“ช่วงนี้ทำงานเป็นยังไงบ้างล่ะ?” หลังจากที่ลี่หุยได้หุ้นบริษัทมา ใบหน้าก็ดูดีมีราศีทุกวัน
อีกอย่างตอนนี้ไม่มีลี่จุนถิงอยู่ในบริษัท ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นคนที่มีหน้ามีตามากที่สุด
หลังจากที่มีหุ้นบริษัท ลี่เจี้ยนหวาก็คิดหาทางให้เขาได้ตำแหน่งผู้จัดการ ตอนนี้พนักงานในบริษัทเวลาเจอเขา ต่างก็ก้มหน้าโค้งตัวให้เขากันทั้งนั้น ความรู้สึกแบบนี้มันช่างดีเหลือเกิน
“ต้องขอขอบคุณต่างหาก ทุกอย่างจึงดำเนินได้อย่างราบรื่น” ฟู่จื้อฉีเป็นคนรู้จักวางตัว รู้ว่าต้องพูดแบบไหนถึงสามารถเอาใจพวกระดับสูงได้
“ถ้ามีปัญหาอะไร ก็บอกได้นะ ฉันจะพยายามช่วยเหลือ” ลี่หุยแสดงท่าทีห่วงใยลูกน้องเป็นอย่างมาก
“ที่จริงก็มีบางเรื่องที่ค่อนข้างยาก……” ฟู่จื้อฉีพูดพลางแสดงสีหน้าลำบากใจ
“หืม?” ลี่หุยมองไปทาง ฟู่จื้อฉีด้วยความสงสัย “ไหนนายลองพูดมาสิ”
“ตอนนี้บริษัทได้ให้รองประธานลี่เป็นผู้ดูแล จากนั้นยังมีเจียงหยุนเอ๋ออะไรนั่นอีก ให้ผู้หญิงสองคนมาควบคุมดูแลบริษัท พวกเรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีอำนาจสักเท่าไหร่” ฟู่จื้อฉีสีหน้าดูจนใจ ขณะพูดก็ไม่ลืมใช้ข้อศอกสะกิดกัวซ่วย “กัวซ่วย นายว่าใช่ไหมล่ะ?”
กัวซ่วยอึ้งเล็กน้อย แล้วรีบพยักหน้า : “ใช่ ใช่ ใช่ ผมก็รู้สึกว่าบริษัทจำเป็นต้องมีคนมีความสามารถสักคนมาดูแลจะดีกว่านี้ อย่างเช่นผู้จัดการลี่”
ถูกพูดถึงแบบนี้ สีหน้าของลี่หุยก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นไปอีก เพียงแต่ตอนนี้ไม่สามารถแสดงออกมากเกินไป : “พูดเกินไปแล้ว พวกนายอย่าล้อเล่นเลย”
ฟู่จื้อฉีเข้าไปพูดข้างหูลี่หุย : “ผู้จัดการลี่ ผมกับกัวซ่วยคิดว่าคุณเหมาะสมที่สุดแล้ว คนมีความสามารถอย่างคุณ จะมาปิดกั้นความสามารถอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการนี้ได้ยังไงกัน คุณไม่ควรถ่อมตัวอย่างนี้นะครับ”
“ฮ่าฮ่า” ลี่หุยอดไม่ได้ที่จะดีใจ “ขอบคุณคำชื่นชมของพวกนาย ฉันยังมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อนนะ”
คำพูดที่ประจบเอาใจใครบ้างไม่ชอบฟัง ลี่หุยเองก็ชอบฟัง เพียงแต่เขาไม่อาจฟังมากเกินไป ไม่อย่างนั้นจะถูกคนหลอกใช้เอาได้
เมื่อเห็นว่าลี่หุยไปแล้ว ฟู่จื้อฉีและกัวซ่วยก็ถอนหายใจ
“ตกใจหมดเลย ไม่รู้ว่าเขาได้ยินที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้หรือเปล่า” กัวซ่วยตบหน้าอก
“น่าจะไม่ได้ยิน ฉันเห็นเขาค่อนข้างดีใจอยู่นะ” เห็นสีหน้าของลี่หุยเมื่อครู่นี้ ฟู่จื้อฉีก็รู้ว่าการที่ตัวเองประจบสอพลอไปนั้นทำถูกแล้ว
