ตอนที่ 136 หายดี (ต้น)
ภายในสวนยามดึกสงัด
จีหมิงซิวนั่งอ่านฎีกานิ่งๆ อยู่ในห้องหนังสือ สีหน้าติดจะเรียบเฉย
หากพิจมองให้ดีก็จะพบว่าท่ามกลางฎีกาที่กองเป็นภูเขา มีแถบกระดาษน้อยลายมือไก่เขี่ยหลายแผ่นวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แผ่นที่อยู่บนสุดเขียนไว้ว่า ‘ทำไม’
หึ
ทำไมน่ะหรือ
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดียิ้มหยัน แววตาคมปลาบดุจคมดาบ อยากฉีกฏีกาตรงหน้ารวมไปถึงโต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่งทั้งหมดให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ลี่ว์จูยกน้ำแกงถ้วยหนึ่งเดินมาถึงห้องหนังสือ แต่ถูกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ยืนอยู่ตรงทางเดินห้ามไว้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำท่ามือให้เงียบเสียง เจ้าหมอนั่นกำลังโมโหอยู่ เจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปเดี๋ยวก็เอาตัวไปรับคมหอกเข้าหรอก
แต่เย็นนี้นายท่านยังไม่ได้ทานอาหารเลยนะ
หิวมื้อเดียวไม่เป็นอันใดเสียหน่อย
แต่…
ไม่ต้องแต่แล้ว เชื่อลุงเยี่ยน กลับไป
ลี่ว์จูไม่ขยับ
ตอนที่ลี่ว์จูลังเลว่าจะเสี่ยงถูกด่าบุกเข้าไปกล่อมให้นายท่านทานอาหารดีหรือไม่ คนที่จะเข้าไปประจันหน้ากับคมหอกแทนนางก็มาถึง
อากุ้ยก้าวพรวดเข้ามาในเรือนสี่ประสาน ถึงอย่างไรเขาก็เกิดในตระกูลขุนนาง ยามเผชิญกับปัญหาจึงเยือกเย็นกว่าคนธรรมดาอยู่สามส่วน ชีเหนียงกับป้าหลัวร้อนใจจนเป็นตะแกรงร่อนแล้ว แต่เขายังคงสงบนิ่งได้ดั่งขุนเขา แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่ตัวเขาเองไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งกับเฉียวเวยด้วย
“โอ๊ะ หมอนี่…ลูกน้องของฮูหยินนี่” นามว่าอะไรนะ ลืมเสียแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มตาหยีทักทาย รอยยิ้มนั้นมองอย่างไรก็มีเจตนาไม่ดีแฝงอยู่
ครั้งนั้นที่จิ่งอวิ๋นตกน้ำ อากุ้ยกับชีเหนียงพักอยู่ที่เรือนสี่ประสานหลายวัน คืนวันแรกเขาเคยพบหน้าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วจึงนับได้ว่ารู้จัก อากุ้ยจำได้ว่าฮูหยินเรียกเขาว่าลุงเยี่ยน อากุ้ยประสานหมัดทักทาย “ท่านเยี่ยน”
ท่าน ครั้งแรกที่มีคนเรียกเขาว่าท่าน!
ผู้อื่นเคารพข้าเช่นนี้ ข้ากลับคิดจะเล่นงานเขา ข้าช่างหน้าไม่อายนักจริงๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอม “เจ้ามาเองหรือ ฮูหยินเล่า”
“ฮูหยินนาง…”
ไม่รอให้อากุ้ยพูดจบ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กล่าวต่อว่า “มาหาคุณชายบ้านข้าใช่หรือไม่ เขาอยู่นะ เข้าไปเถิด”
ลี่ว์จูเบิกตาโต
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งสายตาให้นาง “รีบไปสิ”
“ขอบคุณมาก” อากุ้ยก้มหน้าก้มตาจะเดินเข้าไปด้านใน แต่แล้วก็หมุนตัวเดินออกไปอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยที่สะลึมสะลือใกล้หลับสองคนลงมาจากรถม้า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองตาค้าง
ลี่ว์จูก้าวเข้าไปหาอย่างตกตะลึง “จิ่งอวิ๋น? วั่งซู? พวกเจ้าก็มาด้วยหรือ”
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ แต่จนปัญญาที่หนังตาหนักเกินไป ยังไม่ทันมองเห็นชัดก็หนักอึ้งจนต้องปิดลงไปอีกหน
นี่จะโทษพวกเขาขี้เซาก็ไม่ได้ เมื่อคืนวานไม่ได้นอนข้างกายเฉียวเวย รู้สึกไม่คุ้นชินจริงๆ เดิมทีจึงนอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว วันนี้ยังโคลงเคลงอยู่บนรถม้าตลอดทั้งวัน ไม่ง่วงสิถึงแปลก
