War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1847
ตอนที่ 1,847 : เยว่อู๋หยิ่ง!

“กู่ลี่…มุ่งหน้าลงใต้?”

ได้ยินคำของอาวุโสวังปฐพี เมิ่งฉิงขมวดคิ้วทันใด ก่อนที่จะหันไปมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาไถ่ถาม “ผู้พิทักษ์กู่ท่านรู้หรือไม่ว่าไฉนกู่ลี่ถึงมุ่งหน้าลงใต้?”

“ข้าคิดว่าลี่เอ๋อคงไปหาสหายเพื่อที่จะพากันไปภูมิภาคเบื้องบน…”

กู่ซืออวิ๋นกล่าวตอบ

มันไม่ได้บอกว่ากู่ลี่ไปหาหลิงเทียน แต่เลือกใช้คำ ‘สหาย’ แทน

“กู่ลี่ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”

เมิ่งฉิงกล่าวถาม

“ขอบคุณท่านจ้าวตำหนักที่เป็นห่วง ลี่เอ๋อปลอดภัยดี”

กู่ซืออวิ๋นส่ายหัวค่อยยิ้มกล่าว หากกู่ลี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมันเองก็คงไม่อาจอยู่เฉยแบบนี้ได้

“ผู้พิทักษ์กู่ บอกมาได้หรือไม่ว่าสหายคนใดที่กู่ลี่ไปหา?”

จ้าวจินมองกู่ซืออวิ๋นด้วยสายตาเยียบเย็น น้ำเสียงที่กล่าวยังเข้มนัก เห็นชัดว่าคิดเค้นถาม

“ผู้พิทักษ์จ้าว ลูกข้าจะไปหาสหายคนใด ดูเหมือนจะไม่ใช่ธุระของท่านมิใช่หรือ?”

กู่ซืออวิ๋นกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ

“เจ้า…”

หน้าจ้าวจินเปลี่ยนไปทันใด หากแต่มันก็ไม่อาจโต้กลับใดๆได้

มันยังจะพูดอะไรได้อีก

หรือจะให้มันบอกไปว่าลูกชายของมันสะกดรอยตามกู่ลี่ไปจนเกิดเรื่อง?

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ใบหน้าจ้าวจินเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาพักหนึ่ง มันก็ขบเคี้ยวฟันดังกรอดคล้ายตัดสินใจอะไรได้

จ้าวจินพลันหันไปมองเมิ่งฉิง กล่าวออกมาว่า “ท่านจ้าวตำหนัก เหตุผลที่ลูกข้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไม่กี่วันก่อน คือคิดสะกดรอยตามลูกชายของผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่!”

โอ!

ไม่มีใครคิดใครฝันว่าจ้าวจินจะกล้ากล่าวเรื่องแบบนี้ออกมาตรงๆ!

จ้าวเติงลอบสะกดรอยตามกู่ลี่?

คิดจะทำอะไรกัน?

จังหวะนี้สายตาที่ทุกคนใช้มองจ้าวจินก็แปลกไปทันที

เมื่อแน่ใจแล้วว่าได้ยินคำของจ้าวจินไม่ผิด เมิ่งฉิงก็หยี่ตาถามจ้าวจินเสียงเข้มทันที “ผู้พิทักษ์จ้าวท่านหมายความว่า จ้าวเติงลูกท่าน…เพราะติดตามกู่ลี่ไปถึงเกิดเรื่อง?”

“ใช่!”

จ้าวจินพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจ้องกู่ซืออวิ๋นตาเขม็ง

“เหลวไหลสิ้นดี!”

