ตอนที่ 524 วางมาดผยองถึงเพียงนี้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 524 วางมาดผยองถึงเพียงนี้

หวงเลี่ยกล่าวว่า “ในอนาคตซางเฉาจงจะขยายอิทธิพลออกไป ย่อมเดือดร้อนมาถึงสำนักเขามหายานอย่างเลี่ยงไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ขอกล่าววาจาระคายหูหน่อยเถิด ซางเฉาจงหาได้โง่เขลาปานนั้นไม่ หากจะหวังพึ่งกำลังของสำนักเขามหายานเพื่อขยายอิทธิพลถือเป็นเรื่องน่าขบขันนัก ในเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงประโยชน์ร่วมกันระหว่างข้าและสำนักเขามหายาน จะไม่ขยายอิทธิพลออกไปจนกว่าจะมีความมั่นใจเต็มที่ อย่าว่าแต่สำนักเขามหายานที่ไม่อยากเดือดร้อนเลย ตัวข้าไหนเลยจะนิ่งดูดายปล่อยให้รากฐานของตนในหนานโวย่อยยับไปได้? ต่อให้สำนักเขามหายานไม่เข้ามาควบคุม ข้าก็จะเข้าแทรกแซงและควบคุมอยู่ดี ไม่มีทางปล่อยให้ซางเฉาจงก่อความวุ่นวายขึ้น”

“กล่าวอีกนัยคือ หากมีความมั่นใจพอจะขยายอำนาจออกไปสามารถดำเนินเรื่องให้สำเร็จได้ แล้วสำนักเขามหายานยังต้องกังวลอันใดอีกเล่า? ขอเพียงสำนักเขามหายานมีผลงานปกป้องอาณาเขตไว้ได้ ให้ความร่วมมือกับซางเฉาจงอย่างราบรื่น ซางเฉาจงจะต้องจดจำความช่วยเหลือจากสำนักเขามหายานแน่นอน ไหนเลยจะเอารัดเอาเปรียบได้? ไหนเลยจะก่อปัญหาขัดแย้งภายในขึ้นหาเรื่องเดือดร้อนใสตัวเพิ่ม? หากไม่มีความมั่นใจพอแล้วจะขยายอิทธิพล ก็อย่างที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้ เรื่องเกี่ยวพันถึงประโยชน์ร่วมกันระหว่างพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็ยืนฝั่งเดียวกัน ร่วมมือกันยับยั้งไว้!”

ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ อยู่ในใจ พอเอ่ยวาจานี้ออกมาก็กลายเป็นคนกันเองแล้ว

ภายในศาลาเงียบสงัดอยู่พักหนึ่ง หวงเลี่ยและกลุ่มผู้อาวุโสสื่อสารกันผ่านสายตา สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “เซ่าผิงปอเป็นคนมีความสามารถที่หาตัวจับยาก น่าเสียดาย!”

วาจานี้มีความหมายอย่างไรยังต้องพูดให้มากความอีกหรือ ไม่จำเป็นต้องบีบให้อีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ ขนาดนั้นเลย หนิวโหย่วเต้ายิ้มสดใส “คาดว่าเซ่าผิงปอคงถูกคนของสำนักเขามหายานคุมตัวไว้แล้วกระมัง?” ความหมายในวาจาคือ พวกเจ้าน่าจะเด็ดหัวเขามาได้ง่ายนัก ยังจะลังเลอะไรอีกเล่า?

หวงเลี่ยไม่อยากทำความความต้องการของเขา การที่ไม่ว่าทำเรื่องใดก็คล้ายจะเป็นไปตามที่คนเขาคาดการณ์ไว้หมด น่าขายหน้าเกินไปแล้ว จึงตั้งใจสงวนท่าทีไว้ “เรื่องควบคุมน่ะควบคุมไว้แล้ว แต่มิใช่เจตนาของพวกเราที่เข้าควบคุมเขา เป็นตัวเขาที่ยินดีเข้าไปอยู่ในคุกเองเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์”

หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย แปลกใจมากจริงๆ เขาถามออกไป “หมายความว่าอย่างไร?”

“ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น ทางนี้ก็ไปสอบสวนเอากับเขา เขายืนยันจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ยินดีเข้าไปจำคุกด้วยตัวเอง…” หวงเลี่ยบอกเล่าสถานการณ์อย่างละเอียดออกไป

แต่สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าแปรเปลี่ยนในทันใด เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “แย่แล้ว! เจ้าสำนักหวง รีบส่งข่าวกลับไปทางเป่ยโจวแจ้งให้ศิษย์สำนักเขามหายานทราบ ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก เมื่อพบหน้าเซ่าผิงปอให้สังหารทันที อย่าได้ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น!”

หวงเลี่ยดูแคลนเล็กน้อย “เขาถูกควบคุมไว้แล้วยังสามารถทำให้เจ้าร้อนรนได้ เห็นทีว่าเจ้าจะยังคงกริ่งเกรงเซ่าผิงปอมากนัก!”

หนิวโหย่วเต้าไม่สามารถจับกระบี่อย่างสุขุมได้อีกต่อไป เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าสำนักหวง ข้าไม่ได้ล้นท่านเล่นนะ! อย่าคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาที่สามารถควบคุมได้ง่ายๆ อย่านึกว่าคนของสำนักเขามหายานคุมตัวไว้แล้วจะสามารถบดขยี้เขาได้ตลอดเวลา ขอพูดจาระคายหูท่านสักหน่อย สำนักเขามหายานมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย! เจ้าสำนักหวง เซ่าผิงปอเป็นคนเช่นไรข้าทราบกระจ่างดี ไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตายเฉยๆ แน่นอน ในเมื่อเขากล้าคุมขังตัวเองจะต้องเตรียมทางหนีไว้แล้วแน่นอน ต้องรีบฉวยโอกาสสังหารในตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว มิเช่นนั้นจะสายเกินแก้”

พอได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างมีเหตุผล หวงเลี่ยลังเลขึ้นมา เอ่ยไปด้วยความฉงน “คงไม่เต้องรีบร้อนถึงขั้นนี้กระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “เจ้าสำนักหวง เรื่องราวไม่อาจรั้งรอได้ โปรดลงคำสั่งสังหารในทันที เจอแล้วสังหารทิ้งเสีย อย่าได้ลังเลแม้แต่น้อย! หากสามารถนำหัวเขามาได้ก่อนรุ่งเช้าวันพรุ่ง ข้าจะมอบวิหคพาหนักให้สำนักเขามหายานหนึ่งตัวโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเลย!”

เขาเฝ้ารอมานานขนาดนี้ สิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปมากขนาดนี้ก็เพื่อสังหารเซ่าผิงปอ ไหนเลยจะปล่อยให้ล้มเหลวในขั้นสุดท้ายได้

เขารู้ซึ้งดีว่าเซ่าผิงปอคนนี้อันตรายเพียงใด หากไม่ได้มีจุดด้อยในทางโลกบำเพ็ญเพียร ผู้ใดจะตายเพราะฝีมือผู้ใดก็ยังไม่แน่ชักเลย

หากมิใช่เพราะวางตัวสายลับไว้ข้างกายเซ่าผิงปอแต่เนิ่นๆ ครั้งนี้เซ่าผิงปอคงไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเช่นนี้

หากปล่อยให้เซ่าผิงปอหนีไปได้ ในอนาคตจะต้องเกิดปัญหามากมายตามมาอย่างที่จะคาดเดาได้ ความสามารถทำลายล้างของคนประเภทนี้ไม่ธรรมดาเลย

ขอเพียงกำจัดศัตรูคนนี้ทิ้งได้ ขอเพียงทำให้สำนักเขามหายานลงมือสังหารอย่างเด็ดขาดได้ แค่ยกวิหคพานะตัวหนึ่งให้จะนับเป็นอันใดเล่า?

หวงเลี่ยประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าจะยังปรากฏเรื่องน่าตื่นเต้นเหนือความคาดหมายอีก “วาจานี้เป็นความจริงหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่กลับคำแน่นอน!”

ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออกเลย ขนาดตัวองยังไม่มีแล้วจะไปหาวิหคพาหนะจากไหนมาให้คนเขา?