ต้องขอบอกว่าเจ้าตัวจ้อยสองคนนี้ซ่อนตัวเก่งนักจริงๆ จนกระทั่งเข้ามาในตัวเมืองแล้วอากุ้ยกับหลัวหย่งจื้อก็ไม่ทันสังเกตว่าในตะกร้ามีคนซ่อนอยู่ พวกเขาเพียงประหลาดใจเล็กน้อยว่าเจ้าลาที่ปกติก้าวเท้ารวดเร็วราวกับบิน วันนี้เหตุไฉนจึงก้าวเท้าไม่ค่อยออก
ลาวิ่งระยะไกลไม่ค่อยเก่งนัก เพื่อประหยัดเวลา หลังจากมาถึงตัวเมืองแล้ว อากุ้ยจึงตัดสินใจไปเช่ารถม้าคันหนึ่งจากร้านเช่ารถม้า เมื่อถึงตอนที่ต้องเปลี่ยนรถ เจ้าตัวน้อยสองคนก็เตรียมตัวจะทำตามวิธีเดิม แต่น่าเสียดายบนรถม้าไม่มีตะกร้า ทั้งสองคนจึงหลบอยู่ใต้เก้าอี้ยาว มองปราดเดียวก็ถูกพบเข้า
ตอนนั้นหลัวหย่งจื้อขับรถเทียมลาจากไปไกลแล้ว จะเรียกหลัวหย่งจื้อกลับมาก็ไม่ค่อยเป็นไปได้ จะปล่อยเด็กไว้ที่หรงจี้ก็ไม่วางใจนัก อากุ้ยไร้ทางเลือกจึงต้องพาเด็กน้อยสองคนมาเมืองหลวงด้วย
ก่อนออกจากตัวเมืองเขาฝากคนของร้านเช่ารถให้ขึ้นเขาไปส่งจดหมายให้
มิเช่นนั้นหากเด็กน้อยผู้เป็นแก้วตาดวงใจทั้งสองหายไป สตรีที่อยู่บนเขานางนั้นต่อให้ป่วยก็คงกระโดดลงมาจากเตียง
“ผู้ใด” จีหมิงซิวเดินออกมาจากห้องหนังสือ
อากุ้ยเห็นหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขา ในใจก็คิดว่าตนเดาไม่ผิดจริงๆ เขาก็คือบุรุษที่ทำรุ่มร่ามอยู่กับฮูหยินในห้องคืนนั้น
เจ้าหมอนี้ซัดเขาไปหนึ่งฝ่ามือ ตอนนี้อากุ้ยนึกขึ้นมาก็ยังเจ็บอยู่เลือนราง
จีหมิงซิวกวาดสายตามองอากุ้ยอย่างเฉยชา อุ้มลูกของเขาอยู่หรือ หึ!
ลี่ว์จูยิ้มอย่างยินดี “นายท่าน จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเจ้าค่ะ!”
คิ้วเรียวของจีหมิงซิวขยับเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงเย็นยะเยือกเหมือนเก่า เขาก้าวเข้ามาอุ้มเจ้าซาลาเปาทั้งสองคนไปไว้ในอ้อมแขน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองหาวหวอดอยู่ในอ้อมแขนคนละข้าง พิงอ้อมอกเขาอย่างเกียจคร้าน ในที่สุดแววตาเย็นยะเยือกถึงกระดูกในดวงตาของเขาจึงลดน้อยลง “เจ้าพาพวกเขาเข้าเมืองหลวงมา แล้วสตรีนางนั้นเล่า”
สตรี…นางนั้น
คำเรียกขานนี้เหตุไฉนฟังดูแปลกพิกล
ทุกคนมองหน้ากัน
อากุ้ยตอบว่า “ฮูหยินล้มป่วย ครั้งนี้ข้าเข้าเมืองหลวงมาเพราะอยากจะถามคุณชายว่ามีสมุนไพรที่ฮูหยินของเราจำเป็นต้องใช้หรือไม่”
สีหน้าถมึงทึงของจีหมิงซิวคลายลงเล็กน้อย ในเมื่อล้มป่วยก็มีเหตุผลให้อภัยได้ “ป่วยเป็นอะไร”
อากุ้ยตอบ “อีกสุกอีใส ล้มป่วยคืนวันที่แปด”
“วันที่เจ็ดเล่า” จีหมิงซิวถาม
“คืนวันที่เจ็ด” ตอนนี้ถามถึงวันที่เจ็ดทำอะไร อากุ้นงุนงงแต่ก็ยังตอบอย่างจริงจัง “คืนวันที่เจ็ดไม่เป็นอันใด วันที่แปดตอนกลางวันก็ยังไม่มีปัญหา แต่พอตกกลางคืนมีตุ่มขึ้น เมื่อวานตอนเช้าเพิ่งพบ หลังจากนั้นล้มเจ็บหนักรักษาไม่หาย”
จีหมิงซิว “เหอะ”
เป็นเพียงเสียงแผ่วเบาคำหนึ่ง แต่ขนอ่อนของอากุ้ยลุกชัน
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “มาหาข้าเอาสมุนไพรเท่านั้น ไม่มีคำพูดอื่นฝากมาให้ข้าหรือ”
เอ่อ…
เขาต้องนำถ้อยคำอะไรมาหรือ
อากุ้ยมองจีหมิงซิวอย่างฉงนงงงวย
จีหมิงซิวแววตาเย็นยะเยือก อุ้มลูกเข้าไปในเรือนตะวันออก
อากุ้ยไล่ตามมา
จีหมิงซิววางลูกลงบนฟูกอ่อนนุ่มบนเตียง พริบตาที่ศีระษะแตะหมอน จิ่งอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นอย่างระแวง เขามองจิ่งอวิ๋น “ข้าเอง”
จิ่งอวิ๋นหลับตาลงอีกหนแล้วหลับสนิทไป
วั่งซูหลับอย่างสบายอกสบายใจกว่า ร่างกายเล็กจ้อยขดอยู่ในอ้อมแขนของเขา หายใจแผ่วเบา เหมือนลูกแมวน้อยน่ารักแสนเชื่องตัวหนึ่ง
