ตอนที่ 514 ติดต่อสำนักหนังสือพิมพ์

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 514 ติดต่อสำนักหนังสือพิมพ์

ใช่ว่าหลินม่ายไม่รู้เรื่องนี้

แม้กระทั่งยุคสมัยปัจจุบัน ช่อง CCTV ยังเป็นถึงราชาแห่งหน่วยงานที่เปิดประมูลโฆษณา

ในปี 1995 การเปิดประมูลโฆษณาครั้งแรกของสถานีโทรทัศน์ CCTV บริษัทไวน์ขงจื๊อเยี่ยนสามารถเอาชนะบริษัทไวน์ขงจื๊อเจียซึ่งเป็นบริษัทพี่น้อง ด้วยราคาประมูล 30.79 ล้านหยวน ทั้งยังชนะการประมูลในคราวเดียว

ถึงจ่ายค่าโฆษณาแพงลิบ แต่รายรับที่ได้คืนมาก็สูงลิ่วเช่นกัน

ตอนนี้ทาง CCTV เพิ่งจะทดลองทำธุรกิจโฆษณา ถึงแม้เธอจะเป็นผู้บุกเบิกคนแรกของรายการโฆษณาภายในประเทศก็ตาม แต่หลินม่ายก็เดาว่าค่าธรรมเนียมโฆษณาคงไม่แพงเกินเอื้อม

หลินม่ายถาม “ค่าธรรมเนียมในการออกอากาศโฆษณาอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่คะ?”

ผู้อำนวยการหยิ่นตอบ “ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณต้องการให้ออกอากาศ ถ้าคุณอยากออกอากาศแค่เดือนเดียว ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำก็อยู่ที่ห้าหมื่นหยวนแล้ว”

พอหลินม่ายได้ยินข้อเสนอ หัวใจของเธอก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

เธอคิดว่าตัวเองคงต้องใช้เงินขั้นต่ำหนึ่งแสนหยวนเสียอีก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเตรียมเงินสดจำนวนสองแสนหยวนมาเผื่อในการคุยธุระครั้งนี้

ไม่คาดคิดว่าค่าธรรมเนียมการออกอากาศโฆษณาจะอยู่ที่ห้าหมื่นหยวนเท่านั้นเอง

ถึงอย่างนั้นเงินหนึ่งหมื่นหยวนในปี 1980 ก็เทียบเท่ากับหนึ่งล้านหยวนในอีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา

เงินห้าหมื่นหยวนจึงมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินประมาณห้าล้านหยวน ซึ่งความจริงแล้วไม่ถูกเลย

หลินม่ายมองผู้อำนวยการหยิ่นด้วยดวงตากลมโตที่ไร้เดียงสาราวกับกวางป่า ลองพูดหยั่งเชิงไปว่า “ฉัน… นำเงินมาด้วยแค่ห้าหมื่นหยวนเองค่ะ…”

ผู้อำนวยการหยิ่นเพิ่งจะพูดว่าค่าใช้จ่ายขั้นต่ำอยู่ที่ห้าหมื่นหยวน หมายความว่าที่จริงแล้วมันมากกว่านั้น

หลินม่ายออกตัวไปก่อนว่าตัวเองพกเงินมาด้วยแค่ห้าหมื่นหยวน เพราะมีเจตนาจะต่อรองราคา

ผู้อำนวยการหยิ่นกลายเป็นฝ่ายที่ผงะ

เขาคิดว่าคนอย่างหลินม่ายคงไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้ได้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีเงินเพียงพอกับจำนวนที่เขาเสนอ

ผู้อำนวยการหยิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่ตกลงราคาอยู่ที่ห้าหมื่นหยวนแน่ แต่เพราะเห็นแก่คุณที่อายุยังน้อย ผมเข้าใจว่าการเริ่มต้นธุรกิจในวัยหนุ่มสาวนั้นไม่ง่ายเลย”