ได้รับผลประโยชน์โดยไม่คาดฝันเช่นนี้ หวงเลี่ยหันกลับไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสรายหนึ่งทันที

ผู้อาวุโสคนนั้นออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีปีกทองตัวหนึ่งของสำนักเขามหายาบินขึ้นมาจากนอกเรือน มุ่งหน้าไปยังทิศทางของมณฑลเป่ยโจว

ทว่าหนิวโหย่วเต้าเดินวนไปวนมา ยังคงไม่วางใจอยู่ดี สุดท้ายก็ถึงขั้นที่หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้การแล้ว ข้าจะต้องได้เห็นจุดจบของเขาด้วยตาตน ข้าต้องเดินทางไปยังเป่ยโจวในทันที”

หากไม่ได้รับการยืนว่าเซ่าผิงปอตายแล้วเขาก็ไม่วางใจ

เซ่าผิงปอยอมเข้าคุกด้วยตัวเอง ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่ปกติทั้งสิ้น

เขายังคงกังวลว่าสำนักเขามหายานจะต่อกรกับเซ่าผิงปอไม่ได้ อยากจะรีบไปทันที หากมีอะไรผิดปกติไปเขาจะได้ลงมือจัดการเซ่าผิงปอด้วยตัวเอง

กลุ่มสำนักเขามหายานถูกเซ่าผิงปอบงการมานาน ให้คนที่เซ่าผิงปอจับทางได้ชัดเจนแล้วไปจัดการกับเซ่าผิงปอ เขาไม่วางใจเลยจริงๆ

หวงเลี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ถึงไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว กว่าเจ้าจะไปถึงเป่ยโจว หัวเขาก็หลุดจากบ่าไปนานแล้ว สงบใจไว้เถิดไม่พลาดแน่นอน”

“ทันสิ!” หนิวโหย่วเต้าแน่ใจว่าตัวเองไปทัน เนื่องจากตอนนี้เขามีวิหคพาหนะอยู่ในมือแล้ว

เขาหันไปส่งสัญญาณให้หยวนกังที่อยู่ด้านข้างไปดำเนินการจัดเตรียมความพร้อม หยวนกังเข้าใจเจตนาออกไปเตรียมการที่เรือนด้านหลังทันที ผ่านไปครู่หนึ่งปีกทองตัวหนึ่งก็บินจากไปอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็อยากแสดงให้หวงเลี่ยเห็นว่าตนมีวิหคพาหนะอยู่ จึงเชิญเขาเดินทางไปยังมณฑลเป่ยโจวด้วยกัน

เนื่องจากยังไม่ทราบสถานการณ์บางอย่างของทางมณฑลเป่ยโจวอย่างแน่ชัด หากจู่ๆ เขาโผล่ไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจะเกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้ง่ายๆ อาจจะทำให้เซ่าผิงปอฉวยโอกาสได้ แต่หากว่าให้หวงเลี่ยปรากฏตัวขึ้นในเป่ยโจวด้วยตัวเองสถานการณ์ย่อมจะต่างออกไป ทั่วทั้งสำนักเขามหายานจะยอมเชื่อฟัง เขาก็จัดการเรื่องราวได้สะดวกขึ้น

ฝ่ายหวงเลี่ยก็แปลกใจเช่นกันที่เขามีวิหคพาหนะพร้อมใช้งานอยู่ในมือ อยากจะลองตรวจสอบยืนยันสักหน่อยว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ จึงตอบตกลงไปด้วยกัน

ทางหนิวโหย่วเต้ายังต้องไปร่ำลากับสำนักหมื่นสรรพสัตว์อยู่ จะให้จากไปโดยไม่กล่าวอำลาเจ้าบ้านเลยคงไม่เหมาะ

หวงเลี่ยพาคนล่วงหน้าไปก่อน นัดแนะว่าจะไปพบหน้าที่นอกประตูสำนักเขามหายาน

เมื่อคนของสำนักเขามหายานไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ไปหาโจวเถี่ยจื่อทันที ให้เขารีบช่วยรายงานให้ที แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงเรื่องอื่นกับโจวเถี่ยจื่อด้วย “เรื่องสาบานเป็นพี่น้อง เมื่อข้าได้พบกับสภาผู้อาวุโสของสำนักเจ้าแล้วจะแจ้งให้ทราบทันที”

ผู้ใดจะทราบว่าโจวเถี่ยจื่อกลับรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็นเลย พี่หนิว ไม่จำเป็นเลยจริงๆ”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “เพราะเหตุใด?”