หัวใจของจีหมิงซิวมีความละมุนสายหนึ่งปัดผ่าน เขาลูบกระหม่อมของทั้งสองคน แววตาอ่อนโยนและรักใคร่
“คุณชาย”
เสียงของอากุ้ยเบียดแทรกเข้ามา “ฮูหยินของพวกเราล้มป่วยจริงๆ มิได้หลอกลวงคุณชาย นางไข้สูงยิ่งนักจนไม่มีสติรับรู้เรื่องราวแล้ว เชิญหมอมาหลายคนก็ยังรักษาไม่ได้ วันนี้มีหมอคนหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากที่ใด เขียนเทียบยาให้ เทียบยานั้นต้องใช้สมุนไพรตัวหนึ่งชื่อหญ้าหิ่งห้อยม่วง แต่หาบนเขาไม่มี ในตลาดก็ซื้อหาไม่ได้ จึงได้แต่มาขอร้องคุณชาย หมอบอกว่าหากไม่มีหญ้าหิ่งห้อยม่วง จะใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์แทนก็ได้”
“น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ช่างกล้าเรียกร้องจริงๆ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจิ๊ปาก หมอชนบทคนหนึ่งดันรู้จักของล้ำค่าเช่นนั้นเสียด้วย “คงไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ไว้เองหรอกกระมัง”
อากุ้ยตอบอย่างจริงจัง “เขาบอกว่าต้องใช้กับฮูหยิน”
จีหมิงซิวกล่าวขึ้นมาเสียงราบเรียบ “น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ไม่อาจใช้ผสมกับสมุนไพรอื่นได้ มิเช่นนั้นจะเป็นพิษ เขารู้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” อากุ้ยสะอึก
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “แล้วก็น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ข้าดื่มไปหมดแล้ว”
น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ของล้ำค่าเช่นนี้ จีอู๋ซวงย่อมมีอยู่เหมือนกัน แต่ขวดสุดท้ายใช้ไปตอนจีหมิงซิวหมดสติครั้งก่อนจนหมดแล้ว หากจะรอขวดต่อไป ก็ต้องรอวันที่ดอกบัวแห่งเขาเจิ้นซานเบ่งบานบนเขาหิมะ แล้วเก็บเกี่ยวหยดน้ำค้างบนเกสรมาปรุง ทว่านั่นต้องเป็นเรื่องของปีหน้า
อากุ้ยรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดใส่ ราดจนหัวใจเขาเย็นยะเยือก “ฮูหยิน…ไม่มีทางช่วยแล้วจริงหรือขอรับ”
จีหมิงซิวกวาดสายตามองเขาอย่างเฉยเมย แล้วเรียกลี่ว์จู “คอยดูไว้ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“เจ้าค่ะ” ลี่ว์จูเฝ้าอยู่หน้าเตียง
จีหมิงซิวลุกขึ้นจะเดินออกมา วั่งซูกลับกอดแขนเขาไว้ไม่ปล่อย
จีหมิงซิวลูบศีรษะน้อยของนาง แล้วแกะมือน้อยๆ ของนางออกทีละนิ้ว
มือน้อยของนางก็จับกลับมาทีละนิ้ว
จีหมิงซิวอดหัวเราะไม่ได้ เขาปล่อยให้นางกอดไว้ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงแขนออกมาแผ่วเบา มือของวั่งซูพยายามจะคว้าบางสิ่ง เขาจึงยัดเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมแขนของนาง
เสี่ยวไป๋กระโดดอย่างปราดเปรียวไปอยู่หลังร่างของจิ่งอวิ๋น จากนั้นยื่นขาเล็กๆ ออกมาถีบ
จิ่งอวิ๋นกลิ้งหลุนๆ เข้าไปใน ‘อ้อมกอด’ ของวั่งซู
วั่งซูกอดแขนของพี่ชาย แล้วนอนหลับใหลอย่างสบายอกสบายใจ
จีหมิงซิวลุกขึ้นเดินออกไปนอกประตู
อากุ้ยตกตะลึง “คุณชาย ท่านจะไม่สนใจฮูหยินของพวกเราจริงหรือขอรับ”
เสี่ยวไป๋ปีนขึ้นรถม้าของจีหมิงซิวอย่างว่องไว มันหย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามกับจีหมิงซิว ขาหน้าสองข้างยกไขว้กอดอก ถลึงตามองจีหมิงซิวตาไม่กะพริบ
หากไม่ไปหาสมุนไพร ท่านเพียงพอนตัวนี้จะขย้ำเจ้าให้ตาย!
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อย “สือชี เจ้าเคยกินเพียงพอนหิมะย่างหรือไม่ รสชาติดียิ่งกว่าเนื้อกระต่ายอีกนะ”
เสี่ยวไป๋พองขนทั้งตัว เผ่นแผล็วหลบเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย!