กู่ซืออวิ๋นแค่นคำเย้ยเยาะออกมา “จ้าวจิน…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พลังฝึกปรือลูกข้าด้อยกว่าจ้าวเติงลูกเจ้า และเป็นไปไม่ได้ที่ลี่เอ๋อจะฆ่าจ้าวเติงลูกเจ้าได้เลย…ต่อให้เป็นเพราะลูกข้าลงมือฆ่าจ้าวเติงจริง แต่นั่นก็เพราะมันแส่หาเรื่องเอง! ข้าไม่ทราบจริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงได้กล้ากล่าวบอกว่าลูกเจ้าสะกดรอยตามลูกข้า…”

“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าลูกชายเจ้าสะกดรอยตามลูกชายข้าเพราะพิศมัยในตัวลี่เอ๋อ…เลิกฝันเถอะ ลี่เอ๋อหาได้มีรสนิยมเช่นเดียวกับมันไม่!”

วาจาประโยคหน้าของกู่ซืออวิ๋นเป็นเรื่องปกติไม่อะไรมากมาย แต่พอวาจาประโยคหลังดังออก ทุกสายตาในที่นี้ฉายแววพิลึกพิลั่นทันที

พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ที่แท้ผู้พิทักษ์กู่ของพวกมัน จะมีลิ้นเป็น ‘พิษ’ เช่นนี้

ลูกชายของมันไม่มีรสนิยมเช่นเดียวกับจ้าวเติงหมายความว่าอะไร?

ไม่ใช่จะสื่อว่าลูกชายของผู้พิทัษ์จ้าว ‘จ้าวเติง’ เป็นผู้ที่มีรสนิยมเช่นนั้นหรือไร?

จังหวะนี้พวกมันรู้สึกเสมือนมีขนห่านมาปัดๆไปทั่วตัวพาลให้สยิวกายนัก

“กู่ซืออวิ๋น!”

สีหน้าคนอื่นเผยความอื้ออึงไปไม่เป็น หากแต่จ้าวจินกลับเต็มไปด้วยโทสะ มันตะคอกเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นการคำรามอยู่รอมร่อ “คนก็ตายไปแล้วทั้งคน แต่เจ้ายังจะกล่าวคำฉีกหน้าลูกข้าไม่ให้เกียรติคนตายเช่นนี้! ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ!?”

“มากเกินไป?”

กู่ซืออวิ๋นแสยะยิ้มเย้ย “จ้าวจิน…ที่มากเกินไปนั่นมันเจ้าไม่ใช่หรือ!? เจ้าคิดสาดน้ำสกปรกให้เปรอะเปื้อนลูกชายข้า หวังคิดลากลูกข้าให้ลงโคลนตมการตายลูกเจ้า! ที่แท้เป็นข้ามากเกินไปหรือเจ้ามากเกินไป?!”

“พอได้แล้ว!”

สุดท้ายเป็นเมิ่งฉิงที่ตวาดออกมา หยุดการโต้เถียงครั้งนี้อย่างเหลือทน

“ผู้พิทักษ์จ้าว ไฉนจ้าวเติงต้องไปสะกดรอยตามกู่ลี่ด้วย?”

ลูกตาเมิ่งฉิงที่ทอประกายจ้าหันไปมองจ้าวจิน พร้อมยิงคำถามออกมาทันที

“ท่านจ้าวตำหนัก ข้าแน่ใจว่าท่านสมควรรับทราบข่าวการตายของหลานชายของข้าแล้ว…เบาะแสทั้งหมดที่ลูกข้าจ้าวเติงกับข้ารวบรวม ล้วนชี้ไปที่หลิงเทียน! พวกเราต้องการหาตัวมัน แต่พวกเรามิอาจหาเบาะแสใดๆเกี่ยวกับมันได้เลย เช่นนั้นพวกเราจึงต้องไปลอบจับตาดูกู่ลี่แทน!”

จังหวะนี้จ้าวจินไม่คิดปิดบังอะไรสืบไป

เพราะเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย ในเมื่อพวกมันก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายหรือสังหารกู่ลี่แต่อย่างใด

สำหรับเรื่องที่มันคิดฆ่าหลิงเทียนแน่นอนว่าใช่ แต่อยู่ต่อหน้าเมิ่งฉิงมันก็จำต้องซุกซ่อนเอาไว้ “พวกเราคิดหาหลิงเทียนจึงลอบสะกดรอยกู่ลี่ เพียงเพราะอยากถามไถ่หลิงเทียนว่าผู้ใดสังหารหลานชายของข้า! หรือเพียงแค่พวกข้าคิดถามไถ่เรื่องนี้ก็ผิดด้วย!?”