โจวเถี่ยจื่ออึกอักพูดไม่ออก หาข้ออ้างอย่างหนึ่งมาบ่ายบี่ยงไป

หนิวโหย่วเต้ามองออกว่าเขาดูไม่อยากจะร่วมสาบานด้วย แต่เนื่องจากมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ จึงไม่มีเวลามาสอบถามต้นสายปลายเหตุไปอย่างช้าๆ จึงไม่ได้บังคับฝืนใจเช่นกัน

ถึงอย่างไรการร่วมสาบานกับเขาก็แปลว่าต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน อีกทั้งการโดดเด่นอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์แห่งนี้ก็จะต้องเผชิญคลื่นมรสุมเป็นแน่ หากอีกฝ่ายพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันเลือกเส้นทางด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะฝืนบังคับเช่นกัน เรื่องร่วมสาบานเช่นนี้บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว

การร่วมสาบานที่สมควรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองจึงล้มเลิกไปเช่นนี้…

ครั้งนี้ในที่สุดซีไห่ถึงก็หาเวลามาพบหนิวโหย่วเต้าได้แล้ว ผู้ที่ติดตามมากับหนิวโหย่วเต้าก็คือก่วนฟางอี๋

ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ สตรีนางนี้มียันต์อาคมปกป้องชีวิตติดตัวมากมาย มรยันต์คุ้มภัยเช่นนี้แล้วมานำมาป้องกันตัวก็น่าเสียดายเกินไป คนรู้ความอย่างหนิวโหย่วเต้าย่อมไม่มีทางพลาด สถานที่ใดมีความเสี่ยงล้วนจะพาสตรีนางนี้ไปด้วย

เมื่อพบหน้าซีไห่ถัง ทั้งสองฝ่ายก็พูดคุยกันตามมารยาทครู่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าต้องการจากไป ซีไห่ถังก็ไม่คิดจะรั้งไว้อีก กล่าวอำลากันตรงนี้

ซี่ไห่ถังสุ่มเลือกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกให้ออกไปส่งแขก ไม่ได้ให้โฉวซานไปส่งด้วยตัวเองอีก

“อะไรกัน? แววตาเจ้ายามที่มองเจ้าสำนักซีดูไม่ปกติเลย หรือว่าจะเคยรู้จักเช่นกัน?”

ระหว่างเดินทางลงเขา หนิวโหย่วเต้าถามขึ้นมา

ก่วนฟางอี๋เอ่ยด้วยความคลางแคลง “หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยพบมาก่อน”

แต่นางก็นึกไม่ออกแล้วเช่นกัน เนื่องจากเวลาล่วงเลยมานานเกินไป อีกทั้งปีที่ซีไห่ถังไปพบนางก็มิได้เผยนามจริง ใช้วิธีการบางอย่างปกปิดสถานะที่แท้จริงไว้ วันเวลาเปลี่ยนคนได้ ย่อมเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย ประกอบกับซีไห่ถังก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยหมายปองโฉมงาม

ก่วนฟางอี๋ไม่สะดวกจะถามอย่างซึ่งหน้าเช่นกัน นางรู้ถึงชื่อเสียงของตนดี หากไปถามเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ผู้สูงส่งว่าเคยมีอดีตร่วมกับนางมาก่อนหรือไม่ อาจจะเป็นการหยามเกียรติได้

ทั้งสองเพิ่งออกมาถึงนอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ อินทรีหยกทมิฬสองตัวก็โฉบลงมาจากฟากฟ้าพอดี มีศิษย์สำนักเบญจคีรีสองคนควบคุมอินทรีหยกทมิฬมุ่งหน้ามา

พวกหวงเลี่ยที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกลจากประตูสำนักตกตะลึงตาค้าง หนิวโหย่วเต้าคนนี้มีวิหคพาหนะสองตัวเชียวหรือ? มิน่าเล่าถึงกล่าวว่าจะยกให้หนึ่งตัว มีกำลังทรัพย์มากถึงเพียงนี้ไม่แปลกเลยที่จะไม่ไยดีผลประโยชน์ในมณฑลหนานโว

จิตใจของหวงเลี่ยพลันเร่าร้อนขึ้นมา ดูเหมือนสิ่งที่คนผู้นี้พูดจะเป็นความจริง ดูเหมือนหลังจากเด็ดหัวเซ่าผิงปอมาได้จะมีโอกาสได้วิหคพาหนะหนึ่งตัวจริงๆ!