…
ในพระราชวัง แสงโคมไฟสว่างไสว ลึกเข้าไปหลังทางเดินลัดเลี้ยวซับซ้อนคือสวนอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้ดูไม่สะดุดตาสักนิด แต่สิ่งที่เก็บอยู่ที่นี่ล้วนเป็นของสะสมส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
ฝูกงกงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูสวน เคาะบานประตูเสียงดัง
ขันทีน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งเดินออกมา คำนับฝูกงกงก่อน จากนั้นก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ฝูกงกงนี่เอง ดึกป่านนี้ ฝ่าบาทยังจะให้ท่านมาหยิบของอีกหรือ”
ฝูกงกงถามว่า “เมื่อหลายวันก่อนข้าให้พวกเจ้าเก็บน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เอาไว้ ยังอยู่หรือไม่”
ขันทีน้อยยิ้มประจบ “ยังอยู่สิขอรับ! ของที่กงกงนำมาฝากด้วยตนเอง พวกบ่าวเฝ้าไม่วางตา ไม่ให้คนขโมยไปได้เด็ดขาด แล้วก็ไม่ให้มดปลวกมากัดแทะด้วย”
บนใบหน้าของฝูกงกงปรากฏสีหน้าสูงส่งของผู้ที่อยู่เหนือกว่า “ของสิ่งใด ‘กัดแทะ’ ได้ ของสิ่งใด ‘กัดแทะ’ ไม่ได้ พวกเจ้าคงรู้อยู่นะ”
ขันทีน้อยรีบตอบ “รู้อยู่ขอรับๆ!”
ฝูกงกงส่งเสียงอืมคำหนึ่งอย่างพึงพอใจพอสมควร “พาข้าไปหยิบ”
ขันทีน้อยผายมือ “เชิญกงกง!”
ฝูกงกงเข้ามาในสวน สวนแห่งนี้ภายนอกดูธรรมดา ทั้งยังไม่มีองครักษ์คอยเฝ้า แต่ภายในมีกลไกซับซ้อนหลายชั้น หากมีคน ‘ไม่ระวัง’ ทะเล่อทะล่าเข้ามาก็มีแต่จะตายสถานเดียว
…
รถม้าจอดลงฝั่งตะวันตกของพระราชวัง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองกำแพงวังตระง่านง้ำแล้วขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา นับตั้งแต่ทราบว่าทูตจากเผ่าซยงหนีว์จะมา ฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งให้เสริมการป้องกันกำแพงวังอีกหนึ่งชั้น ให้ทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างเข้มงวด มีทหารนายหนึ่งทุกสิบเมตร มีป้อมทุกหนึ่งร้อยเมตร การผลัดเปลี่ยนกะไม่มีช่องโหว่แม้สักนิด
อยากทะยานข้ามกำแพงไปอย่างเงียบเชียบ ไม่น่าจะเป็นไปได้นัก ทำได้แต่หาหนทางอื่น ตัวอย่างเช่น…
ช่องสุนัขลอด…ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานปีช่องนี้
ในชีวิตนี้ได้เห็นเจ้าคนหยิ่งยโสโอหังคนนี้มุดช่องสุนัขลอดสักครั้งหนึ่ง ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองจีหมิงซิวอย่างสบายใจเฉิบ ใบหน้ายิ้มกริ่มน่าโดนซ้อม “พวกเราสามคน ผู้ใดจะคอยดูต้นทางข้างนอก”
ผู้ใดดูต้นทางก็ได้แต่ต้องไม่ใช่จีหมิงซิวดูต้นทาง เพราะอย่างไรเสียคนที่รู้จักน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ก็มีเพียงจีหมิงซิวคนเดียว คนที่ดูออกว่าจริงหรือปลอมก็มีเพียงจีหมิงซิวคนเดียว หากสือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าไปแล้วหยิบยาผิดขวดกลับมา ถ้าเช่นนั้นก็เดินทางเสียเที่ยวแล้ว
ดังนั้นช่องสุนัขลอดนี้ จีหมิงซิวต้องมุดอย่างแน่นอน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะจนตัวสั่น
จีหมิงซิวกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยกับสือชีว่า “รื้อก้อนอิฐออก”
สือชีหมุนตัวกลับไปดึงก้อนอิฐออกมาทีละก้อน เขากำลังภายในล้ำเลิศ ดึงก้อนอิฐเหมือนดึงกระดาษ เพียงครู่เดียวช่องสุนัขลอดที่พอให้เด็กน้อยคนหนึ่งคลานผ่านก็กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่สูงสองเมตร
จีหมิงซิวสะบัดแขนเสื้อกว้างอย่างสง่างาม แล้วเชิดคาง เดินเข้าไปอย่างสบายๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ‘รูสุนัขลอดใหญ่ขึ้นก็ยังเป็นรูสุนัขลอด อัครมหาเสนาบดีมุดรูสุนัข! อัครมหาเสนาบดีมุดรูสุนัข! โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!’
เสี่ยวไป๋กระโดดลงจากอ้อมแขนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้ววิ่งฉิวตามเข้าไป
…
“ฝูกงกง เชิญด้านนี้” ขันทีน้อยนำฝูกงกงเข้าไปในสวนดอกไม้น้อยฝั่งขวาของสวน ด้านหลังของสวนดอกไม้มีสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ฝูกงกงพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าเก็บรักษาอย่างใส่ใจปานนี้เชียว”
ข้าเดินจนแข้งขาอ่อนหมดแล้ว!
