหน้ามาก

เสี่ยวเถียนสูงเกือบหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร เธอติดกิ๊บกับช่อผมหนึ่งช่อแล้วปล่อยผมสีดำสลวยเอาไว้ วันนี้เธอใส่ชุดกระโปรงตัวยาวสีน้ำเงิน ทับด้วยเสื้อกันลมสีเบจ และสวมรองเท้าหนังสีดำมันวาว

พื้นฐานเธอหน้าตาดีอยู่แล้ว แค่แต่งตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดูต่างไปจากกลิ่นอายความเป็นนักเรียนโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยผู้เอาแต่ใจ

คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเธอเป็นเด็กสาวจากตระกูลเศรษฐีคนหนึ่ง

และการแต่งตัวในครั้งนี้ทำรองผู้อำนวยการที่ใส่เสื้อจงซานชวน*[2] ข้าง ๆ ดูขี้ริ้วขี้เหร่มาก อันที่จริงเขาก็ดูสกปรกจริง ๆ นั่นแหละ

หลี่ว์หรูหยาจ้องมองเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่ง “เสี่ยวเถียน ทำไมวันนี้ดูเปลี่ยนไปล่ะ?”

แตกต่างอย่างบอกไม่ถูก!

เธอยิ้ม “เราเรียกว่าความเป็นมืออาชีพไงคะ พวกคุณอาจจะคิดว่าหนูขอราคาสูง แต่คงไม่คิดว่าเพื่อที่จะทำงานให้พวกคุณ หนูตั้งใจไปซื้อชุดใหม่เป็นพิเศษเลยนะ ไม่ได้ขอค่าสวัสดิการเสื้อผ้าจากคุณเลยด้วย”

ท่าทางเหมือนทำให้เขารู้สึกว่าตนลำบากมาก!

สวัสดิการเสื้อผ้า?

รองผู้อำนวยการหลี่ว์ถามตัวเอง ทำไมไม่เคยได้ยินเลยว่ามันมีค่าสวัสดิการเสื้อผ้าด้วย?

แต่เขาฉลาดแล้ว ไม่รู้ก็ไม่รู้ อย่าถามก็พอ ถ้าถามอาจจะโง่ก็ได้ เดี๋ยวต้องชดใช้ให้อีก!

เสี่ยวเถียนผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่ตกหลุมพราง แต่จะบีบปากเขาก็ไม่ได้

“เสี่ยวเถียนกินข้าวก่อนเถอะ แล้วค่อยไป!” เสี่ยวเหมยเอาซาลาเปานึ่งออกมาให้เสี่ยวเถียน

“รองผู้อำนวยการหลี่ว์กินข้าวหรือยังคะ?” เสี่ยวเถียนถามด้วยความสุภาพ

*[1] หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ

*[2] เสื้อแบบ ดร. ซุนยัดเซ็น เป็นชุดที่เรียกตามชื่อของซุนยัดเซ็น ตัวชุดจะเป็นเสื้อที่คล้ายกับชุดราชปะแตนของไทย ต่างกันตรงที่มีกระเป๋าสี่ใบ และชุดนี้ก็กลายเป็นชุดประจำชาติของทางการจีนไปแล้ว ยิ่งในยุคเหมาเจ๋อตุงจะใส่ชุดนี้เท่านั้น และชุดต้องมีสีเขียวขี้ม้าด้วย ปัจจุบันก็ยังถือเป็นชุดทางการของจีนอยู่ จะใส่ออกงานสำหรับข้าราชการทั่วไป รวมไปถึงคนที่เป็นผู้นำด้วย