“นายดูผู้จัดการลี่สิ เป็นมิตรเข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้ ไม่เหมือนคุณชายลี่ วันทั้งวันเอาแต่ทำหน้าเข้ม เหมือนกับคนอื่นไปติดเงินเขาไม่มีผิด” กัวซ่วยบ่นเสียงเบา
“พอได้แล้ว อย่าพูดเลย กลับไปทำงานกันเถอะ” ฟู่จื้อฉีวางเก้าอี้ตามเดิม แล้วออกไปจากห้องน้ำชา
สภาพอย่าง ฟู่จื้อฉีและกัวซ่วยนั้น นับวันยิ่งพบเห็นได้มากขึ้นในบริษัท คนมากมายดูเหมือนจะเป็นอนาคตที่สดใสของลี่หุย จึงแอบหันไปเข้าข้างลี่หุย
เมื่อเป็นดังนี้ ลี่จุนซินและเจียงหยุนเอ๋อจึงรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ยากขึ้นทุกวัน
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้จัดการของฝ่ายนั้นมาถึงแล้ว ทำไมผู้จัดการของพวกเราไม่ไป?” ลี่จุนซินที่อยู่ในห้องทำงานโมโหจนซัดเอกสารบนโต๊ะลงบนพื้น
“คือว่า รองประธานคะ คือว่า ผู้จัดการคนนั้นบอกว่ามีธุระต้องจัดการ เลยปลีกตัวไปไม่ได้” เลขากลัวหัวหด
“เหอะ เรื่องของเขามันสำคัญกว่าเรื่องของบริษัทงั้นเหรอ?” ลี่จุนซินแสยะยิ้มออกมา
“ฉันก็พูดไปแบบนี้ค่ะ แต่เขาบอกว่าเรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของบริษัท” เสียงของเลขาเบาลงเรื่อย ๆ
“ช่างเถอะค่ะพี่ ฉันว่าพวกเขาจงใจ” เจียงหยุนเอ๋อก็โมโหไม่น้อยเลย
เดิมทียังมีโครงการที่ดีอยู่โครงการหนึ่ง เจรจากับอีกฝ่ายเป็นไปได้ด้วยดี กว่าจะนัดออกมาหารือเรื่องสัญญาได้นั้นก็ไม่ง่ายเลย บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปจึงได้ส่งผู้จัดการแผนกคนหนึ่งไปพบ แต่ผู้จัดการแผนกกลับผิดนัดกับคนของบริษัทนั้น
เลยทำให้พวกเขาโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะลี่จุนซินอธิบายจนปากเปียกปากแฉะ เกรงว่าธุรกิจนี้คงพังไปแล้ว
“เธอ ตอนนี้นัดเวลาให้ฉันใหม่ ขอให้พวกเขาให้โอกาสพวกเราอีกครั้ง” ลี่จุนซินวางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ
“แล้วครั้งนี้จะส่งใครไปคะ?” เลขาเอ่ยถามเบา ๆ
เดิมทีเรื่องพวกนี้ต้องเป็นลี่จุนซินไปด้วยตัวเอง แต่เธอยุ่งจนตัวเป็นเกลียว
“พี่คะ ฉันไปเองก็ได้ค่ะ” เจียงหยุนเอ๋อคิดว่าตัวเองน่าจะพอมีเวลา
“ไม่ได้ เธอท้องโตอย่างนี้ ไปคงไม่เหมาะสม พวกเขาต้องหัวเราะบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปของพวกเราแน่นอน ผิดนัดไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็หาตัวแทนไปไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนท้องไปเจรจาธุรกิจ?” ลี่จุนซินถึงขั้นนึกภาพออกว่าถ้าเจียงหยุนเอ๋อปรากฎตัว คนของบริษัทนั้นจะแสดงสีหน้ายังไง