กล่าวถึงจุดนี้ร่างจ้าวจินก็สั่นเทิ้มขึ้นมา ท่าทางแลดูน่าเวทนาสงสารไม่น้อย

จังหวะนี้กระทั่งกู่ซืออวิ๋นก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่คิดซ้ำเติมคนเจ็บอะไร

ถึงแม้มันจะรู้สึกว่าการตายของหลานชายและลูกชายของจ้าวจินนั้นสมควรแล้ว แต่มันก็ไม่คิดจะกล่าวอะไรออกมาตอนนี้

“ผู้พิทักษ์กู่ กู่ลี่ใช่ไปหาหลิงเทียนหรือไม่?”

เมิ่งฉิงหันมองกู่วืออวิ๋นค่อยถามออกมา

“ใช่”

กู่ซืออวิ๋นพยักหน้ารับ และเมื่อเห็นว่าเมิ่งฉิงคิดถามเพิ่มมันก็ชิงกล่าวตอบไปก่อน “แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าลี่เอ๋อไปหาหลิงเทียนที่ใด เพียงบอกข้าว่าคิดไปเจอหลิงเทียนเพื่อจะพากันไปยังภูมิภาคเบื้องบนเท่านั้น…บางทีป่านนี้ทั้งคู่คงออกจากภูมิภาคเบื้องล่างและไปถึภูมิภาคเบื้องบนแล้วก็เป็นได้…”

เมิ่งฉิงพยักหน้ารับฟังคำของกู่ซืออวิ๋น ค่อยพูดว่า “ด้วยพลังฝีมือของกู่ลี่และหลิงเทียน ย่อมไม่อาจเทียบกับรองจ้าวตำหนักจ้าวได้แม้จะร่วมมือกันก็ตาม เช่นนั้นฆาตกรฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวสมควรเป็นผู้อื่น..”

“ผู้พิทักษ์จ้าว เรื่องตามล่าฆาตกรฆ่ารองจ้าวตำหนักจ้าวข้าให้สิทธิ์ท่านจัดการได้เต็มที่ ยามท่านมุ่งหน้าลงใต้เพื่อค้นหาเบาะแสหากท่านต้องการความช่วยเหลืออันใด ตำหนักฟ้าลี้ลับจะคอยให้การสนับสนุนท่านอย่างดี!”

เมิ่งฉิงมองจ้าวจิน ค่อยกล่าวให้คำมั่น

ความหมายในวาจาของเมิ่งฉิงก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ปล่อยให้จ้าวจินทำตามใจ และตำหนักฟ้าลี้ลับจะให้การสนับสนุนอย่างดีที่สุด

ที่จ้าวจินปรากฏตัววันนี้เพราะต้องการฟังคำพูดเหล่านี้ของเมิ่งฉิง หาไม่แล้วมันคงออกไปตามเรื่องนานแล้ว

มันรู้ดี

ไม่ต้องกล่าวถึงอำนาจส่วนตัว ต่อให้ทุ่มอำนาจทั้งสกุลจ้าวสืบหาเบาะแส ก็ไม่อาจเทียบได้กับการสนับสนุนของตำหนักฟ้าลี้ลับ!

หลังได้รับคำสัญญาจากเมิ่งฉิงแล้ว มันก็ไม่คิดจะรั้งรอสืบไปให้เสียเวลา รีบออกเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ทันที

หลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดมันก็ค้นหาเบาะแสมาถึงพื้นที่ใกล้เคียงตำหนักเมฆาคราม

“ผู้พิทักษ์ จ้าวจิน แห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ ใคร่พบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามสักครา!”

