บทที่ 466 โจวฝานเข้าสำนักซ่อนเร้น หานตั้วเทียน

หานเจวี๋ยลดมือลง อดทนรอคอยให้ศิลาพลัดสวรรค์ดูดซับความทรงจำด้านภาษาของหานเจวี๋ย

ผ่านไปพักใหญ่

ศิลาพลัดสวรรค์พลันร้องด่า “มารดาเจ้าสิ!”

หานเจวี๋ยตะลึงงัน

คำนี้มีเขาคนเดียวที่เป็นคนพูด ที่โลกนี้ ไม่มีแม่เจ้าสิ มีแค่มารดาเจ้าสิ

เขาไม่รู้สึกโกรธ กลับขบขันเสียด้วยซ้ำ

มิเสียทีที่เป็นดวงจิตฟ้าประทาน ความสามารถในการหลอมรวมช่างแข็งแกร่งนัก

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโกรธมากหรือ”

ศิลาพลัดสวรรค์ย้อนถาม “หากเป็นเจ้า เจ้าจะไม่รู้สึกโกรธหรือ”

“เช่นนั้นข้าสังหารเจ้าได้หรือไม่”

หลังจากศิลาพลัดสวรรค์ได้รับการชี้แนะจากหานเจวี๋ยจึงทราบว่าความตายคือสิ่งใด มันตกใจจนร่างหินสั่นสะท้าน

มันกล่าวด้วยความขุ่นข้องใจ “ข้าไม่ได้ไปหาเรื่องเจ้าสักหน่อย!”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าซ่อนตัวทำไม”

“จู่ๆ เจ้าก็โผล่มา ข้าไม่ซ่อนได้หรือ หากเป็นเจ้า เจ้าจะไม่ซ่อนหรือ”

“ลองดูไหมเล่า”

“เจ้า…ข่มเหงผู้คนเกินไปแล้ว!”

“เจ้าใช่คนหรือไร”

ศิลาพลัดสวรรค์โมโหจนอยากร้องไห้ หากมิใช่เพราะมันเป็นก้อนหิน คงร้องไห้หลายเป็นมนุษย์น้ำตาไปนานแล้ว

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “นับจากนี้ก็เข้าสำนักซ่อนเร้นของข้าเถอะ ข้าจะจัดหาอาจารย์ให้เจ้าสักคน”

ศิลาพลัดสวรรค์ตกตะลึงไป

มันดีใจแทบบ้าแล้ว รีบเอ่ยขอบคุณทันที

“เจ้าดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินต่อไปเถอะ พื้นที่แถบนี้ไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน” หานเจวี๋ยกล่าวประโยคนี้จบก็จากไปทันที

ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องรับศิษย์ด้วยตัวเอง

….

ผ่านไประยะหนึ่ง เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นต่างก็ค่อยๆ ทยอยกันกลับมา

เวลาผ่านพ้นไปราวๆ สองร้อยปี บรรดาศิษย์ถึงกลับมากันครบถ้วน

โจวฝานเองก็ตามกลับมาด้วย

สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยไม่รู้สึกแปลกใจเลย ก่อนหน้านี้จ้าวเซวียนหยวนเคยติดต่อมาผ่านทางอาณาเขตฟ้าบุพกาลมาก่อน ซึ่งยามที่สอบถามมานั้นโจวฝานไม่ได้เข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาลด้วย

หลังจากเข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรี โจวฝานมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นเต้นระคนแปลกใจ

มู่หรงฉี่เห็นเขาแล้วรู้สึกตกใจยิ่งนัก พลางถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

โจวฝานพินิจดูมู่หรงฉี่ ลอบตกใจกับตัวเอง

คนผู้นี้ก็เป็นจักรพรรดิเซียนแล้ว!

ในความทรงจำของเขา มู่หรงฉี่คือศิษย์น้องของเขาในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

“มาเยี่ยมอาจารย์ปู่ของเจ้า” โจวฝานตอบ

การมาถึงของโจวฝานดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ทุกคนต่างพากันมองมาที่เขา

โจวฝานลอบตื่นตระหนกกับตัวเอง

เพราะเขามองระดับของหลี่ว์ปู้และหม่าเชาไม่ออก ซ้ำเขายังเห็นเจียงอี้อีกด้วย

เขาเคยพบเจียงอี้มาก่อน ยามนั้นเจียงอี้ทระนงองอาจ เป็นบุตรแห่งสวรรค์ชื่อเสียงเลื่องลือของแดนเซียน ไม่คิดเลยว่าจะเข้าสู่สำนักซ่อนเร้นด้วย

เมื่อโจวฝานสังเกตเห็นเผ่าเอกา ก็ยิ่งตื่นตะลึง

ผู้อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นระดับเซียนทองไท่อี่ มีคนส่วนน้อยที่บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว

เป็นไปได้อย่างไร!

สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ

จนกระทั่งโจวฝานถูกพามาถึงหน้าอารามเต๋าของหานเจวี๋ย เขาถึงได้สติกลับมา

“เจ้าเข้าไปคนเดียวเถอะ” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวประโยคนี้พลางหันหลังจากไป เขาต้องเร่งฝึกบำเพ็ญต่อ

โจวฝานสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เดินเข้าไปในอารามเต๋าอย่างระมัดระวัง

แสงเทวาเจิดจ้าสายหนึ่งทำให้เขาต้องหรี่ตาลง เขามองเห็นหานเจวี๋ยแล้ว

หานเจวี๋ยนั่งสมาธิอยู่บนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร หยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราลอยอยู่ด้านหลัง ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงโคจรอยู่ด้านหลังเขา แผ่แสงเจิดจ้าพร่างพราว

จิตใจโจวฝานปั่นป่วนผัวผวนอย่างบ้าคลั่ง

เขามีตบะระดับปฐมเทพขั้นสองแล้ว ทว่ากลับไม่สามารถมองทะลุไปถึงใบหน้าที่แท้จริงของหานเจวี๋ยได้

แข็งแกร่งกว่าผู้ทรงพลังเลิศล้ำเหล่านั้นเสียอีก!

โจวฝานพลันนึกไปถึงอริยะ

คราแรกที่เขาพบพานอริยะ ก็ไม่สามารถมองทะลุไปถึงใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เช่นกัน

หานเจวี๋ยเปิดปากถาม “อะไรกัน จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”

โจวฝานยิ้มขื่นๆ รู้สึกได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง

เขารู้สึกว่าความมานะบากบั่นหลายพันปีของตนเมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยก็เป็นเพียงเรื่องน่าขันอย่างหนึ่ง

ดูเอาเถิด หานเจวี๋ยปิดด่านบำเพ็ญมาโดยตลอด ความห่างชั้นระหว่างตบะของคนทั้งสองยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

โจวฝานฝืนยิ้มพลางกล่าวไปว่า “หานเจวี๋ย ยามนี้เจ้าเก่งกาจโดยแท้ ใกล้จะพิสูจน์มรรคแล้วกระมัง”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ที่ไหนกัน ยังเร็วไป เจ้ามาหาข้าเพราะอยากเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นของข้าใช่หรือไม่”

“ได้หรือ เจ้าจะรับข้าเป็นศิษย์หรือไม่”

“ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่นับจากนี้ไปเจ้าออกไปยุ่มย่ามด้านนอกให้น้อยลงหน่อยเถอะ”

“ในมุมมองของเจ้า ข้าเป็นตัวยุ่มย่ามเช่นนั้นหรือ คุณสมบัติระหว่างเจ้ากับข้าห่างชั้นกันเกินไป ข้าทำได้เพียงสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย…เฮ้อ!”

โจวฝานจมจ่อมอยู่ในสภาวะเศร้าซึม

แสงเทวาบนร่างหานเจวี๋ยเจิดจ้าขึ้น น้ำเสียงลึกล้ำยากจะคาดเดา “เจ้ามีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลแล้ว ไม่ใช่ตัวเจ้าคนเดิมอีกต่อไป ไยจึงไม่เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นของข้า แยกตัวจากโลกเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเล่า”

เจ้าหนุ่มโจวฝานคนนี้มีอนาคตสดใสไร้สิ้นสุด หากกลับตัวจากความหลงงมงายได้ ภายหน้าต้องเป็นกำลังต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของสำนักซ่อนเร้นอย่างแน่นอน

เมื่อโจวฝานได้ฟังก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

….

หลายวันผ่านไป โจวฝานเดินออกมาจากอารามเต๋าของหานเจวี๋ย เขาเงยหน้ามองนภาสีคราม ใบหน้ามีรอยยิ้มสดใสที่ไม่ปรากฏมาเนิ่นนานนัก

ไก่คุกรัตติกาลโฉบเข้ามาตะโกนทักทาย “เจ้าหนุ่มเหม็นเน่า จะไปอีกแล้วหรือ”

มันจำโจวฝานได้ เมื่อแปดพันกว่าปีก่อนก็เคยมาเยี่ยมหานเจวี๋ย

โจวฝานก็จำไก่คุกรัตติกาลได้เช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไปแล้ว นับจากนี้ข้าคือศิษย์ลำดับที่แปดในรุ่นที่สองของสำนักซ่อนเร้น ปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพด้วยล่ะ”

“เฮอะๆ ขนาดจ้าวเซวียนหยวนข้ายังไม่เคารพเลย เจ้านับเป็นอันใดกัน”

“เชื่อหรือไม่ว่าข้าทุบเจ้าได้!”