ขันทีน้อยยิ้มกว้างตอบว่า “ของที่ผู้อื่นส่งมา ข้าก็วางไว้ในห้องเก็บสมบัติธรรมดา แต่ของที่กงกงมาส่งด้วยตนเอง ข้าล้วนเก็บไว้ในห้องใต้ดิน”
ระหว่างที่สนทนา คนทั้งสองก็เดินตัดสวนดอกไม้น้อยเข้ามาในสวนอีกแห่งหนึ่ง ใต้ต้นไห่ถังที่ผลิใบงามสะพรั่งต้นหนึ่ง มีโต๊ะศิลาวางไว้หนึ่งตัว
ขันทีน้อยตบโต๊ะศิลา
โต๊ะศิลาไม่ขยับ
ขันทีน้อยร้องเอ๋ออกมาคำหนึ่ง แล้วตบอีกหน
โต๊ะศิลายังนิ่งดังเดิม
ขันทีน้อยฉงนแล้ว “นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ข้างใต้โต๊ะศิลา สือชีวางมือหนึ่งไว้บนกลไก อีกมือหนึ่งกุมด้านกระบี่ สีหน้าเหี้ยมเกรียม!
จีหมิงซิวอาศัยแสงสว่างที่ส่องออกมาจากมุกราตรีบนกำแพง ตามหาน้ำค้างหยกเขาเหมันต์จนพบ เขาหยิบขวดเปล่าที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา เทน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เข้าไป จากนั้นนำของเหลวที่ผสมจากน้ำผึ้งกับน้ำค้างกุหลาบยามเช้าขวดหนึ่งเทเข้าไปในขวดของน้ำค้างหยกเขาเหมันต์
ตอนที่เทไปได้ครึ่งหนึ่ง สายตาของเขาก็กวาดไปเห็นชื่อที่เขียนอยู่บนป้าย…ยิ่นอ๋อง
ของสิ่งนี้ ยิ่นอ๋องเป็นคนถวาย
ยิ่นอ๋องช่างทุ่มเทเพื่อประจบฮ่องเต้จริงๆ
แต่น่าเสียดาย ความลับข้อนี้ถูกข้าค้นพบเสียแล้ว
ดวงตาของจีหมิงซิวทอประกายร้ายกาจขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วคว้าเสี่ยวไป๋ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นเหลือบมองท้องของมัน
ในใจเสี่ยวไป๋ขนลุกซู่ เจ้าวิปริตผู้นี้คิดจะทำอันใด
จีหมิงซิวจับเสี่ยวไป๋วางตรงขวดของน้ำค้างหยก “ฉี่สิ”
เสี่ยวไป๋ “…”
…
ขันทีน้อยหาประแจมาแล้วเสียแรงอีกมากมายจนในที่สุดก็เปิดกลไกได้ เขาหากล่องบุไหมของยิ่นอ๋องจากตู้แถวที่สามพบอย่างแม่นยำ แล้วเปิดกล่องออก หยิบขวดยาหยกด้านในออกมา “ฝูกงกง นี่คือน้ำค้างหยกเขาเหมันต์”
ฝูกงกงนำน้ำค้างหยกเขาเหมันต์กลับไปยังตำหนักที่พำนักชั่วคราวขององค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์
ฮ่องเต้กับองค์ชายทั้งหลายล้วนอยู่ด้วย
หมอหลวงทั้งหลายต่างเฝ้าอยู่ในห้องอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา
ไม่แปลกที่พวกเขาจะกังวลเช่นนี้ เพราะสภาพขององค์ชายรองเหมือนจะขาดใจตายได้ตลอดเวลาจริงๆ
“ฝ่าบาท นำน้ำค้างหยกเขาเหมันต์มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงถวายน้ำค้างหยกเขาเหมันต์แด่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้เหลือบมองหัวหน้าสำนักหมอหลวง “ให้ใต้เท้าเหลียงดู”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงส่งน้ำค้างหยกเขาเหมันต์มาให้ใต้เท้าเหลียง
ของหายากเช่นน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ใต้เท้าเหลียงเคยเห็นแต่ในตำราแพทย์ ในตำราบันทึกไว้ว่า ‘สีใสออกเหลือง กลิ่นหอมจรุงใจ หวานปานน้ำเชื่อม มีรสอบอวลตามหลังเบาบาง’ แต่น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ขวดนี้เหตุใดจึงมีกลิ่นค่อนข้าง ค่อนข้าง…
“รองหัวหน้าสำนักเฉียว เจ้าดูหน่อยซิว่านี่เป็นยาที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่” โยนปัญหาให้เฉียวเย่ว์ซานเสียสิ้นเรื่อง
เฉียวเย่ว์ซานก็ไม่เคยดื่มน้ำค้างหยกเขาเหมันต์มาก่อน แต่ในเมื่อเป็นของที่ยิ่นอ๋องถวาย คิดว่าก็คงไม่ใช่ของปลอม เขาเทออกมาชิมครึ่งช้อน รสชาติก็คล้ายกับที่บันทึกไว้ในตำรา หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่ก็เหมือนน้ำค้างบุปผา แต่ก็มีรส…ประหลาดอยู่นิดๆ แต่โดยรวมแล้ว รสชาติไม่เลว!
เขาตอบว่า “ใช่น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ที่ข้าต้องการ รีบเทมันลงไปในยาที่ต้มเสร็จแล้ว ป้อนให้องค์ชายรอง วันพรุ่งนี้ก็จะเห็นผลแล้ว”
เขาเหมือนเห็นบรรดาศักดิ์โหวกับตำแหน่งหัวหน้าสำนักกวักมือเรียกเขาแล้ว ดีจริงๆ ดีจริงๆ!