หลินม่ายรีบพูดขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว

การขอบคุณไว้ก่อนมักนำพาไปสู่นิมิตหมายที่ดีเสมอ

ผู้อำนวยการหยิ่นหัวเราะ “อย่าเพิ่งรีบขอบคุณผมเลย คุณกลับไปเตรียมวิดีโอโฆษณามาก่อนเถอะ ถ่ายทำโฆษณาเสร็จเมื่อไหร่ ทีมงานของทางสถานีโทรทัศน์จะทำการตรวจสอบอีกที และจะออกอากาศก็ต่อเมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้น”

หลินม่ายยิ้มพลางพูดว่า “ฉันเตรียมวิดีโอโฆษณาไว้แล้วค่ะ”

เมื่อผู้อำนวยการหยิ่นได้ยินดังนั้น จึงพาเธอไปที่แผนกตรวจสอบโฆษณา

เจ้าหน้าที่หลายคนนั่งอยู่ในแผนกตรวจสอบ มีบุคลากรตั้งแต่หัวหน้ากองบรรณาธิการไปจนถึงพนักงานที่รับผิดชอบ

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการหยิ่นยังเรียกให้หัวหน้าของทั้งสองแผนกมาทำการตรวจสอบร่วมกัน

ถึงจะเห็นว่าขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างใหญ่โต แต่หลินม่ายก็ไม่ได้หวั่นวิตกอะไรนัก

มันเป็นแค่โฆษณาเสื้อผ้า ทั้งยังเป็นสินค้าที่ผลิตภายในประเทศของท้องถิ่น จะผ่านการตรวจสอบยากขนาดนั้นเชียวหรือ?

หัวหน้าใหญ่และหัวหน้ากองบรรณาธิการเปิดเล่นโฆษณาของหลินม่ายครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากกระซิบกระซาบหารือกัน ผู้อำนวยการหยิ่นก็หันมาแจ้งผลกับหลินม่ายด้วยความเสียใจว่า “โฆษณาของคุณไม่สามารถออกอากาศได้…”

หลินม่ายตกตะลึงไปทันที ถามด้วยความเหลือเชื่อ “เพราะอะไรคะ?”

ผู้อำนวยการหยิ่นอธิบาย “โฆษณาของคุณนำเสนอความฟุ้งเฟ้อจนเกินงาม ผู้ชมเห็นแล้วจะต้องวิพากษ์วิจารณ์และมารวมตัวกันประท้วงอีกแน่ ๆ”

หลินม่ายไม่เข้าใจ เธอถามด้วยความสับสน “มันก็แค่โฆษณาเสื้อผ้าเท่านั้นเองนี่คะ ทำไมถึงถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความฟุ้งเฟ้อได้?”

หัวหน้ากองบรรณาธิการชี้ไปที่โฆษณาเสื้อผ้าซึ่งถูกเปิดเล่นอยู่ในเครื่องเล่นวิดีโอ อธิบายว่า “สิ่งที่ประเทศเราต้องการ คือส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวขยันทำงานและดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย มุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่ง และพยายามอย่างหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินเกิด แต่เสื้อผ้าของคุณมีรูปแบบทันสมัยและสวยสะดุดตาเกินไป ถ้าคนหนุ่มสาวเหล่านั้นซื้อเสื้อผ้าของคุณ พวกเขาจะลืมความยากลำบากและความเรียบง่ายไปจนสิ้น จนค่อย ๆ หมดไฟในการพัฒนาตัวเอง เหมือนกับการต้มกบในน้ำอุ่น(1)นั่นแหละ”

ตรรกะนี่มันอะไรกันเนี่ย?