“ถ้าเจ้ามีฝีมือก็ไปที่แบบจำลองการทดสอบสิ รอจนเจ้าไร้พ่ายในสำนักซ่อนเร้นแล้วถึงจะมีสิทธิ์มาประลองกับข้า”

“หึ ข้าสนใจสิ่งนี้อยู่พอดี”

โจวฝานกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง หานเจวี๋ยดึงเขาเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ ซึ่งเขาคิดอยากจะทดลองอยู่พอดี

หลังจากบอกลาไก่คุกรัตติกาล โจวฝานก็เสาะหาพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งก่อสร้างอารามเต๋า จากนั้นก็เริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ

คนแรกที่เขาเลือกท้าทายก็คือหานเจวี๋ย!

ถูกสังหารทันที!

โจวฝานตกตะลึง

“เป็นไปได้อย่างไร”

โจวฝานกัดฟัน รู้สึกไม่อยากเชื่อ ท้าประลองหานเจวี๋ยอีกครั้ง

หลังจากท้าประลองอยู่หลายร้อยครั้ง โจวฝานก็สิ้นหวังแล้ว

เขาลดระดับลงมา เริ่มท้าประลองศิษย์คนอื่นๆ

เลือกท้าประลองไก่คุกรัตติกาลก่อน

มารดามันเถอะ!

ไอ้ไก่สุนัขตัวนี้อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง

อาศัยสิ่งใดมาทำตัวกร่างเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้ โจวฝานจึงหมกมุ่นอยู่ในแบบจำลองการทดสอบอย่างไม่อาจถอนตัว

อีกด้านหนึ่ง

โจวหมิงเยวี่ยไปหาศิลาพลัดสวรรค์ ยกมันขึ้นมา

“นี่ๆๆ เจ้าจะทำอะไร” ศิลาพลัดสวรรค์โวยวาย

โจวหมิงเยวี่ยแค่นเสียง “อาจารย์ปู่ทวดให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ จากนี้ไปเจ้าก็คือศิษย์ของข้า อาจารย์มีนามว่าโจวหมิงเยวี่ย!”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาจารย์ปู่ทวดของท่านมีนามว่าอะไร”

“หานเจวี๋ย แต่เจ้าจะขานชื่อเขาตรงๆ ไม่ได้”

“หาน…เจวี๋ย…ต่อไปนี้ข้าก็จะชื่อหานตั้วเทียน!”

“หวา ก้อนหินอย่างเจ้ารู้จักหาที่พึ่งยิ่งนัก นามนี้นับว่าไม่เลวเลย”

โจวหมิงเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ สำหรับชื่อนี้ เขาไม่มีความเห็นต่าง กลับรู้สึกพอใจอย่างยิ่งเสียด้วยซ้ำ

อย่าว่าแต่ศิลาพลัดสวรรค์เลย ตัวเขาก็อยากเปลี่ยนเป็นแซ่หานเช่นกัน เพียงแต่หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากหานเจวี๋ย ก็ละอายใจที่จะเปลี่ยนโดยพลการ อีกทั้งฉู่ซื่อเหรินอาจารย์ของเขาก็คงไม่อนุญาตเช่นกัน

ศิษย์รุ่นที่ห้าของสำนักซ่อนเร้นปรากฏตัวขึ้นแล้ว ดวงจิตฟ้าประทาน หานตั้วเทียน!

….

ยี่สิบปีผ่านไป

เจียงอี้มาขอเข้าพบหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยให้เขาเข้ามาในถ้ำ

และเป็นเช่นเดียวกับโจวฝาน เขาถูกแสงอันเจิดจ้าของหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราส่องจนตาพร่ามัว

เขาคุกเข่าคารวะตรงหน้าหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “เจ้าสำนัก จนถึงที่สุดแล้วข้าก็ยังฝ่าทะลวงระดับเทพไม่ได้ โปรดชี้แนะข้าสักนิดได้หรือไม่”

นี่มันแสงอะไรกัน!

น่าเกรงขามนัก!

เจียงอี้ตัดสินใจกับตัวเองแล้ว กลับไปเขาก็จะทำให้ได้แบบนี้เช่นกัน

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะแสดงธรรมแก่เจ้า”

เจียงอี้รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา จากนั้นก็รีบเอ่ยขอบคุณ

หานเจวี๋ยเริ่มแสดงธรรม

ด้วยคุณสมบัติของเจียงอี้การจะทะลวงระดับเทพนั้นมิใช่เรื่องยาก เดิมทีเขาก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเผ่าเทพอีกาทองอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดผู้ชี้แนะเท่านั้น

ว่ากันตามจริง โจวฝานกลับเหนือกว่าเจียงอี้ เขาบรรลุระดับเทพได้ก่อน ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา

บางครั้ง การเดินทางก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เว้นแต่เจียงอี้จะมีคุณสมบัติไม่เป็นสองรองใครเช่นเดียวกับหานเจวี๋ย มิเช่นนั้นหากพึ่งพาเพียงการฝึกฝนบำเพ็ญ ยังคงไม่อาจนำไปเทียบกับโจวฝานได้จริงๆ

…………………………………………………