…
“เฮ้อ อากุ้ยไปนานขนาดนี้ เหตุใดยังไม่กลับมาอีก” ป้าหลัวที่อยู่บนเขายืนอยู่ตรงประตูคฤหาสน์ชะเง้อคอมอง
ชีเหนียงก็ร้อนใจเช่นกัน แต่วันเวลาที่เติบโตขึ้นทำให้นางเรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอง นางปลอบว่า “ครั้งนี้เดินทางไปเมืองหลวง ไปกลับก็ร้อยลี้ ต่อให้อากุ้ยบินก็ไม่เร็วปานนี้”
ป้าหลัวลูบหน้าอกเอ่ยว่า “โธ่ คนที่ปกติไม่ป่วย พอป่วยขึ้นมาสักหนก็มักจะหนักหนากว่าผู้อื่น ข้ารู้ดี หลายปีก่อนร่างกายนางค่อนข้างอ่อนแอ สามวันดีสี่วันไข้ ตั้งแต่ปีกลายป่วยหนักไปหนหนึ่งก็เหมือนผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก ไม่เคยแม้แต่จาม ผู้ใดจะคิดว่าหนนี้จะติดโรคอีสุกอีใสได้”
“นั่นสิเจ้าคะ ร่างกายของฮูหยินดูแล้วแข็งแรงยิ่งนัก” ชีเหนียงว่าตาม
ป้าหลัวถอนหายใจ
ชีเหนียงกล่าวขึ้นว่า “ท่านไปพักสักประเดี๋ยวเถิด ข้าจะเฝ้าเอง”
“จะหลับลงได้เช่นไร เจ้าตัวน้อยสองคนก็ช่างทำให้คนเป็นห่วงนัก พวกเด็กๆ เวลาปกติว่าง่ายยิ่ง ไม่เอะอะ ไม่โวยวาย ไม่เกรี้ยวกราด ผู้ใหญ่พูดอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่เถียงสักนิด แต่เจ้าดูสิ ถึงเวลาสำคัญแล้วเป็นอย่างไร” ป้าหลัวฉุนเฉียว
ชีเหนียงยิ้มปลอบ “มีอากุ้ยดูอยู่ ไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์”
หมอพเนจรนั่งอยู่ในห้อง คอยเปลี่ยนผ้าเย็นบนหน้าผากของเฉียวเวย
เฉียวเวยล้มป่วย เสี่ยวไป๋ไม่อยู่ เจ้าลิงจูเอ๋อร์จึงกลายเป็นราชา มันนั่งยกขาไขว้ห้างบนโต๊ะ แกะเปลือกกล้วยอย่างลำพอง
“กลับ…กลับ…กลับมาแล้ว!” ปี้เอ๋อร์หายใจไม่ทันเพราะวิ่งขึ้นเขามา “ข้า…ข้า…ข้าปากทางเข้าหมู่บ้าน…เห็น…รถม้าแล้ว”
ดวงตาของชีเหนียงทอประกาย “อากุ้ยหรือ”
เสี่ยวเว่ยที่สัปหงกอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย “พี่อากุ้ยกลับมาแล้วหรือ”
ปี้เอ๋อร์หอบหายใจ “ดู…ดู…เหมือน…จะใช่…”
“ข้าจะไปรับยา!” เสี่ยวเว่ยลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว โยนเสื้อบนร่างที่มิรู้ว่าผู้ใดห่มให้เขาทิ้ง แล้วก้าวพรวดวิ่งลงเขาไป
รถม้าจอดหน้าหมู่บ้าน เสี่ยวเว่ยไม่มองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่บังคับรถอยู่สักนิด เขากระชากม่านเปิด “พี่อากุ้ย ใช่ท่านหรือไม่ ยาเล่า”
“ยาอยู่นี่” อากุ้ยที่นั่ง ‘รถเหาะ’ มาครึ่งชั่วยาม ใกล้จะอาเจียนแล้ว
เสี่ยวเว่ยคว้ายามา “ข้าไปก่อนนะ!”
กล่าวจบก็วิ่งขึ้นเขาราวกับมีสายลมอยู่ใต้เท้า ในฐานะหน่วยสอดแนมตัวกระจ้อยที่สืบเสาะหาข่าวเก่งกาจคนหนึ่ง ฝีเท้าของเสี่ยวเว่ยมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะตามทัน แทบจะในเวลาไม่กี่พริบตา เขาก็ถือยาพุ่งเข้ามาในห้องของจิ่งอวิ๋น “ท่านหมอๆ! ยามาแล้วขอรับ!”