หลินม่ายอยากคุกเข่าให้กับพวกหัวหน้าที่มีวงจรสมองซับซ้อนขนาดนี้ซะจริง ๆ

ใบหน้าของเธอยังคงเปื้อนรอยยิ้มขณะออกความเห็น “ทำไมคุณหัวหน้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ? ลองคิดจากมุมมองอื่นดูสิ การที่ผู้ประกอบการภายในประเทศจีนของเราสามารถผลิตเสื้อผ้าที่มีความทันสมัยและสวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งบ่งบอกถึงความสำเร็จขั้นต้นจากการปฏิรูปและการเปิดประเทศไม่ใช่เหรอ ชีวิตของคนทั่วไปจะได้ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามไงคะ?”

หัวหน้าจากหลายฝ่าย หัวหน้ากองบรรณาธิการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโฆษณาคนอื่น ๆ หันมองหน้ากัน รู้สึกว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดมาก็สมเหตุสมผล

แต่ไม่ว่าคำพูดของเธอจะมีน้ำหนักแค่ไหนก็ตาม พวกเขายังคงปฏิเสธ

ก่อนหน้านี้โฆษณาที่เพิ่งถูกระงับก็เป็นแค่โฆษณานำเสนอกางเกงยีนเท่านั้นเอง แต่ผู้ชมกลับมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง คิดว่ากางเกงยีนเป็นตัวแทนของความเสื่อมทรามทางวัฒนธรรม

เสื้อผ้าของสหายสาวน้อยคนนี้ทั้งทันสมัย แถมรูปแบบยังสวยกว่าของฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศหมู่เกาะเสียอีก ความแปลกใหม่ดังกล่าวไม่ถูกต่อต้านยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ?

แทนที่จะรอกระแสตอบรับหลังออกอากาศไปแล้วว่าผู้ชมจะประท้วงหรือไม่ สู้ไม่ออกอากาศตั้งแต่แรกเลยดีกว่า

ผู้อำนวยการหยิ่นเกลี้ยกล่อม “โฆษณาตัวนี้ถูกปฏิเสธก็จริง แต่คุณยังสามารถถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่มาให้เราตรวจสอบได้นะ”

หลินม่ายบ่นอุบในใจ ไม่ต้องพูดถึงการกลับไปถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่ ต่อให้ถ่ายใหม่อีกกี่สิบครั้งร้อยครั้ง โฆษณาของเธอก็ไม่มีวันผ่านการตรวจสอบ

เสื้อผ้าทุกตัวที่ผลิตจากโรงงานของเธอล้วนทันสมัยและดูดี ถ้ายึดตามเหตุผลที่หัวหน้ากองบรรณาธิการตัดสิน ว่าความทันสมัยล้ำยุคส่อถึงความเสื่อมทราม เมื่อเป็นแบบนี้แล้วโฆษณาของเธอจะผ่านการตรวจสอบได้อย่างไร?

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลองเสนอ “ทุกคนคะ ถ้าแบรนด์ Unique ของฉันลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แล้วไม่มีการประท้วงจากผู้อ่าน พวกคุณช่วยพิจารณาเผยแพร่โฆษณาของฉันอีกครั้งได้ไหมคะ?”

หัวหน้าหลายฝ่ายหันไปหารือกับหัวหน้ากองบรรณาธิการ

ผู้อำนวยการหยิ่นพยักหน้าให้หลินม่ายพร้อมกับให้คำตอบว่า “แน่นอน”

โดยปกติแล้วถ้าผู้อ่านไม่มีการประท้วงโฆษณาที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ควรมีการประท้วงเมื่อนำโฆษณาตัวเดียวกันนั้นไปออกอากาศทางโทรทัศน์

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่ต้องแบกรับกระแสการประท้วงเป็นด่านแรก

เมื่อหลินม่ายเดินออกมาจากแผนกตรวจสอบโฆษณา อู่ตงเหวินก็เดินตามเธอออกไปจากสำนักงานด้วย ก่อนจะถามไถ่ถึงสถานการณ์ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