“แล้วจะทำยังไงดีคะ?” เจียงหยุนเอ๋อหน้าตาเศร้าหมอง
“ช่างเถอะช่างเถอะ ฉันไปเอง เลขาจิน ช่วยดูหน่อยว่าสามารถจัดเวลาให้ฉันได้ไหม ถ้าไม่สามารถหาเวลาได้ ก็ยกเลิกการประชุมไป” ลี่จุนซินคิดออกแค่วิธีนี้เท่านั้น
“ค่ะ” เลขาจินตอบรับแล้วออกไปจากห้องทำงาน
“เฮ้อ” ลี่จุนซินโมโหจนเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา จึงใช้นิ้วโป้งนวดบริเวณขมับ
“พี่คะ ฉันคิดว่าพวกเขาไม่อยากไป คำพูดเหล่านั้นก็แค่ข้ออ้าง” เจียงหยุนเอ๋อพูดด้วยความโมโห
“เธอไม่บอกฉันก็รู้” นี่แหละเป็นจุดที่น่าปวดหัวที่สุด
ลี่จุนซินพบว่าช่วงนี้คนในบริษัทไม่เชื่อฟังคำสั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าที่ที่มอบหมายไปไม่ได้ตั้งใจทำกันเลย
“ฉันได้ยินมาว่า ตอนนี้หลายคนไปคอยเอาใจลี่หุย หลายครั้งที่ฉันเห็นคนพวกนั้นยอมทำตามคำสั่งของลี่หุย” ลี่จุนซินเอ่ย สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“หรือเป็นเพราะลี่หุยหาพรรกพวก?” เจียงหยุนเอ๋อใจจดใจจ่อเรื่องงานตลอด จึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก
ลี่จุนซินเมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ก็โมโหขึ้นมาอีก : “น่าจะไม่ใช่ คนในบริษัทหลายคนเลือกปฏิบัติ เธอเองไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ต่างก็เห็นพวกเราเป็นแค่ผู้หญิง เลยรู้สึกว่าพวกเราทำไม่ได้ ส่วนลี่หุยตอนนี้มีหุ้นส่วนที่ได้มาจากพ่อ หลายคนเลยเลือกที่จะเข้าหาเขา ประจบเขา ฉันเห็นหางของลี่หุยแทบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้ว”
“งั้นตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดีคะ หรือหาทางลงโทษพวกเขาสักหน่อย?” เจียงหยุนเอ๋อกัดฟัน คนพวกนี้ชอบก่อเรื่องในเวลาแบบนี้เหลือเกิน
“ช่างเถอะ รอให้บริษัทผ่านพ้นวิกฤตไปได้ก่อนค่อยว่ากันอีกที เพียงแต่พวกเราอาจต้องลำบากสักหน่อย สถานการณ์ที่พวกเขาต่างพากันปัดความรับผิดชอบอย่างนี้ เกรงว่าคงมีเรื่องอีกมากมายที่พวกเราต้องลงมือทำด้วยตัวเอง เธอกำลังท้องอยู่ จำไว้นะว่าอย่าหักโหมมากไป” ลี่จุนซินเป็นกังวลกลัวว่าร่างกายของเจียงหยุนเอ๋อจะรับไม่ไหว
ตั้งแต่เจียงหยุนเอ๋อตั้งท้อง ลูกในท้องของเธอก็เจอเรื่องทุกข์ทรมานมานับไม่ถ้วน
ถือว่าเด็กคนนี้โชคดีมาก ที่ยังมีชีวิตมาจนถึงวันนี้
“ค่ะ พี่วางใจเถอะ ฉันรู้อยู่แล้ว” เจียงหยุนเอ๋อพูดพลางลูบท้อง
เธอต้องเข้มแข็งต่อไปให้ได้ รอจนกว่าลี่จุนถิงจะกลับมาดูลูกคนนี้เกิด
ถึงตอนนั้นพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูก ต้องมีชีวิตที่มีความสุขแน่นอน