หมอพเนจรเปิดจุกขวด ลองดมดู “ใช่ น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ ไม่ผิด”
“ช่วยฮูหยินของข้าได้แล้วใช่หรือไม่” เสี่ยวเว่ยถามอย่างคาดหวัง
หมอพเนจรพยักหน้า ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วออกมาจากในห้องครัวแล้วเทน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ลงไปหนึ่งช้อน จากนั้นจึงยกถ้วยยากลับไปในห้อง ป้อนเฉียวเวยทีละช้อน
“อากุ้ย เด็กๆ เล่า” ด้านนอก ชีเหนียงตั้งคำถาม
อากุ้ยตอบว่า “อยู่ที่เรือนสี่ประสาน คุณชายท่านนั้นบอกว่า ในเมื่อฮูหยินล้มป่วย ก็ฝากเด็กๆ ไว้ที่นั่นก่อนสักสองสามวัน รอฮูหยินหายดีแล้ว เขาค่อยส่งเด็กๆ กลับมา”
“เด็กๆ ไม่โวยวายหรือ” ชีเหนียงถามอย่างไม่วางใจ
อากุ้ยนึกถึงท่าทางสงบและสบายใจของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนยามอยู่ในอ้อมแขนของคนผู้นั้น แล้วส่ายหน้า “เหมือนจะรู้จักเขา”
แล้วก็ค่อนข้างชอบเขาเสียด้วย
ชีเหนียงถอนหายใจ “ทำเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว โรคอีสุกอีใสไม่แบ่งเด็กแบ่งผู้ใหญ่ เห็นฮูหยินล้มป่วยจนเป็นเช่นนี้ ใจข้าก็หวาดกลัว เด็กๆ ติดนางปานนั้น ทั้งวันร้องแต่จะเจอนาง ข้าล่ะกลัวจริงๆ ว่าวันไหนตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนจะป่วยไปด้วย”
“เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” อากุ้ยบอก
ชีเหนียงพยักหน้า “ข้าจะระวัง”
…
เฉียวเวยกินยาเข้าไป คืนวันนั้นก็เหงื่อออกมากมาย ผ้าปูเตียงกับผ้าห่มล้วนเปียกโชก ในที่สุดไข้สูงก็ลดลงแล้ว
เมื่อไข้สูงลดลง คนก็ไม่ทรมานมากปานนั้นแล้ว นางจึงนอนหลับสบายจนเต็มอิ่ม
ระหว่างที่หลับฝันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนลูบหน้าผากของนางเป็นระยะ
ความรู้สึกยามมีคนดูแลเป็นเช่นนี้เอง
หน้าผากของนางสัมผัสกับฝ่ามือของคนผู้นั้น นางพรูลมหายใจอย่างสบาย
มือของคนผู้นั้นชะงัก สายตาดั่งจับต้องได้เลื่อนมาจับบนตัวนาง ตุ่มบนตัวนางโผล่ออกมาได้ประมาณหนึ่งแล้วจึงคันคะเยอ นางเอื้อมมือจะไปเกา แต่ถูกฝ่ามือใหญ่ทรงพลังข้างหนึ่งจับไว้
เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่ม
ฝ่ามือใหญ่ถอดเสื้อผ้าของนาง การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างนุ่มนวล
ผิวขาวผ่องของนาง ไม่ว่าตรงไหนก็เผยความงามของวัยสาว แต่ตุ่มที่ผุดขึ้นทั่วตัวแลดูไม่น่ามองเท่าใดนัก
“ฮูหยิน ยามา…อุ้บ” ปี้เอ๋อร์ยกถ้วยยามา เพิ่งเดินมาถึงประตูก็ถูกชีเหนียงปิดปากไว้
ปี้เอ๋อร์มองชีเหนียงอย่างตกใจ ชีเหนียงทำท่าให้เงียบเสียงแล้วส่งสายตาเข้าไปด้านใน
ปี้เอ๋อร์มองตามแล้วเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา ในห้องของฮูหยินเหตุไฉนมีบุรุษคนหนึ่งอยู่ได้ มาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดนางไม่รู้
ชีเหนียงรับถ้วยยามาจากมือของปี้เอ๋อร์แล้ววางไว้บนม้านั่งข้างประตูอย่างแผ่วเบา จากนั้นปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์ไม่ต้องพูดมาก จากนั้นทั้งคู่ก็ถอยออกไป
จีหมิงซิวถอดเสื้อผ้าของนางออก เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่มีสิ่งปิดบังแม้แต่น้อย
แต่สีหน้าของจีหมิงซิวกลับนิ่งสงบยิ่งนัก เขายกยาที่ชีเหนียงวางบนเก้าอี้มาอย่างสงบ แล้วใช้ก้อนสำลีป้ายยาทาบนตุ่มแต่ละจุดของนางอย่างเยือกเย็น หน้าผาก แก้ม ลำคอ…
ทายาเสร็จแล้วก็เปลี่ยนเสื้อนอนให้นางอย่างสุขุม จนอาจถึงขั้นเรียกได้ว่าเฉยชา เสมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ฝันหวานหนึ่งค่ำคืน
วันต่อมาดวงตะวันโผล่พ้นฟ้า แสงอรุณสายแรกส่องทะลุโครงหน้าต่างลงมาต้องใบหน้าของเฉียวเวย เฉียวเวยหาวครั้งหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ อาจเพราะนอนมากเกินไป ดวงตาจึงบวมเล็กน้อย แต่หัวไม่ปวดแล้ว ร่างกายก็เบาสบายอย่างยิ่ง
เฉียวเวยลุกขึ้นนั่ง ยืดตัวบิดขี้เกียจ
ชีเหนียงที่ฟุบอยู่ข้างเตียงได้ยินเสียง ร่างกายจึงขยับเล็กน้อย ลืมตาตื่นขึ้นมา “ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยยืดเหยียดแขนเล็กน้อย “ตื่นแล้ว”
ชีเหนียงฟังคำพูดของนางดูเหมือนมีกำลังวังชาขึ้นมาบ้างแล้ว “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”
เฉียวเวยบิดคอนิดหน่อย “ไม่ค่อยจะมีแรง ที่เหลือไม่เป็นอะไร”
ชีเหนียงยิ้มแย้ม “ท่านนอนมาหลายวันไม่ได้กินอะไร ย่อมต้องไม่มีแรง ข้าจะไปเรียกท่านหมอ!”