หลินม่ายส่ายหน้า

พออู่ตงเหวินถามเหตุผล หลินม่ายก็เล่าให้เขาฟังไปตามตรง

อู่ตงเหวินปลอบเธออยู่สองสามคำ จากนั้นก็ยืนเฝ้ามองเธอเดินจากไป

อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าความต้องการของหลินม่ายคงไม่ประสบความสำเร็จ

หลินม่ายออกมาจากสถานีโทรทัศน์ CCTV จากนั้นก็ตรงไปยังแผงหนังสือที่อยู่ใกล้เธอที่สุด

ถามคนขายหนังสือพิมพ์ว่า หนังสือพิมพ์ฉบับไหนมียอดขายสูงที่สุด

คุณลุงคนขายชี้ไปที่ข่าวค่ำปักกิ่ง “ต้องเป็นข่าวค่ำปักกิ่งแน่อยู่แล้ว แต่ปักกิ่งรายวันก็ขายดีเหมือนกันนะ”

หลินม่ายขอซื้อหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับจากสองฉบับ แล้วตรงไปที่สำนักหนังสือพิมพ์ข่าวค่ำปักกิ่งตามที่อยู่ซึ่งปรากฏอยู่บนนั้น

ช่วงต้นปีมานี้ หนังสือพิมพ์จำนวนมากที่มียอดขายดีเริ่มมีการตีพิมพ์โฆษณาเพื่อเพิ่มรายได้ หนังสือพิมพ์ข่าวค่ำปักกิ่งก็ไม่มีข้อยกเว้น

หลินม่ายแจ้งความประสงค์ให้ลุงยามหน้าประตูของสำนักหนังสือพิมพ์ข่าวค่ำปักกิ่งว่าเธอจะมาติดต่อลงโฆษณา หลังจากที่ลุงยามหน้าประตูโทรประสานงานกับฝ่ายโฆษณาแล้ว เขาก็อนุญาตให้เธอเข้าไป

หัวหน้าฝ่ายโฆษณารู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นหลินม่าย ถึงกับมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ “คุณมาที่นี่เพื่อติดต่อลงโฆษณาเหรอ?”

หลินม่ายส่งเสียงตอบรับในลำคอ

วันนี้เธอพยายามแต่งตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายตั้งคำถามเหมือนปรามาสว่าเธอดูเด็กเกินไป

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาจ้องมองเธอต่ออีกสองสามวินาที อดคิดไม่ได้ว่าเธอคงไม่มีเงินมากพอจะลงโฆษณา

ถึงอย่างนั้นลูกค้าที่แวะเวียนมาติดต่อขอลงโฆษณาก็มีจำนวนไม่มาก เขาจึงทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น(2)

ยุคสมัยนี้ การที่ลูกค้ามาติดต่อขอลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์น้อยมาก มีอยู่สองสาเหตุด้วยกัน

อย่างแรก โรงงานที่ดำเนินการโดยรัฐมีงบจากทางรัฐบาลคอยสนับสนุน รับประกันรายได้ ต่อให้เผชิญภัยแล้งหรืออุทกภัย พนักงานในโรงงานก็ยังอยู่ได้ไม่ถึงกับอดตาย

อย่างที่สอง ยุคนี้มีบริษัทที่ดำเนินการโดยเอกชนน้อยนิด ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ไม่ใหญ่โตนัก แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะยกระดับธุรกิจให้พัฒนาขึ้นด้วยการลงโฆษณา

เหตุผลหลัก ๆ ทั้งสองประการนี้ทำให้การลงโฆษณากลายเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น สำนักหนังสือพิมพ์จึงหาลูกค้ามาลงโฆษณาได้ยากเย็น

หลังจากทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเองแล้ว หัวหน้าฝ่ายโฆษณาก็ถามหลินม่ายว่าเธออยากลงโฆษณาประเภทใด

หลินม่ายบอกว่าต้องการลงโฆษณาเสื้อผ้า แต่ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเองถูกสถานีโทรทัศน์ CCTV ปฏิเสธมาแล้วครั้งหนึ่ง