จ้าวจินป้องมือประสาน ไว้ที่ระดับอกก่อนที่จะก้มหัวโค้งคารวะกล่าวคำกลางอากาศ น้ำเสียงของมันสุภาพทั้งเรียบๆร้อยๆนัก

หากมองให้ดีจะพบว่าหน้าผากของจ้าวจินปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมา

เห็นชัดว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอย่างตำหนักเมฆาคราม ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นมันก็ต้องสงวนท่าที

อันที่จริงจ้าวจินก็ไม่คิดจะแวะมายังตำหนักเมฆาครามเช่นนี้

อย่างไรก็ตามหลังมันพยายามตามหาเบาะแสรอบๆแล้วแต่กลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย มันก็รู้สึกมืดแปดด้าน

พอคิดได้ว่าองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาคราม สมควรลาดตระเวณที่ทางแถวนี้เป็นประจำ มันจึงคิดถามไถ่เบาะแสเรื่องจ้าวเติงสักครา

ดังนั้นมันจึงเดินทางเข้าสู่ทะเลสาบผานหลง ทั้งกล่าวคำอหังการว่าอยากขอพบจ้าวตำหนักเมฆาคราม

มันต้องการให้จ้าวตำหนักเมฆาครามสอบถามหน่วยองครักษ์ทมิฬ…ว่ามีผู้ใดเห็นจ้าวเติงลูกชายของมันบ้างหรือไม่

“ข้าคือผู้พิทักษ์จ้าวจินแห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ มาขอพบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามในนามของตำหนักฟ้าลี้ลับ!”

เมื่อนึกถึงคำมั่นสัญญาของเมิ่งฉิง จ้าวจินก็เลือกที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง

ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!

……

ไม่นานองครักษ์เกราะทมิฬ 10 นายก็ปรากฏตัวขึ้น

สือฟูฉางที่เป็นผู้นำของหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่นี้ ก้าวออกมาข้างหน้าค่อยถาม “เจ้าคือจ้าวจิน ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ?”

“ใช่!”

จ้าวจินพยักหน้ากล่าว “ท่านสมควรเป็นสือฟูฉางใช่หรือไม่ ข้ามาที่นี่ด้วยคิดขอพบท่านจ้าวตำหนักเมฆาครามในนามของตำหนักฟ้าลี้ลับสักครา…รบกวนท่านนำความนี้ไปรายงานด้วย”

สือฟูฉางพอได้ยินก็พยักหน้ารับคำ ค่อยกล่าว “โปรดรออยู่ที่นี่”

จ้าวจินพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง และไม่ได้วางท่าถือดีอะไรเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่สือฟูฉางและผู้ฝึกตนขอบเขตอริยะเซียน

ดังคำกล่าวที่ว่า “ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่อาจไม่คำนับ” ตอนนี้มันกำลังขอเข้าพบจ้าวตำหนักเมฆาคราม หากมันมามีเรื่องราวอะไรกับสือฟูฉางตัวเล็กๆนี่เข้า น่ากลัวว่าจะเสียการใหญ่แล้ว

“ผู้พิทักษ์จ้าวจินจากตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องการพบท่านจ้าวตำหนักในนามตำหนักฟ้าลี้ลับงั้นเหรอ?”

แน่นอนว่าแม้จะเป็นคงครักษ์เกราะทมิฬ แต่อาศัยยศสือฟูฉางย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าพบจ้าวตำหนัก เช่นนั้นจึงเป็นหรงหยวนที่รับเรื่องนี้เอาไว้

“จ้าวจิน…ไม่ใช่ว่าเป็นบิดาจ้าวเติงหรือไร?”

ในใจหรงหยวนพลันปรากฏเรื่องหนึ่งขึ้นมา มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ

“เอาล่ะ เจ้าไปบอกลูกน้องเจ้า ว่าให้พาจ้าวจินนั่นมารอที่ห้องโถงหลักนี่เสีย…”

กล่าวสั่งสือฟูฉางจบคำ ร่างหรงหยวนก็จากไปทันที

“ทราบ!”