หมอพเนจรถูกเรียกมา
เฉียวเวยเห็นอีกฝ่าย ร่างกายที่กำลังยืดเหยียดเส้นเอ็นกับกระดูกอยู่ก็ชะงัก “ท่านหรือ ท่านมาบ้านข้าได้อย่างไร”
ชีเหนียงได้ยินก็งุนงง “ฮูหยิน ท่านรู้จักเขาหรือ”
เฉียวเวยหน้าบึ้ง “รู้จักสิ!” เขาเป็นคนบ้าที่เก็บมาจากข้างทาง อ้าปากทีก็จะแย่งลูกของนาง คนน่าชังผู้นี้มาบ้านนางได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่ายังไม่ตัดใจ คิดจะ ‘แอบอ้าง’ เป็นบิดาของลูกนางอีกหรอกกระมัง
“ข้าขอบอกท่าน ลูกเป็นของข้า หากท่านยังกล้าแย่งข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”
หมอพเนจรไม่เอ่ยคำใด เดินมาถึงริมเตียงก็คว้าข้อมือของเฉียวเวย
เฉียวเวยดึงข้อมือกลับ แล้วถามอย่างระแวง “ท่านจะทำอะไร”
สีหน้าของหมอพเนจรตกใจเล็กน้อย
ชีเหนียงมองทั้งสองคนอย่างตกตะลึงและกระอักกระอ่วน “ฮูหยิน เขาเป็นหมอเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเฉยชา “สะพายตะกร้าสมุนไพรก็เป็นหมอแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นหากข้าสวมมงกุฎหงส์ไยมิใช่กลายเป็นฮองเฮา”
ชีเหนียงบอกตามตรง “ฮูหยิน เขาเป็นหมอจริงๆ โรคของท่านก็เป็นเขาที่รักษาจนหายดี”
เฉียวเวยหันไปมองหมอพเนจรอย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกฝ่ายเป็นคนบ้าคนหนึ่งแท้ๆ จะรักษาโรคได้อย่างไร
หมอพเนจรเอ่ยขึ้นว่า “ไข้ลดแล้ว ไม่รู้ว่าพิษในร่างขับออกมาได้เท่าใดแล้ว ข้าจะดูหน่อยว่าต้องลดปริมาณยาหรือไม่“
เฉียวเวยกอดผ้าห่มแน่น “ไม่ให้ท่านดู”
“ฮูหยิน!” ชีเหนียงร้อง
“ฮูหยินตื่นแล้วใช่หรือไม่ ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงพวกเจ้าคุยกัน!”
เสียงของเฝิงซื่อดังขึ้นด้านนอก
หลายวันมานี้เฝิงซื่อคิดหาวิธีอยู่บนเขาต่อมาตลอด คนกล่าวกันว่าแต้มบุปผาบนไหมมิสู้มอบถ่านให้กลางหิมะ ฮูหยินล้มป่วย นี่เป็นโอกาสดีครั้งใหญ่ที่จะประจบฮูหยิน
เฝิงซื่อยิ้มร่ายกข้าวต้มถ้วยหนึ่งเข้ามาด้านใน แล้วคำนับคนบนเตียง “ฮูหยิน” จากนั้นนางก็กล่าวกับชีเหนียงว่า “ชีเหนียงลำบากแล้ว เจ้าไปพักก่อนเถิด ตรงนี้ยกให้ข้าเอง”
ไม่รอให้ชีเหนียงปฏิเสธ นางก็เดินดิ่งมาถึงหน้าเตียง วางข้าวต้มบนเก้าอี้แล้วหันหน้ามายิ้มจนตาหยีมองท่านหมอ “ท่านหมอ ฮูหยินบ้านข้า…กรี๊ดดด”
นางกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด!
เฉียวเวยกับชีเหนียงตกใจจนสะดุ้งโหยง กำลังจะถามนางว่าเป็นอะไรไป ก็เห็นนางตดเล็ดปัสสาวะราดวิ่งหนีไปราวกับเห็นผี
ท่าทางเช่นนั้น มิใช่เสแสร้งแกล้งทำอย่างเด็ดขาด
เฉียวเวยมองหมอพเนจรอย่างสงสัย คนผู้นี้หน้าตาก็ไม่อัปลักษณ์นี่ เหตุใดมารดาของปี้เอ๋อร์จึงตกใจจนเป็นเช่นนั้น
หมอพเนจรก็สีหน้าอึ้งงันเช่นกัน
“เสี่ยวเฉียว! เสี่ยวเฉียว หมอมาแล้ว!”
ด้านนอกซิ่วไฉเฒ่าเดินโซเซเข้ามาในคฤหาสน์ แล้วเกาะกำแพงอยู่ตรงประตูห้อง หายใจไม่ทัน “ข้า…เมื่อวานข้าไปเชิญหมอ…พอเชิญได้…มาถึงประตูเมือง…ประตูก็ปิดแล้ว…เลยต้องรอจน…เช้าถึงออกมาได้…”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าหายแล้ว”
“หายแล้วหรือ” ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้ว “หายได้อย่างไร”
เฉียวเวยเหล่มองหมอพเนจรอย่างเฉยชา หมอพเนจรหันกลับมาตอบ “ข้ารักษาเอง”
ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินเสียงนี้ หัวใจก็เต้นดังตึกตัก ขบคิดว่าเหตุไฉนจึงฟังคุ้นหูปานนี้ เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องเพ่งสายตาจนมองเห็นชัด คนก็ตะลึงนิ่งไปทันใด