พวกก่วนฟางอี๋ก็แปลกใจมากเช่นกัน ไม่ค่อยอยากเชื่อเลย หนิวโหน่วเต้ามีวิหคพาหนะจริงๆ แถมยังมีสองตัวเชียวหรือ?

วิหคพาหนะที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้กลุ่มคนจากสวนไม้เลื้อยค่อนข้างตั้งตัวไม่ทัน

ก่อนจะออกจากมณฑลหนานโวมา ก่วนฟางอี๋เคยได้ยินหนิวโหย่วเต้าบอกว่าจะมาหาวิคพาหนะจากทางนี้ แต่ก็ไม่เห็นลงมือเคลื่อนไหวอันใด จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเช่นนี้หรือ? ซ้ำยังมีถึงสองตัวอีก? ทำได้อย่างไรกัน?

ก่วนฟางอี๋ย่อมไม่เชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าจ่ายเงินซื้อมา หนิวโหย่วเต้ายากจนแค่ไหนนางทราบชัดเจนดี ไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว จะกินจะดื่มล้วนใช้เงินของผู้อื่นเสมอมา วิหคพาหนะสองตัวนี้มูลค่าอย่างต่ำก็ยี่สิบล้านเหรียญทองแล้ว จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาสองตัว ไปหามาได้อย่างไร?

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ออกมาส่งรวมถึงคนที่เฝ้าประตูอยู่ก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน

“น้องหนิวมีกำลังทรัพย์มั่งคังนัก!” หวงเลี่ยที่พาคนเหินทะยานเข้ามาหาเอ่ยชมเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ได้อานิสงค์จากสวนไม้เลื้อยน่ะ ล้วนเป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้หงเหนียงไว้”

หวงเลี่ยก็หัวเราะออกมา มองไปที่ก่วนฟางอี๋ คิดอยู่ในใจว่าไม่แปลกเลยที่คนผู้นี้ต้องการได้ตัวสตรีนางนี้ ที่แท้ก็มีเป้าหมายอยู่นี่เอง

ลุงเฉิน สวี่เล่าหลิวและเหล่าสือซานมองไปที่หงเหนียงอย่างพร้อมเพรียง ค่อนข้างฉงน

ก่วนฟางอี๋ก็พูดไม่ออกเช่นกัน

วิหคพาหนะมีเพียงสองตัวจึงไม่สามารถพาคนทั้งหมดไปด้วยกันได้ หนิวโหย่วเต้าจึงพาไปแค่ลุงเฉินกับก่วนฟางอี๋ ส่วนหวงเลี่ยก็พาผู้อาวุโสไปด้วยเพียงสองคน

ทั้งหกคนโดยสารวิหคยักษ์สองตัวโบยบินจากไปเช่นนี้ท่ามกลางสายตาของทุกคน

ส่วนพวกหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าสั่งการไว้แล้ว ยังมีวิหคพาหนะอีกสามตัว ทางนี้ไม่สะดวกจะเปิดเผยออกมาในคราวเดียว จึงสั่งให้พวกหยวนกังขี่ตามไปทีหลัง

ภายในป่าเขา เฉาเซิ่งไหวยืนตาค้างอยู่ที่เดิม

หนิวโหย่วเต้าให้เขาจับตามองคนอื่นไว้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ลดละการจับตามองหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน พอทราบว่ากำลังจะจากไปโดยไม่ได้ติดต่อมาหาเขาเลยก็รีบมุ่งหน้ามาทันที

ใครจะคิดว่าจะได้เห็นฉากนี้เข้า หนิวโหย่วเต้าเรียกวิหคยักษ์ที่ปล้นมาจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์มารับที่หน้าประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างเปิดเผย วางมาดผยองถึงเพียงนี้ ออกจะใจกล้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้พะวงอันใด แต่ตัวเขาเฉาเซิ่งไหวกลับตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างแล้ว

หลังจากได้สติกลับมาก็ก่นด่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ในใจว่าเป็นคนบ้า เพิ่งได้ของไปไม่ทันไรไอ้สารเลวคนนี้ก็เอาออกมาใช้อย่างเปิดเผยแล้ว ไม่รู้จักเก็บงำประกายไว้บ้างหรือไร?

…………………………………………………………………….