แม้คนไม่อยู่ แต่สือฟูฉางก็โค้งคาระวะกล่าวคำกับความว่างเปล่าอย่างเคารพ ก่อนที่จะเหินร่างย้อนกลับไป

แม้หรงหยวนจะไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในองครักษ์เกราะทมิฬ แต่กระทั่งผู้บัญชาการยังต้องให้ความเคารพ นับประสาอะไรกับสือฟูฉางตัวเล็กๆ

“ผู้พิทักษ์จ้าวโปรดตามข้ามา”

เมื่อย้อนกลับมาถึงทะเลสาบผานหลงด้านนอก สือฟูฉางก็มองกล่าวกับจ้าวจิน พร้อมผายมือเชื้อเชิญ มันคิดนำทางอีกฝ่ายไปห้องโถงหลักด้วยตัวเอง

“รบกวนแล้ว”

จ้าวจินพยักหน้ารับคราหนึ่ง ค่อยเหินร่างติดตามสือฟูฉางเข้าไปยังใจกลางทะเลสาบผานหลง ไม่นานก็เหินร่างติดตามจนไปถึงตำหนักหลัก ไม่เพียงเท่านั้นมันยังถูกพาไปส่งถึงหน้าห้องโถงหลัก!

ห้องโถงหลักยามนี้ว่างเปล่าร้างผู้คน จ้าวจินที่ถูกนำมาส่ง ก็เข้าไปยืนรอคอยในโถงหลักเงียบๆ ทำตัวเรียบๆร้อยๆนัก

ไม่ใช่ว่ามันชมชอบกระทำตัวเรียบๆร้อยๆอะไร แต่ที่นี่คือห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม หากมันทำอะไรที่จะทำให้จ้าวตำหนักเมฆาครามรำคาญใจขึ้นมา เช่นนั้นการเดินทางมาที่นี่คงเสียเที่ยวแล้ว

1 เค่อผ่านไป

2 เค่อผ่านไป!

กระทั่งผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม…

จ้าวจินที่ยืนรออยู่นิ่งๆ แต่ทว่ารอแล้วรออีกจ้าวตำหนักเมฆาครามก็ไม่เข้ามาเสียที! อย่างไรก็ตามจ้าวจินไม่กล้าปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ ยังคงยืนรอคอยนิ่งๆเงียบๆ

ตึงงงง!!

หลังจากนั้นพอผ่านไปอีก 1 ชั่วยาม ประตูใหญ่ทั้ง 2 บานของห้องโถงหลักก็เริ่มขยับเคลื่อน ไม่นานก็ปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์!

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

ขณะเดียวกันหน้าต่างในห้องโถงหลักแต่ละบานก็เริ่มปิดตัวลงเช่นกัน!

ชั่วเวลาแค่พริบตาห้องโถงหลักก็มืดมิดไร้แสงตะวันส่องสาด พาลให้ไม่อาจแลเห็นกระทั่งนิ้วมือทั้ง 5!

“นี่น่ะหรือการต้อนรับแขกของตำหนักเมฆาคราม?”

เสียงหวาดกลัวของจ้าวจินดังขึ้นในความมืด…น้ำเสียงไม่เหลือความมั่นใจอะไร กล่าวไปยังสั่นๆเล็กน้อย

“จึกๆๆ เจ้าอย่าได้ตีค่าตัวเองสูงเกินไป อาศัยเจ้าคิดหรือว่ามีคุณสมบัติมากพอจะเป็นแขกของตำหนักเมฆาคราม?”

ในความมืดมิดพลันมีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากทั่วทิศทาง น้ำเสียงนี้ฟังแล้วนุ่มนวลคล้ายอิสตรีอยู่บ้าง หากแต่ก็ไม่อาจระบุได้ชัดว่าที่แท้เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่!

“เจ้าเป็นใคร!?”

จ้าวจินโพล่งถามออกมา เสียงสั่นไปเล็กน้อย

หลังจากนั้นพลันมีแสงสว่างหนึ่งปรากฏขึ้น เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่กำลังก้าวเข้ามาหาจ้าวจินอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“เยว่ อู๋ หยิ่ง”

(จันทร์ไร้เงา)

เสียงนุ่มก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้งชัดถ้อยชัดคำ