พูดถึงเรื่องนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่

ถ้าสำนักหนังสือพิมพ์รู้พวกเขาจะยิ่งกลัวการลงโฆษณา โดยอ้างว่าแม้แต่ CCTV ยังไม่อนุมัติให้ออกอากาศเลย

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาให้คำแนะนำกับเธอ “เรามีข้อกำหนดหลายแบบสำหรับการลงโฆษณา มีตั้งแต่ขนาด 2 x 3 ซม. 3 x 5 ซม. และ 4 x 6 ซม. ราคาของแต่ละขนาดจะแตกต่างกันออกไป คุณหลินอยากได้ขนาดเท่าไหร่ดี?”

ขนาดในความหมายของหัวหน้าฝ่ายโฆษณา ก็คือขนาดพื้นที่ของโฆษณาที่ลูกค้าต้องการให้ตีพิมพ์ลงในหน้าหนังสือพิมพ์

หลินม่ายโบกมือ “ขนาดพวกนั้นไม่เพียงพอสำหรับฉันหรอกค่ะ เพราะฉันอยากให้ตีพิมพ์ภาพโฆษณาแบบครอบคลุมทั้งหน้า”

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาตกตะลึงเล็กน้อย “คุณหลิน รู้ไหมว่าการลงโฆษณาขนาดใหญ่แบบนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อวันเท่าไหร่?”

“เท่าไหร่คะ?”

“แปดร้อยหยวน”

“ลดให้เหลือเจ็ดร้อยได้ไหมคะ?”

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ครับ!”

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยที่จะได้รับค่าธรรมเนียมในการลงโฆษณาเป็นจำนวนแปดร้อยหยวนในแต่ละวัน เขาไม่อยากปล่อยให้ลูกค้ารายใหญ่แบบนี้หลุดมือไปแค่เพราะเงินหนึ่งร้อยหยวน

หลังจากตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็มีคำขอร้องเพิ่มเติม

คือให้ทางสำนักหนังสือพิมพ์เลือกภาพถ่ายแฟชั่นUniqueของจางอวี้จากวิดีโอโฆษณาของเธอ จัดทำเป็นโปสเตอร์ แล้วเผยแพร่ลงในหนังสือพิมพ์

ทั้งนี้ยังต้องเพิ่มสโลแกนเข้าไปในโฆษณาด้วยว่า ‘เสื้อผ้าUnique แฟชั่นที่คุณคู่ควร’

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “นี่เทียบเท่ากับเราช่วยโปรโมตโฆษณาให้คุณเลย คงต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมนิดหน่อย”

หลินม่ายถาม “เท่าไหร่คะ?”

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาเรียกเงินห้าสิบหยวน แต่หลินม่ายต่อรองจนเหลือสามสิบหยวน

พวกเขาแค่เปลี่ยนภาพในวิดีโอมาเป็นโปสเตอร์โฆษณาเท่านั้นเอง แม้แต่ในยุคหลัง ๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นงานยากอะไร สามสิบหยวนยังนับว่ามากเกินไปสำหรับหลินม่าย

ชาติที่แล้ว ทางหนังสือพิมพ์มีบริการโปรโมตโฆษณาแบบนี้ให้ลูกค้าฟรี ๆ ด้วยซ้ำ

สุดท้ายหลินม่ายก็ยอมจ่ายตามนั้น คิดซะว่าเพื่อให้โฆษณาของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ในวันพรุ่งนี้

……………………………………………………………………………………………………………………….

ต้มกบในน้ำอุ่น หมายถึงการถูกกลืนกินวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว

รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น หมายถึง รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาแย่ยังไง แต่ก็อยากลองดูสักตั้ง

สารจากผู้แปล

ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เบิกทางไปก่อนแล้วจะได้ผลไหมนะ มาดูกัน

ไหหม่า(海馬)